การเจริญสติในแนวสติปัฏฐาน จะโดยการระลึกในชีวิตประจำวันในทุกอิริยาบถก็ตาม โดยการฝึกเดินจงกรมก็ตาม ต่างจากการที่ทำสมาธิจนได้ความสงบก่อนแล้วค่อยพิจารณา เกสาโ ลมา นขา ทันตา ตโจ อย่างไร ดิฉันชอบความสงบในสมาธิ แต่ก็เห็นว่า การเจริญสติก็ทำได้บ่อยๆ ทั้งวัน
ต่างตรงที่ว่า การเจริญสติปัฏฐานในชีวิตประจำวัน ไม่ต้องเลือกอารมณ์ เวลา สถานที่อยู่ที่ความเข้าใจ และสติสัมปชัญญะเกิดขึ้นทำกิจ โดยไม่ต้องหาสถานที่สงบ
คำว่า "สงบ" หมายถึง สงบจากอกุศล จิตขณะนั้นไม่ประกอบด้วยอกุศลเจตสิกคือ โลภะ โทสะ โมหะ หมายความว่าจิตที่สงบ คือ กุศลจิต จะเป็นความสงบด้วยทานหรือด้วยการวิรัต คือ งดเว้นการกระทำทุจริตทางกายและวาจาด้วยศีล หรือความสงบในสมถะและวิปัสสนาภาวนากุศล คือ สมถะและวิปัสสนา ต้องประกอบด้วยความเห็นถูก ตามลำดับขั้นของปัญญานั้นๆ ไม่ว่าสมถะหรือวิปัสสนาต่างเป็นความสงบที่มีปัญญาเห็นโทษของอกุศล ต้องการละและข่มอกุศล ผู้ที่มีปัญญาเห็นอกุศลด้วยความเป็นโทษ คือ เป็นสิ่งที่ควรละ ควรเว้น ควรขัดเกลา ไม่จำเป็นต้องเลือกเพราะชอบความสงบในสมาธิ แสดงว่าทำเพราะชอบ ไม่ได้ทำเพราะรู้เหตุที่จะทำให้สงบ ไม่ได้ทำเพราะเห็นภัยในโทษของอกุศล สมถะและวิปัสสนาที่แท้จริงต้องเป็นไปเพื่อละ เกิดความสลดสังเวช ความหน่าย ความคลายความเป็นตัวตน และเพื่อความหลุดพ้นเป็นที่สุด
การเจริญสติปัฏฐานต้องเริ่มจากการฟังให้เข้าใจก่อน ในเรื่องของธรรมว่า ธรรมคืออะไร ไม่เช่นนั้น ก็ไม่รู้ว่าปฏิบัติหาอะไร เพราะไม่รู้ว่าธรรมคืออะไร ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ในขณะนี้ ดังนั้น จึงไม่ต้องไปนั่งให้สงบ แต่เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฎในชีวิตประจำวันว่าเป็นธัมมะ ไม่ใช่เรา ไถ่ถอนความยึดถือว่าเป็นตัวตน สัตว์ บุคคล นี่คือการอบรมเจริญสติปัฏฐาน
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ขออนุโมทนาครับ