[เล่มที่ 49] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 508
มหาวรรคที่ ๔
๓. นันทกเปตวัตถุ
ว่าด้วยขัดขวางการให้ทานไปเกิดเป็นเปรต
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 49]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 508
๓. นันทกเปตวัตถุ
ว่าด้วยขัดขวางการให้ทานไปเกิดเป็นเปรต
[๑๒๓] มีพระราชาพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่าปิงคละ เป็นใหญ่ในสุรัฏฐประเทศ เสด็จไปเฝ้าเจ้าพระโมริยะแล้ว กลับมาสู่สุรัฏฐประเทศ เสด็จมาถึงที่มีเปือกตม ในเวลาเที่ยงซึ่งเป็นเวลาร้อน ทอดพระเนตรเห็นทางอันรื่นรมย์เป็นทางที่เปรตเนรมิตไว้ จึงตรัสบอกนายสารถีว่า ทางนี้น่ารื่นรมย์ เป็นทางปลอดภัย มีความสวัสดี ไม่มีอุปัทวันตราย ดูก่อนนายสารถี ท่านจงตรงไปทางนี้แหละ เมื่อเราไปโดยทางนี้ จักถึงเขตเมืองสุรัฏฐะเร็วทีเดียว พระเจ้าสุรัฏฐ์ได้เสด็จไปโดยทางนั้น พร้อมด้วยจตุรงคเสนา บุรุษคนหนึ่งสะดุ้งตกใจกลัว ได้กราบทูลพระเจ้าสุรัฏฐ์ว่า พวกเราเดินทางผิด เป็นทางน่ากลัวขนพองสยองเกล้า เพราะทางปรากฏเฉพาะข้างหน้า แต่ข้างหลังไม่ปรากฏ พวกเราเดินทางผิดเสียแล้ว พวกเราเห็นจะเดินมาใกล้สำนักพวกอมนุษย์ กลิ่นอมนุษย์ฟุ้งไป ข้าพระองค์ได้ยินเสียงอันพิลึกน่าสะพึงกลัว พระเจ้าสุรัฏฐ์ทรงสะดุ้ง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 509
พระทัย ตรัสกะนายสารถีว่า พวกเราเดินทางผิดเสียแล้ว เป็นทางน่ากลัวขนพองสยองเกล้า เพราะทางปรากฏเฉพาะข้างหน้า แต่ข้างหลังไม่ปรากฏ พวกเราเดินทางผิด พวกเราเห็นจะเดินมาใกล้สำนักพวกอมนุษย์ กลิ่นอมนุษย์ย่อมฟุ้งไป เราได้ยินเสียงอันน่าสะพึงกลัว แล้วเสด็จขึ้นสู่คอช้าง ทอดพระเนตรไปในทิศทั้ง ๔ ได้ทรงเห็นต้นไทรต้นหนึ่ง มีร่มเงาชิดสนิทดี เขียวชอุ่มดุจสีเมฆ มีสีและสัณฐานคล้ายเมฆ จึงรับสั่งกะนายสารถีว่า ป่าใหญ่เขียวชอุ่มดุจสีเมฆมีสีและสัณฐานคล้ายเมฆปรากฏอยู่นั่นใช่ไหม.
นายสารถีกราบทูลว่า :-
ข้าแต่พระมหาราชา นั่นเป็นต้นไทรมีร่มเงาชิดสนิทดี เขียวชอุ่ม มีสีและสัณฐานคล้ายเมฆ.
พระเจ้าสุรัฏฐ์เสด็จเข้าไปจนถึงต้นไทรใหญ่ที่ปรากฏอยู่ แล้วเสด็จลงจากคอช้าง เสด็จเข้าไปสู่ต้นไทร ประทับนั่งที่โคนต้น พร้อมด้วยหมู่อำมาตย์ราชบริพาร ได้ทอดพระเนตรเห็นขันน้ำมีน้ำเต็มและขนมอันหวานอร่อย บุรุษมีเพศดังเทวดา ประดับด้วยสรรพาภรณ์ เข้าไป
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 510
เฝ้าพระเจ้าสุรัฏฐ์แล้วได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระหาราชา พระองค์เสด็จมาดีแล้ว และพระองค์ไม่ได้เสด็จมาร้าย ข้าแต่พระองค์ผู้กำจัดศัตรู เชิญพระองค์เสวยน้ำและขนมเถิด พระเจ้าข้า.
พระเจ้าสุรัฏฐ์พร้อมด้วยอำมาตย์และข้าราชบริพาร พากันดื่มน้ำและกินขนมแล้ว จึงถามว่า ท่านเป็นเทพ เป็นคนธรรพ์ หรือเป็นท้าวสักกปุรินททะ พวกเราไม่รู้จักท่าน จึงจะขอถาม พวกเราพึงรู้จักท่านอย่างไร.
นันทกเปรตกราบทูลว่า :-
ข้าแต่พระมหาราชา ข้าพระองค์ไม่ใช่เทวดา ไม่ใช่คนธรรพ์ ไม่ใช่ท้าวสักกปุรินททะ ข้าพระองค์เป็นเปรต จากประเทศสุรัฏฐ์มาอยู่ที่นี่.
พระราชาตรัสถามว่า :-
เมื่อก่อน ท่านอยู่ในประเทศสุรัฏฐ์ มีปกติอย่างไร มีความประพฤติอย่างไร ท่านมีอานุภาพอย่างนี้ เพราะพรหมจรรย์อะไร.
นันทกเปรตตอบว่า :-
ข้าแต่พระมหาราชาผู้กำจัดศัตรู ผุ้ผดุงรัฐให้เจริญ ขอพระองค์ อำมาตย์ราชบริพารและ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 511
ปุโรหิต จงสดับฟัง ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ เมื่อก่อนข้าพระองค์เป็นบุรุษอยู่ในเมืองสุรัฏฐ์ เป็นคนใจบาป เป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็นคนทุศีล ตระหนี่ บริภาษสมณพราหมณ์ทั้งหลาย ห้ามปรามมหาชนซึ่งพากันทำบุญให้ทาน ทำอันตรายแก่หมู่ชนเหล่าอื่นผู้กำลังให้ทาน ได้ห้ามว่า ผลแห่งทานไม่มี ผลแห่งการสำรวมจักมีที่ไหน ใครๆ ผู้ชื่อว่าเป็นอาจารย์ไม่มี ใครจักฝึกฝนบุคคลผู้ไม่เคยฝึกฝนแล้วเล่า สัตว์ทั้งหลายเป็นสัตว์เสมอกันทั้งสิ้น การเคารพอ่อนน้อมต่อผู้เจริญในตระกูล จักมีแต่ที่ไหน กำลังหรือความเพียรไม่มี ความพากเพียรของบุรุษจักมีแต่ที่ไหน ผลทานไม่มี ทานและศีลไม่ทำบุคคลผู้มีเวรให้หมดจดได้ สัตว์ย่อมได้ของที่ควรได้ สัตว์เมื่อจะได้สุขหรือทุกข์ ย่อมได้สุขหรือทุกข์อันเกิดแต่ที่น้อมมาเอง มารดา บิดา พี่ชาย น้องชาย ไม่มี โลกอื่นจากโลกนี้ก็ไม่มี ทานอันบุคคลให้แล้วย่อมไม่มีผล พลีกรรมไม่มีผล แม้ทานอันบุคคลตั้งไว้ดีแล้วก็ไม่มีผล บุรุษใดฆ่าบุรุษอื่น และตัดศีรษะบุรุษอื่น จะจัดว่าบุรุษนั้นทำลายชีวิตของผู้อื่นหาได้ไม่ ไม่มีใครฆ่าใคร เป็นแต่
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 512
ศาตราย่อมเข้าไปในระหว่างอันเป็นช่องกาย ๗ ช่องเท่านั้น ชีพของสัตว์ทั้งหลายไม่ขาดสูญ ไม่แตกทำลาย บางคราวมี ๘ เหลี่ยม บางคราวกลมเหมือนงบน้ำอ้อย บางคราวสูงตั้ง ๕๐๐ โยชน์ ใครเล่าสามารถตัดชีพให้ขาดได้ เหมือนหลอดด้ายอันบุคคลซัดไปแล้ว. หลอดด้ายนั้นอันด้ายคลายอยู่ ย่อมกลิ้งไปได้ ฉันใด ชีพนั้น ก็ฉันนั้น ย่อมแหวกหนีไปจากร่างได้ บุคคลผู้ออกจากบ้านนี้ไปเข้าบ้านอื่น ฉันใด ชีพนั้นก็ออกจากร่างนี้แล้วไปเข้าร่างอื่น ฉันนั้นเหมือนกัน บุคคลออกจากเรือนหลังนี้แล้วไปเข้าเรือนหลังอื่น ฉันใด แม้ชีพนั้นก็ออกจากร่างนี้แล้ว เข้าไปอาศัยร่างอื่นฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อสิ้นกำหนด ๘ ล้าน ๔ แสนมหากัป สัตว์ทั้งหลายทั้ง ที่เป็นพาล ทั้งที่เป็นบัณฑิต จักยังสงสารให้สิ้นไป แล้วจักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้เอง สุขทุกข์เหมือนตักตวงได้ด้วยทะนานและกระเช้า พระชินเจ้าย่อมรู้ทั่วถึงสุขทุกข์ทั้งปวง สัตว์นอกนี้ล้วนเป็นผู้ลุ่มหลง เมื่อชาติก่อนข้าพระองค์มีความเห็นอย่างนี้จึงได้เป็นคนหลง ถูกโมหะครอบงำ เป็นมิจฉาทิฏฐิ ทุศีล ตระหนี่ บริภาษ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 513
สมณพราหมณ์ภายใน ๖ เดือน ข้าพระองค์จักทำกาลกิริยา จักตกไปนรกอันเผ็ดร้อนร้ายกาจโดยส่วนเดียว นรกนั้นมี ๔ เหลี่ยม ๔ ประตู จำแนกออกเป็นส่วนๆ. ล้อมด้วยกำแพงเหล็ก ครอบด้วยแผ่นเหล็ก พื้นนรกนั้นเป็นเหล็กแดง ลุกเป็นเปลวเพลิงโชติช่วงแผ่ไปร้อยโยชน์โดยรอบตั้งอยู่ทุกเมื่อ ล่วงไปแสนปี ในกาลนั้น ข้าพระองค์จึงจะได้ยินเสียงในนรกนั้นว่า แน่ะ เพื่อนยาก เมื่อพวกเราไหม้อยู่ในนรกนี้ กาลประมาณแสนปีล่วงไปแล้ว ข้าแต่พระมหาราชา แสนโกฏิปีเป็นกำหนดอายุของสัตว์ผู้หมกไหม้อยู่ในนรก ชนทั้งหลายเป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็นคน ทุศีล ตีเตียนพระอริยเจ้า ย่อมหมกไหม้อยู่ในนรกแสนโกฎิปี ข้าพระองค์จักเสวยทุกขเวทนาอยู่ในนรกนั้นตลอดกาลนาน นี้เป็นผลแห่งกรรมชั่วของข้าพระองค์ เพราะฉะนั้นข้าพระองค์จึงเศร้าโศกนัก ข้าแต่พระมหาราชาผู้กำจัดศัตรู เป็นที่เจริญใจของชาวแว่นแคว้น ขอพระองค์จงทรงสดับคำของข้าพระองค์ ขอความเจริญจงมีแด่พระองค์ ธิดาของข้าพระองค์ชื่ออุตตรา ทำแต่กรรมดี ยินดีแล้วในนิจศีลและอุโบสถศีล
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 514
ยินดีในทานจำแนกแจกทาน รู้ความประสงค์ของผู้ขอ ปราศจากความตระหนี่ มีปกติทำไม่ให้ขาดในสิกขา เป็นสะใภ้อยู่ในตระกูลอื่น เป็นอุบาสิกาของพระศากยมุนีสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงศิริ ข้าแต่พระมหาราชา ขอความเจริญจงมีแด่พระองค์ นางอุตตราได้เห็นภิกษุผู้สมบูรณ์ด้วยศีล เข้าไปบิณฑบาตในบ้าน มีจักษุอันทอดลงแล้ว มีสติคุ้มครองทวาร สำรวมดีแล้ว เที่ยวไปตามลำดับตรอก เข้าไปสู่บ้านนั้น นางได้ถวายน้ำขันหนึ่งและขนมมีรสหวานอร่อย แล้วอุทิศส่วนกุศลให้ข้าพระองค์ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอผลทานที่ดิฉันถวายนี้ จงพลันสำเร็จแก่บิดาของดิฉันที่ตายไปแล้วเถิด ในทันใดนั้น ผลแห่งทานก็บังเกิดมีแก่ข้าพระองค์ ข้าพระองค์มีความประสงค์สำเร็จได้ดังความปรารถนา บริโภคกามสุขเหมือนดังท้าวเวสวัณมหาราช ข้าแต่พระมหาราชาผู้กำจัดศัตรู เป็นที่เจริญใจของชาวแว่นแคว้น ขอพระองค์จงทรงสดับคำของข้าพระองค์ พระพุทธเจ้าอันบัณฑิตกล่าวว่า เป็นผู้เลิศแห่งโลกพร้อมทั้งเทวโลก ขอพระองค์พร้อมทั้งพระโอรสและพระอัครมเหสี จงถึง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 515
พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นเป็นสรณะเถิด ชนทั้งหลายย่อมบรรลุอมตบทด้วยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ขอพระองค์พร้อมด้วยพระโอรสและพระอัครมเหสี จงถึงมรรคมีองค์ ๘ และอมตบทเป็นสรณะเถิด พระอริยบุคคลผู้ปฏิบัติอยู่ในมรรค ๔ จำพวก และผู้ตั้งอยู่ในผล ๔ จำพวก นี้เป็นพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติซื่อตรง ประกอบ ด้วยปัญญาและศีล ขอพระองค์พร้อมทั้งพระโอรสและพระอัครมเหสี จงถึงพระสงฆ์นั้นเป็นสรณะเถิด ขอพระองค์จงรีบงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ทรงยินดีด้วยพระมเหสีของพระองค์ ไม่ตรัสเท็จ ไม่ทรงดื่มน้ำจัณฑ์เถิด.
พระราชาตรัสว่า :-
ดูก่อนเทวดา ท่านเป็นผู้ปรารถนาความเจริญแก่เรา ปรารถนาประโยชน์เกื้อกูลแก่เรา เราจักทำตามคำของท่าน ท่านเป็นอาจารย์ของเรา เราจักเข้าถึงพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์อันยอดเยี่ยมกว่าเทวดาและมนุษย์ว่า เป็นสรณะ เราจะรีบงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ จะยินดีด้วยภรรยาของตน จะไม่พูดเท็จ ไม่ดื่มน้ำเมา เราจะคลายความเห็นอันชั่วช้า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 516
เหมือนโปรยแกลบลอยไปในลมอันแรง เหมือนทิ้งหญ้าและใบไม้ลอยไปในแม่น้ำมีกระแสอันเชี่ยว จักเป็นผู้ยินดีในพระพุทธศาสนา พระเจ้าสุรัฐครั้นตรัสดังนี้แล้ว ทรงงดเว้นจากความเห็นอันชั่วช้า ทรงนอบน้อมต่อพระผู้มีพระศาสดาแล้ว เสด็จขึ้นทรงรถพระที่นั่ง บ่ายพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก กลับคืนสู่พระนคร.
จบ นันทกเปตวัตถุที่ ๓
อรรถกถานันทกเปตวัตถุที่ ๓
เรื่องนันทกเปรตนี้ มีตำเริ่มต้นว่า ราชา ปิงฺคลโก นาม ดังนี้. การอุบัติขึ้นของเรื่องนั้นเป็นอย่างไร?
นับแต่พระศาสดาปรินิพพานล่วงไปได้ ๒๐๐ ปี ในสุรัฐวิสัย ได้มีพระราชาพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า ปิงคละ. เสนาบดีของพระราชานั้น ชื่อว่า นันทกะ เป็นมิจฉาทิฏฐิ มีความผิดแปลก เที่ยวยกย่องการถือผิดๆ โดยนัยมีอาทิว่า ทานที่ทายกถวายแล้วไม่มีผล ดังนี้. ธิดาของนายนันทกะนั้น เป็นอุบาสิกา ชื่อว่า อุตตรา เขาได้ยกให้แต่งงานในตระกูลที่เสมอกัน. ฝ่ายนันทกเสนาบดีทำกาละแล้ว บังเกิดเป็นเวมานิกเปรตที่ต้นไทรใหญ่ ในดงไฟไหม้. เมื่อนันทกเสนาบดีนั้นทำกาละแล้ว นางอุตตราได้ถวายหม้อน้ำดื่ม เต็มด้วยน้ำหอมสะอาดและเยือกเย็น และขันอันเต็มด้วยขนม เพียบ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 517
พร้อมด้วยสีกลิ่นและรส ที่ปรุงด้วยขนมกุมมาส แด่พระขีณาสพเถระรูปหนึ่ง แล้วอุทิศว่า ขอทักษิณานี้จงสำเร็จแก่บิดาของเราเถิด. น้ำดื่มอันเป็นทิพย์ และขนมอันหาประมาณมิได้ ปรากฏแก่เปรตนั้น เพราะทานนั้น. เขาเห็นดังนั้น จึงคิดอย่างนี้ว่า เราทำกรรมอันลามกหนอ ที่ให้มหาชนถือเอาผิดๆ โดยนัยมีอาทิว่า ทานที่ทายกถวายแล้ว ย่อมไม่มีผล ดังนี้ ก็บัดนี้ พระเจ้าปิงคละเสด็จไปโอวาทแด่พระเจ้าธรรมาโศก, พระองค์ประทานโอวาทแล้ว จักเสด็จกลับมา เอาเถอะ เราจักบรรเทานัตถิกทิฏฐิ. ไม่นานนัก พระเจ้าปิงคละได้ให้โอวาทแด่พระเจ้าธรรมาโศก เมื่อจะเสด็จ กลับ จึงทรงดำเนินไปทางนั้น.
ลำดับนั้น เปรตนั้นนิรมิตรหนทางนั้นให้บ่ายหน้าไปยังที่อยู่ของตน. ในเวลาเที่ยงตรง พระราชาเสด็จไปตามทางนั้น. เมื่อพระองค์เสด็จไป หนทางข้างหน้าปรากฏอยู่ แต่หนทางข้างหลังไม่ปรากฏแก่พระองค์. บุรุษผู้ไปหลังเขาทั้งหมด เห็นทางหายไป จึงกลัว ร้องลั่น วิ่งไปกราบทูลแด่พระราชา, พระราชาทรงสดับดังนั้น จึงตกพระหทัย มีพระหทัยสลด ประทับอยู่บทคอช้าง ตรวจดูทิศทั้ง ๔ เห็นต้นไทรอันเป็นที่อยู่ของเปรต จึงได้เสด็จบ่ายพระพักตร์ไปยังต้นไทรนั้น พร้อมด้วยจตุรงคินีเสนา. ครั้นพระราชาเสด็จถึงที่นั้นโดยดำดับ เปรตประดับด้วยอาภรณ์ทั้งปวง เข้าไปเฝ้า พระราชา กระทำปฏิสันถาร ได้ถวายขนมและน้ำดื่ม. พระราชาพร้อมด้วยข้าราชบริพาร ทรงสงสนาน เสวยขนมแล้วดื่มน้ำ ระงับ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 518
ความเหน็ดเหนื่อยในหนทาง จึงตรัสถามเปรตโดยนัยมีอาทิว่า ท่านเป็นเทวดา หรือเป็นคนธรรพ์. เปรตได้กราบทูลเรื่องของตนตั้งแต่ต้น จึงปลดเปลื้องพระราชาจากความเป็นมิจฉาทิฏฐิ ให้ดำรงอยู่ในสรณะและศีล. เพื่อจะแสดงเรื่องนั้น พระสังคีติกาจารย์ทั้งหลายจึงกล่าวคาถาทั้งหลายว่า :-
ยังมีพระราชาพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า ปิงคล ได้เป็นใหญ่ในสุรัฐประเทศ เสด็จไปเฝ้าพระโมริยะแล้ว กลับมายังสุรัฐประเทศ เสด็จมาถึงที่มีเปือกตม ในเวลาเที่ยง ซึ่งเป็นเวลาร้อน ได้ทอดพระเนตรเห็นทางอันน่ารื่นรมย์ เป็นทางที่เปรตนิรมิตรไว้ จึงตรัสบอกนายสารถีว่า ทางนี้น่ารื่นรมย์ เป็นทางปลอดภัย มีความสวัสดี ไม่มีอุปัทวันตราย ดูก่อนนายสารถี ท่านจงตรงไปทางนี้แหละ เมื่อเราไปโดยทางนี้ จักถึงเขตเมืองสุรัฐเร็วทีเดียว พระเจ้าสุรัฐได้เสด็จไปโดยทางนั้นพร้อมด้วยจตุรงคเสนา บุรุษคนหนึ่งสะดุ้งตกใจกลัว ได้กราบทูลพระเจ้าสุรัฐว่า พวกเราเดินทางผิด เป็นทางน่ากลัวขนพองสยองเกล้า เพราะทางปรากฏเฉพาะข้างหน้า แต่ข้างหลังไม่ปรากฏ พวกเราเดินทางผิดเสียแล้ว พวกเราเห็นจะเดินมาใกล้สำนักพวก
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 519
อมนุษย์ กลิ่นอมนุษย์ฟุ้งไป ข้าพระองค์ได้ยินเสียงอันพิลึกน่าสะพึงกลัว พระเจ้าสุรัฐทรงสะดุ้งพระหทัย ตรัสกะนายสารถีว่า พวกเราเดินทางผิดเสียแล้ว เป็นทางน่ากลัวขนพองสยองเกล้า เพราะทางปรากฏเฉพาะหน้า แต่ข้างหลังไม่ปรากฏ พวกเราเดินทางผิด พวกเราเห็นจะเดินมาใกล้สำนักพวกอมนุษย์ กลิ่น อมนุษย์ย่อมฟุ้งไป เราได้ยินเสียงน่าสะพึงกลัว แล้วเสด็จขึ้นสู่คอช้าง ทอดพระเนตรไปในทิศทั้ง ๔ ได้ทรงเห็นต้นไทรต้นหนึ่ง มีร่มเงาชิดสนิทดี เขียวชะอุ่มดุจสีเมฆ มีสีและสัณฐานคล้ายเมฆ จึงรับสั่งกะนายสารถีว่า ป่าใหญ่เขียวชะอุ่มดุจสีเมฆ มีสีและสัณฐานคล้ายเมฆปรากฏอยู่นั่นใช่ไหม?
นายสารถีกราบทูลว่า :-
ข้าแต่มหาราช นั่นเป็นต้นไทร มีร่มเงาชิดสนิทดี เขียวชะอุ่ม มีสีและสัณฐานคล้ายเมฆ พระเจ้าสุรัฐเสด็จเข้าไปจนถึงต้นไทรใหญ่ที่ปรากฏอยู่แล้ว เสด็จลงจากคอช้าง เข้าไปต้นไทร ประทับนั่งที่โคนต้น พร้อมด้วยหมู่อำมาตย์ราชบริพาร ได้ทอดพระเนตรเห็นขันน้ำ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 520
มีน้ำเต็ม และขนมอันหวานอร่อย บุรุษมีเพศดังเทวดา ประดับด้วยอาภรณ์ทั้งปวง เข้าไปเฝ้าพระเจ้าสุรัฐแล้ว ได้กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช พระองค์เสด็จมาดีแล้วและพระองค์ไม่ได้เสด็จมาร้าย ข้าแต่พระองค์ผู้กำจัดศัตรู เชิญพระองค์ เสวยน้ำและขนมเถิดพระเจ้าข้า พระเจ้าสุรัฐพร้อมด้วยอำมาตย์และข้าราชบริพาร พากันดื่มน้ำและขนมแล้ว จึงถามว่า ท่านเป็นเทพ เป็นคนธรรพ์ หรือเป็นท้าวสักกะปุรินททะ พวกเราไม่รู้จักท่าน จักขอถาม พวกเราจะพึงรู้จักท่านได้อย่างไร?
นันทกเปรตกราบทูลว่า :-
ข้าแต่มหาราชเจ้า ข้าพระองค์ไม่ใช่เทวดา ไม่ใช่คนธรรพ์ ไม่ใช่ท้าวสักกะปุรินททะ ข้าพระองค์เป็นเปรต จากประเทศสุรัฐมาอยู่ที่นี่.
พระราชาตรัสถามว่า :-
เมื่อก่อนท่านอยู่ในประเทศสุรัฐมีปกติอย่างไร มีความประพฤติอย่างไร ท่านมีอานุภาพอย่างนี้ เพราะพรหมจรรย์อย่างไร?
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 521
นันทกเปรตตอบว่า :-
ข้าแต่มหาราชเจ้าผู้กำจัดหมู่ศัตรู ผู้ผดุงรัฐให้เจริญ ขอพระองค์ อำมาตย์ราชบริพาร และพราหมณ์ปุโรหิต จงสดับฟัง ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ เมื่อก่อนข้าพระองค์เป็นบุรุษอยู่ในเมืองสุรัฐ เป็นคนใจบาป เป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็นคนทุศีล เป็นคนตระหนี่ บริภาษสมณพราหมณ์ทั้งหลาย ห้ามปรามมหาชนซึ่งพากันทำบุญให้ ทาน ทำอันตรายแก่หมู่ชนเหล่าอื่นผู้กำลังให้ทาน ได้ห้ามว่า ผลแห่งทานไม่มี ผลแห่งการสำรวมจักมีแต่ที่ไหน ใครๆ ผู้ชื่อว่า เป็นอาจารย์ไม่มี ใครจักฝึกฝนบุคคล ผู้ไม่เคยฝึกฝนแล้วได้เล่า สัตว์ทั้งหลายเป็นสัตว์เสมอกันทั้งสิ้น การเคารพอ่อนน้อมต่อผู้เจริญในตระกูล จักมีแต่ที่ไหน กำลังหรือความเพียรไม่มี ความพากเพียรของบุรุษ จักมีแต่ที่ไหน ผลแห่งทานไม่มี ทานและศีลไม่ทำบุคคลผู้มีเวรให้หมดจดได้ สัตว์ย่อมได้ของที่ควรได้ สัตว์เมื่อจะได้สุขหรือทุกข์ ย่อมได้สุขหรือทุกข์อันเกิดแต่ที่น้อมมาเอง มารดา บิดา พี่ชาย น้องชายไม่มี โลกอื่นจากโลกนี้ก็ไม่มี ทานอันบุคคลให้แล้ว
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 522
ย่อมไม่มีผล พลีกรรมไม่มีผล แม้ทานอันบุคคลตั้งไว้ดีแล้วก็ไม่มีผล บุรุษใดฆ่าบุรุษอื่น และตัดศีรษะบุรุษอื่น จะจัดว่าบุรุษนั้นทำลายชีวิตของผู้อื่นหาได้ไม่ ไม่มีใครฆ่าใคร เป็นแต่ศัตราย่อมเข้าไปในระหว่างช่องกาย ๗ ช่องเท่านั้น ชีพของสัตว์ทั้งหลายไม่ขาดสูญ ไม่แตกทำลาย บางคราวมี ๘ เหลี่ยม บางคราวกลมเหมือนงบน้ำอ้อย บางคราวสูงตั้ง ๕๐๐ โยชน์ ใครเล่าสามารถตัดชีพให้ขาดได้ เหมือนหลอดด้ายอันบุคคลซัดไปแล้ว หลอดด้ายนั้นอันด้ายคลายอยู่ ย่อมกลิ้งไปได้ ฉันใด ชีพนั้นก็ฉันนั้น ย่อมแหวกหนีไปจากร่างได้ บุคคลผู้ออกไปจากบ้านนี้ ไปเข้าบ้านอื่นฉันใด ชีพนั้นก็ออกจากร่างนี้แล้ว ไปเข้าร่างอื่นฉันนั้นเหมือนกัน บุคคลออกจากเรือนหลังนี้ แล้วไปเข้าเรือนหลังอื่นฉันใด แม้ชีพนั้นก็ออกจากร่างนี้แล้ว ไปเข้าร่างอื่นฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อสิ้นกำหนด ๘,๔๐๐,๐๐๐ มหากัป สัตว์ทั้งหลาย ทั้งที่เป็นพาล ทั้งที่เป็นบัณฑิต จักยังสงสารให้สิ้นไปแล้ว จักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้เอง สุขและทุกข์เหมือนตักตวงได้ ด้วยทะนานและกระเช้า พระชินเจ้าย่อมรู้ทั่วถึง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 523
สุขทุกข์ทั้งปวง สัตว์นอกนี้ล้วนเป็นผู้ลุ่มหลง เมื่อชาติก่อนข้าพระองค์มีความเห็นอย่างนี้ จึงได้เป็นคนหลง ถูกโมหะครอบงำ เป็นมิจฉาทิฏฐิ ทุศีล ตระหนี่ บริภาษสมณพราหมณ์ ภายใน ๖ เดือน ข้าพระองค์จักทำกาลกิริยา จักตกไปในนรกอันเผ็ดร้อนร้ายกาจโดยส่วนเดียว นรกนั้นมี ๔ เหลี่ยม ๔ ประตู จำแนกออกเป็นส่วนๆ ล้อมด้วยกำแพงเหล็ก ครอบด้วยแผ่นเหล็ก พื้นนรกนั้นเป็นเหล็กแดง ลุกเป็นเปลวเพลิงโชติช่วงแผ่ไป ๑๐๐ โยชน์โดยรอบตั้งอยู่ทุกเมื่อ ล่วงไปแสน ในกาลนั้นข้าพระองค์จึงได้ยินเสียงในนรกนั้นว่า แน่ะ เพื่อนยาก เมื่อพวกเราไหม้อยู่ในนรกนี้ กาลประมาณแสนปีล่วงไปแล้ว ข้าแต่มหาราชเจ้า แสนโกฏิปีเป็นกำหนดอายุของสัตว์ผู้หมกไหม้อยู่ในนรก ชนทั้งหลายเป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็นคนทุศีล ติเตียนพระอริยเจ้า ย่อมหมกไหม้อยู่ในนรกแสนโกฏิปี ข้าพระองค์จักเสวย ทุกขเวทนาอยู่ในนรกนั้นตลอดกาลนาน นี้เป็นผลแห่งกรรมชั่วของข้าพระองค์ เพราะฉะนั้น ข้าพระองค์จึงเศร้าโศกนัก ข้าแต่มหาราชเจ้าผู้กำจัดศัตรู เป็นที่เจริญใจของชาวแว่นแคว้น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 524
ขอพระองค์จงทรงสดับคำของข้าพระองค์ ขอความเจริญจงมีแด่พระองค์ ธิดาของข้าพระองค์ ชื่อ อุตตรา ทำแต่ความดี ยินดีแล้วในนิจศีล และอุโบสถศีล ยินดีในทาน และการจำแนกทาน รู้ความประสงค์ของผู้ขอ ปราศจากความตระหนี่ ปกติทำไม่ให้ขาดในสิกขา เป็นลูกสะใภ้ในตระกูลอื่น เป็นอุบาสิกาของพระมหาศากยมุนีสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงศิริ ข้าแต่มหาราชเจ้า ขอความเจริญจงมีแด่พระองค์ นางอุตตราได้เห็นภิกษุผู้สมบูรณ์ด้วยศีล เข้าไปบิณฑบาตใน บ้าน มีจักษุทอดลงแล้ว มีสติคุ้มครองทวาร สำรวมดีแล้ว เที่ยวไปตามลำดับตรอก เข้าไปสู่บ้านนั้น นางได้ถวายน้ำขันหนึ่งและขนมมีรสหวานอร่อยแล้ว อุทิศส่วนกุศลให้ข้าพระองค์ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอผลทานที่ดิฉันถวายนี้ จงพลันสำเร็จแก่บิดาของดิฉันที่ตายไปแล้วเถอะ ในทันใดนั้น ผลแห่งทานก็บังเกิด แก่ข้าพระองค์ ข้าพระองค์มีความประสงค์สำเร็จได้ดังความปรารถนา บริโภคกามสุขเหมือนดังท้าวเวสวัณมหาราช ข้าแต่มหาราชเจ้าผู้กำจัดศัตรู เป็นที่เจริญใจของชาวแว่นแคว้น ขอพระองค์
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 525
จงทรงสดับคำของข้าพระองค์
พระพุทธเจ้าอันบัณฑิตกล่าวว่า เป็นผู้เลิศแห่งโลกพร้อมทั้งเทวโลก ขอพระองค์พร้อมด้วยพระโอรสและพระอัครมเหสี จงถึงพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นเป็นสรณะเถิด ชนทั้งหลายย่อมบรรลุอมตะด้วยมรรคมีองค์ ๘ ขอพระองค์ พร้อมด้วยพระโอรสและพระอัครมเหสี จงถึงมรรคมีองค์ ๘ และอมตะบทว่าเป็นสรณะเถิด พระอริยบุคคลผู้ปฏิบัติอยู่ในมรรค ๔ จำพวก ผู้ตั้งอยู่ในผล ๔ จำพวก นี้เป็นพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติซื่อตรง ประกอบด้วยปัญญาและศีล ขอพระองค์พร้อมด้วยพระโอรสและพระอัครมเหสี จงถึงพระสงฆ์นั้นเป็นสรณะเถิด ขอพระองค์จงรีบงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ทรงยินดีด้วยพระมเหสีของพระองค์ ไม่ตรัส คำเท็จ ไม่ทรงดื่มน้ำจัณฑ์เถิด.
พระราชาตรัสว่า :-
ดูก่อนเทวดา ท่านเป็นผู้ปรารถนาความเจริญแก่เรา ปรารถนาประโยชน์เกื้อกูลแก่เรา เราจักทำตามคำของท่าน ท่านเป็นอาจารย์ของเรา เราจักเข้าถึงพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 526
อันยอดเยี่ยม กว่าเทวดาและมนุษย์ว่าเป็นสรณะ เราจะรีบงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ และยินดีด้วยพระมเหสีของตน จะไม่พูดเท็จ จะไม่ดื่มน้ำเมา เราจะคลายความเห็นอันชั่วช้า เหมือนโปรยแกลบอันลอยไปตามลมอันแรง เหมือนทั้งหญ้าและใบไม้ลอยไปในแม่น้ำมีกระแสอันเชี่ยว จักเป็นผู้ยินดีในพระพุทธศาสนา พระเจ้าสุรัฐ ครั้นตรัสดังนี้แล้ว ทรงงดเว้นจากความเห็นอันชั่วช้า ทรงนอบน้อมต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว เสด็จขึ้นทรงรถพระที่นั่ง บ่ายพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก กลับคืนสู่พระนคร.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ราชา ปิงฺคลโก นาม สุรฏฺานํ อธิปติ อหุ ความว่า ได้มีพระราชาพระองค์หนึ่ง เป็นอิสระแห่งสุรัฐประเทศ ปรากฏพระนามว่า ปิงคละ เพราะมีจักษุเหลือง. ด้วยบทว่า โมริยานํ ท่านกล่าวหมายถึงพระเจ้าโมริยธรรมาโศก. บทว่า สุรฎฺํ ปุนราคมา ความว่า ได้เสด็จกลับมาตามทางเป็นที่ไปยังสุรัฐประเทศ มุ่งที่อยู่แห่งสุรัฐประเทศ. บทว่า ปงฺกํ ได้แก่ ภูมิภาคอันอ่อนนุ่ม. บทว่า วณฺณุปถํ ได้แก่ หนทางมีทรายที่เปรตนิรมิตรไว้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 527
บทว่า เขโม แปลว่า ปลอดภัย. บทว่า โสวตฺถิโก แปลว่า นำมาซึ่งความสวัสดี. บทว่า สิโว แปลว่า ไม่มีอุปัทวันตราย บทว่า สุรฏฺานํ สนฺติเก อิโต ได้แก่ พวกเราเมื่อไปตามหนทางเส้นนี้ จักถึงที่ใกล้เมืองสุรัฐทีเดียว.
บทว่า สุรฏฺโ ได้แก่ ผู้เป็นใหญ่ในสุรัฐประเทศ. บทว่า อุพฺพิคฺครูโป ได้แก่ ผู้มีความสะดุ้งเป็นสภาวะ. บทว่า ภึสนํ ได้แก่ เกิดความกลัวขึ้น. บทว่า โลมหํสนํ ได้แก่ เกิดขนพองสยองเกล้า เพราะเป็นหนทางน่ากลัว.
บทว่า ยมปุริสาน สนฺติเก ได้แก่ อยู่ในที่ใกล้พวกเปรต. บทว่า อมานุโส วายติ คนฺโธ ความว่า กลิ่นตัวของพวกเปรตย่อมฟุ้งไป. บทว่า โฆโส สุยฺยติ ทารุโณ ความว่า ข้าพระองค์ได้ยินเสียงอันพิลึกน่าสะพึงกลัวของเหล่าสัตว์ผู้กระทำเหตุในนรกโดยเฉพาะ.
บทว่า ปาทปํ ได้แก่ ต้นไม้อันมีชื่อว่า ปาทปะ เพราะเป็นที่ดื่มน้ำทางลำต้นเช่นกับราก. บทว่า ฉายาสมฺปนฺนํ แปลว่า มีร่มเงาสนิทดี. บทว่า นีลพฺภวณฺณสทิสํ ได้แก่. มีสีเขียวชอุ่มดังสีเมฆ. บทว่า เมฆวณฺณสิรีนิภํ ได้แก่ ปรากฏมีสีและสัณฐานคล้ายเมฆ.
บทว่า ปูรํ ปานียสรกํ ได้แก่ ภาชนะน้ำดื่มอันเต็มด้วยน้ำดื่ม. บทว่า ปูเว ได้แก่ ของเคี้ยว. บทว่า วิตฺเต ความว่า นายสารถี
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 528
ได้เห็นขนมที่วางไว้เต็มขันนั้นๆ อันให้เกิดความปลื้มใจ มีรสอร่อย เป็นที่ฟูใจ.
ศัพท์ อโถ ในบทว่า อโถ เต อทุราคตํ นี้ เป็นเพียงนิบาต หรือว่า บทว่า อโถ ใช้ในอรรถแห่งอวธารณะ, อธิบายว่า พวกเรารับด้วยความประสงค์ว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า พระองค์เสด็จมาดี มิใช่เสด็จมาร้าย โดยที่แท้พระองค์เสด็จมาดีทีเดียว. บทว่า อรินฺทม ได้แก่ ผู้มักกำจัดข้าศึก.
บทว่า อนจฺจา ปาริสชฺชา มีวาจาประกอบความว่า พวกอำมาตย์และปุโรหิตจงฟังคำ และพราหมณ์ผู้เป็นปุโรหิตของท่าน จงฟังคำนั้นเถิด
บทว่า สุรฎฺสฺมึ อหํ แก้เป็น สุรฎฺเทเส อหํ เรา ... ในสุรัฐประเทศ. นายสารถี เรียกพระราชาว่า เทวะ. บทว่า มิจฺฉาทิฎ แปลว่า ผู้เห็นผิดแปลกด้วยนัตถิกทิฏฐิ. บทว่า ทุสฺสีโล ได้แก่ ผู้ไม่มีศีล. บทว่า กทริโย แปลว่า ผู้มีความตระหนี่เหนียวแน่น. บทว่า ปริภาสโก ได้แก่ ผู้ด่าสมณพราหมณ์.
บทว่า วารยิสฺสํ แปลว่า ได้ห้ามแล้ว. บทว่า อนฺตรายกโร อหํ มีวาจาประกอบความว่า เราเป็นผู้กระทำอันตรายต่อชนผู้กำลังให้ทาน ผู้ทำอุปการะ และเราห้ามปรามชนเป็นอันมากจากบุญอันสำเร็จด้วยทานของชนเหล่าอื่นผู้กำลังให้ทาน.
บทว่า วิปาโก นตฺถิ ทานสฺส เป็นต้น เป็นบทแสดงอาการที่เราห้ามแล้ว. บรรดาบทเหล่านั้น ด้วยบทว่า วิปาโก นตฺถิ ทานสฺส
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 529
พระองค์ทรงห้ามวิบากว่า เมื่อบุคคลนั้นให้ทานอยู่ วิบาก คือผลที่จะพึงได้รับต่อไป ย่อมไม่มี. บทว่า สํยมสฺส กุโต ผลํ ความว่า ก็ผลแห่งศีลจักมีแต่ที่ไหน, อธิบายว่า ผลแห่งศีลนั้นย่อมไม่มีโดยประการทั้งปวง. บทว่า นตฺถิ อาจริโย นาม ความว่า ใครๆ ผู้ชื่อว่าเป็นอาจารย์ ผู้ให้ศึกษาอาจารและสมาจาระ ย่อมไม่มี, อธิบายว่า ก็ว่าโดยภาวะทีเดียว สัตว์ทั้งหลายผู้ฝึกตนแล้ว หรือยังไม่ได้ฝึกตน ย่อมมีได้. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ใครจักฝึกผู้ที่ยังไม่ได้ฝึก ดังนี้
บทว่า สมตุลฺยานิ ภูตานิ ความว่า สัตว์เหล่านี้ทั้งหมดเป็นผู้เสมอกันและกัน, อธิบายว่า ผู้มีความประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ จักมีแต่ที่ไหน คือ ขึ้นชื่อว่า บุญอันเป็นเหตุให้ประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ ย่อมไม่มี. บทว่า นตฺถิ ผลํ ความว่า สัตว์ทั้งหลายผู้ดำรงอยู่ในกำลังของตนอันใดกระทำความเพียร ย่อมบรรลุสมบัติทั้งหลาย ตั้งต้นแต่ความเป็นผู้เลิศด้วยความสวยงามในหมู่มนุษย์ จนถึงความเป็นพระอรหัตต์ พระองค์ย่อมห้ามกำลังแห่งความเพียรนั้น. บทว่า วีริยํ วา นตฺถิ กุโต อุฎฺานโปริสํ นี้ ท่านกล่าวได้ด้วยอำนาจการปฏิเสธวาทะที่เป็นไปแล้วอย่างนี้ว่า นี้เป็นไปด้วยความเพียรของบุรุษ ด้วยความบากบั่นของบุรุษ หามิได้. บทว่า นตฺถิ ทานผลํ นาม ความว่า ขึ้นชื่อว่า ผลแห่งทานอะไรๆ ย่อมไม่มี อธิบายว่า การบริจาคไทยธรรมย่อมไร้ผลทีเดียว เหมือนเถ้าที่เขาวางไว้. บทว่า เวรินํ ในบทว่า น วิโสเธติ เวรินํ ความว่า ย่อมไม่ทำบุคคลผู้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 530
มีเวร คือ ผู้ทำบาปไว้ด้วยอำนาจเวรและด้วยอำนาจอกุศลธรรม มีปาณาติบาตเป็นต้น ให้หมดจดจากวัตรมีทานและศีลเป็นต้น, คือ แม้ในบางคราวก็ไม่ทำให้หมดจดได้. บทว่า วิปาโก นตฺถิ ทานสฺส เป็นต้น เป็นบทแสดงอาการที่ตนห้ามคนเหล่าอื่น จากทานเป็นต้น ในกาลก่อน แต่บทว่า ชื่อว่า ผลแห่งทานย่อมไม่มีเป็นต้น พึงเห็นว่า เป็นบทแสดงการยึดมั่นผิดๆ แห่งตน. บทว่า สทฺเธยฺยํ แปลว่า พึงได้. เพื่อจะหลีกเลี่ยงคำถามว่า ก็พึงได้อย่างไร? ท่านจึงตอบว่า อันเกิดแต่สิ่งที่น้อมมาเอง อย่างแน่นอน. อธิบายว่า สัตว์นี้ เมื่อได้รับความสุขหรือความทุกข์ ย่อมได้ด้วยอำนาจความแปรปรวนไปอย่างแน่นอนทีเดียว ไม่ใช่เพราะกรรมที่ตนทำไว้เลย และ ไม่ใช่เพราะพระอิศวรนิรมิตรขึ้นเลย. ด้วยบทว่า นตฺถิ มาตา ปิตา ภาตา ท่านกล่าวหมายถึงความไม่มีผลแห่งการปฏิบัติชอบ และการปฏิบัติผิดในมารดาเป็นต้น. บทว่า โลโก นตฺถิ อิโต ปรํ ความว่า ชื่อว่า ปรโลกไรๆ จากอิธโลกนี้ ย่อมไม่มี, อธิบายว่า สัตว์ย่อมขาดสูญไปในที่นั้นๆ นั่นเอง. บทว่า นินฺนํ ได้แก่ มหาทาน. บทว่า หุตํ ได้แก่ สักการะเพื่อแขก, ท่านหมายถึงความไม่มีผลทั้งสองนั้น จึงห้ามว่า นตฺถิ. บทว่า สุนิหิตํ แปลว่า ตั้งไว้ดีแล้ว. บทว่า น วิชฺชติ ความว่า ชนทั้งหลายย่อมกล่าวการให้ทานแก่สมณพราหมณ์ว่าเป็นขุมทรัพย์ อันเป็นเครื่องติดตามนั้น ย่อมไม่มี, อธิบายว่า ทานที่ให้แก่สมณพราหมณ์นั้นเป็นเพียงวัตถุแห่งคำพูดเท่านั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 531
บทว่า น โกจิ กญฺจิ หนติ ความว่า บุรุษใดพึงฆ่าบุรุษอื่น คือ พึงตัดศีรษะของบุรุษอื่น ในข้อนั้น เมื่อว่าโดยปรมัตถ์ ใครๆ ย่อมไม่ฆ่าใครๆ ได้ คือ ย่อมเป็นเสมือนผู้ฆ่า เพราะตัดกายของสัตว์ทั้งหลาย. เพื่อจะเลี่ยงคำถามว่า การประหารด้วยศัสตราเป็นอย่างไร ท่านจึงตอบว่า ใช้ศัสตราเข้าไปในระหว่าง อันเป็นช่องกาย ๗ ช่อง, อธิบายว่า สอดศัตราเข้าไปในระหว่างคือ ในช่องอันเป็นช่องของกาย ๗ ช่อง มีปฐวีเป็นต้น เพราะฉะนั้น สัตว์ทั้งหลายจึงเป็นเหมือนถูกศัสตรา มีดาบเป็นต้น. สับฟัน แต่แม้กายที่เหลือย่อมไม่ขาดไป เพราะมีสภาวะเที่ยงเหมือนมีชีวะ ฉะนั้น.
บทว่า อจฺเฉชฺชาเภชฺโช หิ ชีโว ความว่า ชีพของเหล่าสัตว์นี้ไม่พึงถูกตัด ไม่พึงถูกทำลายด้วยศัสตราเป็นต้น เพราะมีสภาวะเที่ยง. บทว่า อฏฺํโส คุฬปริมณฺฑโล ความว่า ก็ชีพนั้น บางคราวมี ๘ เหลี่ยม บางคราวกลมเหมือนงบน้ำอ้อย. บทว่า โยชนานํ สตํ ปญฺจ ความว่า ชีพนั้นถึงภาวะล้วนสูงประมาณได้ ๕๐๐ โยชน์. ด้วยบทว่า โก ชีวํ เฉตฺตุมรหติ นี้ ท่านกล่าวว่า ใครเล่าควรเพื่อจะตัดชีพอันเที่ยงแท้ คือไม่มีพิการด้วยศัสตราเป็นต้น. คือ ชีพนั้น ใครๆ ไม่ควรให้กำเริบ.
บทว่า สุตฺตคุเฬ ได้แก่ หลอดด้ายที่เขาม้วนทำไว้. บทว่า ขิตฺเต ได้แก่ ซัดไปด้วยอำนาจไม่ได้คลายออก. บทว่า นิพฺเพเนฺตํ ปลายติ ความว่า หลอดด้ายอันด้ายคลี่อยู่ ที่เขาซัดไปบนภูเขา หรือบนต้นไม้ย่อมกลิ้งไปได้ คือ แต่เมื่อด้ายหมด ก็ไปไม่ได้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 532
บทว่า เอวเมวํ ความว่า หลอดด้ายนั้นอันด้ายคลี่คลายอยู่ จึงกลิ้งไปได้ เมื่อสิ้นด้ายย่อมไปไม่ได้ ฉันใด ชีพนั้นก็ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อคลี่คลายหลอดคือภาวะของสัตว์ ย่อมหนีไปได้ คือ ย่อมเป็นไปได้ตลอดเวลาที่กล่าวได้ว่าสิ้นกำหนด ๘,๔๐๐,๐๐๐ มหากัป พ้นจากนั้นหาเป็นไปได้ไม่.
บทว่า เอวเมว จ โส ชีโว ความว่า คนบางคนออกจากบ้านอันเป็นที่อยู่ของตนแล้วเข้าไปยังบ้านอื่น จากบ้านนั้นด้วยกรณียะบางอย่างฉันใด ชีพนั้นก็ฉันนั้นเหมือนกัน ออกจากร่างนี้แล้วก็เข้าไปสู่ร่างอื่นอีก ด้วยอำนาจกำหนดกาล. บทว่า โพนฺทึ ได้แก่ ร่างกาย.
บทว่า จุลฺลาสีติ แปลว่า ๘๔. บทว่า มหากปฺปิโน ได้แก่ มหากัป. ในมหากัปนั้น อาจารย์ทั้งหลายกล่าวว่า เมื่อเทวดาผู้วิเศษนำหยาดน้ำด้วยปลายหญ้าคา ครั้งละหยาดทุกๆ ร้อยปี จากสระใหญ่ มีสระอโนดาดเป็นต้น ออกไป ด้วยความบากบั่นอันนี้ เมื่อสระนั้นแห้งไปถึง ๗ ครั้ง ชื่อว่า เป็นมหากัปอันหนึ่ง จึงกล่าวว่า ๘,๔๐๐,๐๐๐ มหากัปนี้เป็นประมาณแห่งสงสาร. บทว่า เย พาลา เย จ ปณฺฑิตา ความว่า สัตว์ทั้งหลายทั้งที่เป็นอันธพาล ทั้งที่เป็นบัณฑิตทั้งหมดนั้น. บทว่า สํสารํ เขปยิตฺวาน ความว่า ยังสงสารอันกำหนดด้วยกาลตามที่กล่าวแล้วให้สิ้นไป ด้วยอำนาจการเกิดร่ำไป. บทว่า ทุกฺขสฺสนฺตํ กริสฺสเร ความว่า จักกระทำความสิ้นสุดแห่งวัฏฏทุกข์. สงสารนั้น มีการกำหนดว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 533
ทั้งบัณฑิต ก็ไม่สามารถจะชำระตนให้หมดจดในระหว่างได้ ถัดจากนั้นถึงพวกชนพาลก็เป็นไปไม่ได้เลย.
บทว่า มิตานิ สุขทุกฺขานิ โทเณหิ ปิฏเกหิ จ ความว่า ชื่อว่า สุขทุกข์ของสัตว์ทั้งหลายเป็นเหมือนนับด้วยทะนาน ด้วยตะกร้า ได้แก่ ด้วยภาชนะเป็นเครื่องนับ และสุขทุกข์ของเหล่าสัตว์นั้นๆ เกิดแต่การน้อมไปอย่างแน่นอน เป็นอันปริมาณได้โดยเฉพาะ เพราะปริมาณได้โดยกำหนดตามกาลที่กล่าวแล้วนั่นแหละ. พระชินเจ้าย่อมทราบเรื่องนี้นั้นทั้งหมด คือ ท่านดำรงอยู่ชินภูมิย่อมรู้ชัดอย่างเดียว เพราะก้าวล่วงสงสารได้ ส่วนหมู่สัตว์นอกนั้นผู้ลุ่มหลง ย่อมวนเวียนอยู่ในสงสาร.
บทว่า เอวํทิฏฺิ ปุเร อาสึ ความว่า เมื่อก่อนข้าพระองค์ได้เป็นนัตถิกทิฏฐิบุคคล ตามที่กล่าวแล้ว. บทว่า สมฺมูฬฺโห โมหปารุโต ได้แก่ เป็นคนหลงเพราะสัมโมหะ อันเป็นเหตุแห่งทิฏฐิตามที่กล่าวแล้ว อธิบายว่า ก็คนถูกโมหะอันเกิดพร้อมด้วยทิฏฐินั้นครอบงำ คือเป็นดุจพืชแห่งหญ้าคาที่ปิดบังไว้. นันทกเปรตครั้นแสดงบาปกรรมที่ตนทำด้วยอำนาจความเห็นชั่วอันเกิดขึ้นแก่ตนในกาลก่อนอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะ แสดงผลแห่งบาปกรรมนั้นที่ตนจะต้องเสวยในอนาคต จึงกล่าวคำมีอาทิว่า ภายใน ๖ เดือนเราจักตาย ดังนี้
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วสฺสานิ สตสหสฺสานิ ได้แก่ แสนปี, บาลีที่เหลือว่า อติกฺกมิตฺวา แปลว่า ล่วง บัณฑิตพึงนำมา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 534
เชื่อมเข้า. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า วสฺสานิ สตสหสฺสานิ นี้ เป็นปฐมาวิภัติ ใช้ในอรรถสัตตมีวิภัติ, อธิบายว่า เมื่อแสนปีล่วงไปแล้ว. บทว่า โฆโส สุยฺยติ ตาวเท ความว่า ในขณะที่เวลามีประมาณเท่านี้ล่วงไปนั่นแหละ เราได้ยินเสียงในนรกนั้นอย่างนี้ว่า ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย เวลาของพวกท่านผู้ไหม้อยู่ในนรกนี้ ล่วงไปประมาณหนึ่งแสนปี. บทว่า ลกฺโข เอโส มหาราช สตภาควสฺสโกฎิโย ความว่า ข้าแต่มหาราช ๑๐๐ ส่วนโกฏิปี จัดเป็นกำหนด คือเป็นเขตกำหนดอายุของสัตว์ทั้งหลาย ผู้ไหม้อยู่ในนรก. ท่านกล่าวคำอธิบายนี้ไว้ว่า ๑๐ ทสกะ เป็น ๑๐๐, ๑๐ ร้อย เป็น ๑,๐๐๐ สิบพัน ๑๐ หน เป็น ๑๐๐,๐๐๐, ร้อยแสน เป็น ๑ โกฏิ, แสนโกฏิปีด้วยอำนาจโกฏิเหล่านั้น จัดเป็นหนึ่งร้อยโกฏิปี. ก็ร้อยโกฏิปีนั้นแล พึงทราบด้วยการคำนวณปีเฉพาะสัตว์นรก ไม่ใช่สำหรับมนุษย์หรือเทวดา. แสนโกฏิปีเป็นอันมากเช่นนี้ เป็นอายุของสัตว์นรก ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ชนผู้ไหม้อยู่ในนรกสิ้นแสนโกฏิปี ดังนี้. สัตว์ทั้งหลายผู้ไหม้อยู่ในนรกเช่นนี้ เพราะกรรมเช่นใด เพื่อจะแสดงบาปกรรมเช่นนั้นโดยคำลงท้าย ท่านจึงกล่าวว่า เป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็นคนทุศีล และเป็นผู้กล่าวร้ายพระอริยะ ดังนี้. บทว่า เวทิสฺสํ แปลว่า จักได้เสวยแล้ว.
นันทกเปรตครั้นแสดงผลแห่งความชั่วที่ตนจะพึงเสวยในอนาคตอย่างนี้แล้ว บัดนี้ ประสงค์จะทูลเรื่องที่พระราชาตรัสถามว่า ท่านมีอานุภาพอย่างนี้เพราะพรหมจรรย์อะไร ดังนี้แล้ว
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 535
จะให้พระราชานั้นดำรงอยู่ในสรณะและศีล จึงกล่าวคำมีอาทิว่า ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์โปรดทรงสดับ. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สีเลสุโปสเถ รตา ได้แก่ ยินดีแล้วในนิจศีลและอุโบสถศีล. บทว่า อทา แปลว่า ได้ให้แล้ว. บทว่า ตํ ธมฺมํ ได้แก่ มรรคมีองค์ ๘ เละอมตบทนั้น.
พระราชาอันเปรตชักชวนให้สมาทานศีลและสรณะอย่างนี้แล้ว มีพระทัยเลื่อมใส เบื้องต้นจึงระบุถึงอุปการะที่เปรตนั้นกระทำแก่พระองค์ เมื่อจะตั้งอยู่ในสรณะเป็นต้น จึงกล่าวคาถา ๓ คาถามีอาทิว่า ผู้ปรารถนาความเจริญ ดังนี้ เมื่อจะทรงประกาศถึงความที่ทรงละทิฏฐิชั่วที่พระองค์ยึดถือในกาลก่อน จึงตรัสคาถาว่า เราโปรย (แกลบในที่ลมแรง) เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โอผุณามิ มหาวาเต ความว่า ดูก่อนเทวดา เราจะโปรยคือขจัดทิฏฐิชั่วนั้น ณ ที่ลมคือธรรมเทศนาของท่าน เหมือนโปรยแกลบไปที่ลมแรงซึ่งกำลังพัดอยู่. บทว่า นทิยา วา สีฆคามิยา อธิบายว่า หรือว่าเราจะลอยทิฏฐิชั่วเหมือนลอยหญ้า ไม้ ใบไม้ และสะเก็ด ลงในแม่น้ำใหญ่ที่มีกระแสอันเชี่ยว. บทว่า วมามิ ปาปิกํ ทิฏฺึ ความว่า เราจะละทิ้งทิฏฐิชั่วที่อยู่ในใจของเรา. พระราชากล่าวเหตุในข้อนั้นว่า ยินดีแล้วในพระศาสนา ดังนี้. มีวาจาประกอบความว่า เพราะเหตุที่เรายินดี คือ ยินดียิ่งในพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทั้งหลาย อันนำอมตะมาโดยส่วนเดียว ฉะนั้น เราจะคายพิษคือทิฏฐินั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 536
คาถาสุดท้ายว่า อิทํ วตฺวาน ดังนี้ พระสังคีติกาจารย์ทั้งหลายได้ตั้งไว้แล้ว. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปาโมกฺโข ได้แก่ บ่ายหน้าไปทางทิศตะวันออก. บทว่า รถมารุหิ ความว่า พระราชาเสด็จขึ้นสู่ราชรถของพระองค์อันเป็นรถพระที่นั่งเสด็จ ครั้นเสด็จขึ้นแล้วได้ถึงพระนครของพระองค์ในวันนั้นนั่นเอง ด้วยอานุภาพของเทวดา แล้วเสด็จเข้าพระราชวัง. สมัยต่อมาท้าวเธอตรัสบอกเรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายจึงแจ้งเรื่องนั้นแก่พระเถระทั้งหลาย. พระเถระทั้งหลายจึงยกขึ้นสู่สังคายนาในตติยสังคีติ.
จบ อรรถกถานันทกเปตวัตถุที่ ๓