ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ข้อความบางตอนจาก
มงคลสูตร
บัดนี้เมื่อทรงสรรเสริญการคบบัณฑิต จึงตรัสว่า การคบบัณฑิตเป็นมงคล สัตว์ทุกประเภทผู้ประกอบด้วยกุศลกรรมบถ ๑๐ มีเจตนางดเว้นปาณาติบาตเป็นต้น ชื่อว่า บัณฑิต ในจำพวกพาลและบัณฑิตนั้น บัณฑิตเหล่านั้น จะพึงรู้ได้ก็ด้วยอาการทั้ง ๓ เหมือนอย่างที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ พระสูตรว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัณฑิต ลักษณะของบัณฑิต เหล่านั้น อนึ่ง พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอสีติมหาสาวก พระสาวกอื่นของพระตถาคต และบัณฑิตมีสุเนตตศาสดา มหาโควินทศาสดา พระวิธูรบัณฑิต สรภังคดาบส พระมโหสธ สุตโสมบัณฑิต พระเจ้านิมิราช อโยฆรกุมาร และ อกิตติบัณฑิต เป็นต้น พึงทราบว่าบัณฑิต. บัณฑิตเหล่านั้น เป็นผู้สามารถกำจัดภัยอุปัทวะและอุปสรรคได้ทุกอย่าง แก่พวกที่ทำตามคำของตน ประหนึ่งป้องกันได้ในเวลามีภัย ประหนึ่ง
[เล่มที่ 39] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 176
ดวงประทีปในเวลามืด ประหนึ่งได้ข้าวน้ำเป็นต้น ในเวลาถูกทุกข์มีหิวกระหาย เป็นต้นครอบงำ. จริงอย่างนั้น อาศัยพระตถาคต พวกเทวดาและมนุษย์นับไม่ถ้วน ประมาณไม่ได้พากันบรรลุธรรมเป็นที่สิ้นอาสวะ ดำรงอยู่ในพรหมโลก ดำรงอยู่ในเทวโลก เกิดในสุคติโลก ตระกูลแปดหมื่นตระกูล ทำจิตให้เลื่อมใสในพระสารีบุตรเถระ และบำรุงพระเถระด้วยปัจจัย ก็บังเกิดในสวรรค์. ตระกูลทั้งหลายทำจิตให้เลื่อมใส ในพระมหาสาวกทั้งปวง นับตั้งแต่พระมหาโมคคัลลานะ พระมหากัสสปเป็นต้นไป ก็อย่างนั้นเหมือนกัน สาวกทั้งหลายของสุเนตตศาสดา บางพวกก็เกิดในพรหมโลก บางพวก ก็เข้าเป็นสหายของเหล่าเทพชน ปรนิมมิตวสวัตดี ฯลฯ บางพวกก็เข้าเป็นสหายของคฤหบดีมหาศาล. แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ได้ตรัสไว้ดังนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไม่มีภัยแต่บัณฑิต ไม่มีอุปัททวะแต่บัณฑิต ไม่มีอุปสรรคแต่บัณฑิต
อนึ่ง บัณฑิตเสมือนของหอมมีกฤษณา และดอกไม้เป็นต้น คนผู้คบบัณฑิตก็เสมือนห่อด้วยใบไม้ที่ห่อของหอมมีกฤษณาและดอกไม้เป็นต้น ยังประสบภาวะที่วิญญูชนชมเชยและพอใจ. แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ได้ตรัสไว้ดังนี้ว่า ตครญฺจ ปลาเสน โย นโร อุปนยฺหติ ปตฺตาปิ สุรภี วายนฺติ เอวํ ธีรูปเสวนา
นรชนผู้ใดห่อกฤษณาไว้ด้วยใบไม้ แม้ใบไม้ของนรชนผู้นั้นก็ส่งกลิ่นหอมฟุ้ง การคบบัณฑิต ก็เหมือนอย่างนั้น
อนึ่งเล่า เมื่อท้าวสักกะจอมทวยเทพประทานพรแก่ อกิตติบัณฑิต ก็กล่าวว่า ธีรํ ปสฺเส สุเณ ธีรํ ธีเรน สห สํวเร ธีเรนลฺลาปสลฺลาปํ ตี กเร ตญฺจ โรจเย
ควรพลบัณฑิต ควรฟังบัณฑิต ควรอยู่ร่วมกับบัณฑิต ควรทำการสนทนาปราศรัยกับบัณฑิต และควรชอบใจบัณฑิตนั้น
ท้าวสักกะจอมทวยเทพตรัสถามว่า กินฺนุ เต อกรํ ธีโร วท กสฺสป การณํ เกน กสฺสป ธีรสฺส ทสฺสนํ อภิกงฺขสิ
ท่านกัสสปะ ทำไมหนอ บัณฑิตจึงไม่ทำต่อท่านโปรดบอกเหตุมาสิ เพราะเหตุไรหนอ ท่านจึงอยากพบบัณฑิต นะท่านกัสสปะ. อกิตติบัณฑิตตอบว่า นยํ นยติ เมธาวี อธุรายํ น ยุญชติ สุนโย เสยฺยโส โหติ สมฺมา วุตฺโต น กุปฺปติ วินยํ โส ปชานาติ สาธุ เตน สมาคโม
บัณฑิตย่อมแนะนำเรื่องที่ควรแนะนำ ไม่จูงคนไปในกิจมิใช่ธุระ แนะนำเขาก็ง่ายดี เพราะเขาถูกว่ากล่าวโดยดี ก็ไม่โกรธ บัณฑิตนั้นรู้วินัย สมาคมกับบัณฑิตเป็นการดี
พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงสรรเสริญการคบบัณฑิต โดยธรรมทั้งปวงอย่างนี้ จึงตรัสว่า การคบบัณฑิตเป็นมงคล. บัดนี้ เมื่อจะทรงสรรเสริญการบูชาบุคคลผู้เข้าถึงความเป็นผู้ควรบูชาโดยลำดับ ด้วยการไม่คบพาลและการคบบัณฑิตนั้น จึงตรัสว่า ปูชา จ ปูชเนยฺยานํ มงคลํ การบูชาผู้ที่ควรบูชาเป็นมงคล. พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าข้า ชื่อว่า ปูชเนยยะ เพราะทรงเว้นจากโทษทุกอย่าง และเพราะทรงประกอบด้วยคุณทุกอย่าง และภายหลังจากนั้น ก็พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอริยสาวกทั้งหลาย ชื่อว่าปูชเนยยะ. จริงอยู่การบูชาปูชเนยยบุคคลเหล่านั้น แม้เล็กน้อย ก็เป็นประโยชน์สุขตลอดกาลยาวนาน. ในข้อนี้ มีเรื่องนายสุมนมาลาการและนางมัลสิกาเป็นต้น เป็นตัวอย่าง
ใน ๒ เรื่องนั้น จะกล่าวแต่เรื่องเดียว พอเป็นตัวอย่าง. ความว่า เช้าวันหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอันตรวาสกแล้วทรงถือบาตรจีวร เสด็จเข้าไปบิณฑบาตยังกรุงราชคฤห์ ขณะนั้น นายช่างดอกไม้ชื่อ สุมนมาลาการ กำลังเดินถือดอกไม้สำหรับพระเจ้าพิมพิสาร จอมทัพมคธ ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จถึงประตูกรุงผ่องใสน่าเลื่อมใสประดับด้วยพระมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการและพระอนุพยัญชนะ ๘๐ ประการรุ่งเรื่องด้วยพระพุทธสิริ
ครั้นเห็นแล้ว เขาก็คิดว่า พระราชาทรงรับดอกไม้แล้วก็จะพึงประทานทรัพย์ร้อยหนึ่งหรือพันหนึ่ง ก็อันนั้นก็จะพึงเป็นความสุขเพียงโลกนี้เท่านั้น. แต่การบูชาพระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมจะมีผลประมาณไม่ได้ นับไม่ถ้วนนำประโยชน์สุขมาให้ตลอดกาลยาวนาน. เอาเถิดจำเราจะบูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยดอกไม้เหล่านั้น ดังนี้เขามีจิตเลื่อมใส จับดอกไม้กำหนึ่งเหวี่ยงไปเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้า. ดอกไม้ทั้งหลายไปทางอากาศประดิษฐานเป็นเพดานดอกไม้อยู่เหนือพระผู้มีพระภาคเจ้า. นายมาลาการเห็นอานุภาพนั้น ก็มีจิตเลื่อมใสยิ่งขึ้น จึงเหวี่ยงดอกไม้ไปอีกกำหนึ่ง แม้ดอกไม้เหล่านั้น ก็ไปประดิษฐานเป็นเกราะดอกไม้. นายมาลาการเหวี่ยงดอกไม้ไป ๘ กำ อย่างนี้ ดอกไม้เหล่านั้น ก็ไปประดิษฐานเป็นเรือนยอดดอกไม้
พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ในเรือนยอด มหาชนก็ชุมนุมกัน พระผู้มีพระภาคเจ้าทอดพระเนตรเห็นนายมาลาการ ก็ทรงทำอาการแย้มให้ปรากฏ พระอานนทเถระก็ทูลถามถึงเหตุที่ทรงแย้มด้วยคิดว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย จะไม่ทรงแย้มให้ปรากฏ. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า อานนท์ นายมาลาการผู้นี้จักท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์แสนกัป ด้วยอานุภาพของการบูชานี้แล้วในที่สุดก็จักเป็นพระปัจเจกพระพุทธเจ้า นามว่าสุมนิสสระ. ตรัสจบก็ได้ตรัสพระคาถา เพื่อทรงแสดงธรรมว่า ตญฺจ กมฺมํ กตํ สาธุ ยํ กตฺวา นานุตปฺปติ ยสฺส ปตีโต สุมโน วิปากํ ปฏิเสติ
บุคคลทำกรรมใดแล้วไม่เดือดร้อนภายหลัง บุคคลใจดีเอิบอิ่มแล้วเสวยผลของกรรมใด กรรมนั้น ทำแล้วดี
จบคาถา สัตว์ ๘๔,๐๐๐ ได้บรรลุธรรม การบูชาปูชเนยยบุคคลเหล่านั้น แม้เล็กน้อยพึงทราบว่า มีประโยชน์สุขตลอดกาลยาวนาน ด้วยประการฉะนี้
ก็การบูชานั้นเป็นอามิสบูชา จะป่วยกล่าวไปไยในปฏิบัติบูชา เพราะกุลบุตรเหล่าใด บูชาพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยการรับสรณคมน์และสิกขาบท ด้วยการสมาทานองค์อุโบสถ และด้วยคุณทั้งหลายของตน มีปาริสุทธิศีล ๔ เป็นต้น ใครเล่าจักพรรณนาผลแห่งการบูชาของกุลบุตรเหล่านั้นได้. ด้วยว่ากุลบุตรเหล่านั้น ท่านกล่าวว่า บูชาพระตถาคตด้วยการบูชาอย่างยอดเยี่ยมเหมือนอย่างที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
ดูก่อนอานนท์ ผู้ใดแล ไม่ว่าเป็นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก หรืออุบาสิกา เป็นผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติชอบยิ่ง ประพฤติตามธรรม ผู้นั้น ชื่อว่าสักการะเคารพนับถือบูชา ยำเกรงนอบน้อมตถาคต ด้วยการบูชาอย่างยอดเยี่ยม ความที่การบูชาแม้พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระอริยสาวกนำมาซึ่งประโยชน์สุข พึงทราบตามแนวนี้.
อนึ่ง สำหรับ คฤหัสถ์ พึงทราบปูชเนยยบุคคลในข้อนี้อย่างนี้ คือ ผู้เจริญที่สุด ทั้งพี่ชาย ทั้งพี่สาว ชื่อว่าปูชเนยยบุคคลของน้อง มารดาบิดา เป็นปูชเนยยบุคคลของบุตร สามีพ่อผัวแม่ผัวเป็นปูชเนยยบุคคลของกุลสตรีทั้งหลาย ด้วยว่า การบูชาปูชเนยยบุคคลแม้เหล่านั้น เป็นมงคลทั้งนั้น เพราะนับว่าเป็นกุศลธรรม และเพราะเป็นเหตุเจริญอายุเป็นต้น.
พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระพุทธดำรัสไว้ดังนี้ว่าชนเหล่านั้น จักเป็นผู้เกื้อกูลมารดา เกื้อกูลบิดา เกื้อกูลสมณะ. เกื้อกูลพราหมณ์ เป็นผู้นอบน้อมผู้ใหญ่ในสกุล ยังจักยึดถือกุศลธรรมนี้ปฏิบัติ ก็จักเจริญทั้งอายุ จักเจริญทั้งวรรณะ เพราะเหตุสมาทานกุศลธรรมเหล่านั้นเป็นต้น.
บัดนี้ เพราะเหตุที่ข้าพเจ้าตั้งมาติกาหัวข้อไว้ว่า กล่าวสมุฏฐานเป็นที่เกิดมงคล แล้วกำหนดมงคลนั้น จะชี้แจงความของมงคลนั้น ฉะนั้น จึงขอชี้แจงดังนี้ พระผู้พระภาคเจ้าตรัสมงคลแห่งคาถานี้ไว้ ๓ มงคลคือ การไม่คบคนพาล, การคบบัณฑิต, และการบูชาผู้ที่ควรบูชา ด้วยประการฉะนี้
ในมงคลทั้ง ๓ นั้น พึงทราบว่าการไม่คบพาลชื่อว่าเป็นมงคล เพราะเป็นเหตุแห่งประโยชน์ของโลกทั้งสอง เหตุป้องกันภัยมีภัยเกิดแต่คบพาลเป็นปัจจัยเป็นต้น การคบบัณฑิตและการบูชาผู้ที่ควรบูชา ชื่อว่าเป็นมงคล เพราะเป็นเหตุแห่งนิพพานและสุคติ โดยนัยที่กล่าวไว้แล้วในการพรรณนาความเพิ่มพูนแห่งผลของการคบบัณฑิตและการบูชาผู้ที่ควรบูชานั้นนั่นแล. แต่ข้าพเจ้าจักยังไม่แสดงหัวข้อต่อจากนี้ไป จักกำหนดข้อที่เป็นมงคลอย่างนี้ จึงจักชี้แจงความที่ข้อนั้น เป็นมงคล
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุโมทนาคุณหมอ ที่นำธรรมในเรื่องการคบบัณฑิตมาให้อ่านกัน ครับ สำหรับบัณฑิตนั้น ถ้าจะเปรียบบัณฑิต คือ ผู้ที่มีคุณธรรม และ มีปัญญา มีความเข้าใจพระธรรม ท่านเปรียบเหมือนบัณฑิตเป็นแสงไฟในความมืด เพราะบัณฑิตผู้มีปัญญา สามารถที่จะทำให้เริ่มเข้าใจว่า ความจริงคืออะไร ขณะที่ แม้โลกสว่างอยู่ แต่ปุถุชนผู้ไม่รู้ความจริง ก็ถูกความมืดปกคลุม ไม่ให้รู้ความจริงของสภาพธรรมในขณะนี้ ทำให้หลงยึดถือว่า มีสัตว์ บุคคล มีเรา มีเขา เกิดกิเลสต่างๆ มากมาย เพราะอาศัย ความมืด คือ อวิชชา บัณฑิตผู้มีปัญญา เปรียบเหมือนแสงสว่างที่แนะนำ ทำให้เกิดความเห็นถูก เกิดแสงสว่างในดวงใจ ทีละน้อย ขณะที่เข้าใจเพิ่มขึ้น การคบบัณฑิต จึงเป็นการทำให้โลกสว่าง สว่างจากกิเลส สว่างจากความไม่รู้ และนำมาซึ่งประโยชน์สุขในโลกนี้ และในโลกหน้าด้วย อันมีการอาศัยการคบบัณฑิต ซึ่งบัณฑิตสูงสุด คือ พระพุทธเจ้า แต่เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว การคบบัณฑิตที่ประเสริฐ คือ การคบพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ คือ การได้ฟังได้ศึกษาพระธรรม ในหนทางที่ถูก ก็ชื่อว่ากำลังคบบัณฑิตอยู่ เพราะเป็นทางที่ทำให้เกิดปัญญา และ ละกิเลส และ พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ย่อมนำมาซึ่งประโยชน์สุขทั้งโลกนี้และโลกหน้า และถึงประโยชน์สูงสุด คือ การดับกิเลส บรรลุพระนิพพาน จึงควรคบบัณฑิต คือการฟัง การศึกษาพระธรรม เป็นสำคัญ ครับ
ขออนุโมทนาคุณหมอ และ ทุกท่าน ครับ
ขอบพระคุณและอนุโมทนาคุณผเดิม คุณคำปั่น มาก ครับ
เป็นประโยชน์มากครับ
ขอบพระคุณและอนุโมทนาคุณวันชัย คุณเซจาน้อยและทุกท่านครับ
ขออนุโมทนาครับ
คบกับบัณฑิต ทำให้เดินในทางที่ถูกเสมอค่ะ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
บัณฑิตเป็นผู้ที่มีปัญญาความรู้ความเข้าใจพระธรรมอย่างถูกต้อง เป็นผู้อนุเคราะห์ให้ออกจากอกุศลธรรม แล้วให้ตั้งอยู่ในกุศลธรรม ให้เป็นผู้มีความเจริญในกุศลธรรมยิ่งๆ ขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ ความเจริญด้วยปัญญา ซึ่งเป็นธรรมที่เข้าใจถูกต้อง ในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง
เมื่อคบกับบัณฑิต ย่อมทำให้เราได้เข้าใจธรรมเพิ่มขึ้น (จากที่ไม่เคยรู้ ไม่เคยเข้าใจมาก่อนก็จะค่อยๆ รู้ขึ้น เข้าใจขึ้น) ทำให้เราตั้งอยู่ในกุศลธรรม ได้สะสมกุศล ในชีวิตประจำวันเพิ่มขึ้น ทำให้เราเห็นโทษของอกุศลแล้วถอยกลับจากอกุศล เพราะสัตบุรุษเป็นบุคคลที่ประกอบด้วยธรรมอันงาม และสามารถแนะนำให้บุคคลอื่นตั้งอยู่ในธรรมงาม ด้วย
ดังนั้น การได้คบกับบัณฑิต จึงเป็นไป เพื่อความเจริญขึ้นของปัญญา (สูงสุดคือการดับกิเลส พ้นจากทุกข์ทั้งปวง) และกุศลธรรมประการอื่นๆ ก็ย่อมจะเจริญขึ้นด้วย ไม่พบกับความเสื่อมเลย ครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณหมอ และทุกๆ ท่านด้วยครับ...
ขอบพระคุณ และอนุโมทนาค่ะ
กราบอนุโมทนาคุณหมอครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณหมอและทุกๆ ท่านครับ
ขอบคุณและกราบอนุโมทนาทุกๆ ท่านค่ะ
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ การศึกษาพระธรรมต้องเป็นผู้ละเอียด
ขออนุโมทนาครับ
กราบขอบพระคุณยินดีในกุศลทุกท่านค่ะ