คือผมอยากทราบว่า ถ้าคนที่เจริญสติมากๆ จนสามารถแยกรูป นามได้จนชำนาญแล้ว และยอมรับว่าสิ่งต่างๆ นั้นไม่เที่ยง ก็คือมีสติคอยกำกับกิเลสใช่ไหมครับ แล้วถ้าวันหนึ่งเกิดอุบัติเหตุกระทบสมองจนเสียความทรงจำ อยากรู้ว่าสติที่เคยฝึกฝนมายังทำหน้าที่ต่อไปได้รึเปล่าครับ ขอบคุณมากๆ สำหรับทุกความเห็นครับผม
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สภาพธรรมที่เป็น จิต เจตสิก ที่เกิดขึ้น ที่เป็นกุศลจิต หรือ อกุศลจิต ทำหน้าที่สะสม สะสมสภาพธรรมทั้งที่เป็นฝ่ายดี และ ฝ่ายไม่ดี เพราะฉะนั้น เมื่อปัญญาความเข้าใจเกิดขึ้น ก็สะสมความเข้าใจ สะสมปัญญา เก็บไว้ในหทัย ในจิต ไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่ว่า จะมีเหตุปัจจัยให้เกิดปัญญาขึ้นอีกหรือไม่ เพราะในความเป็นจริง แม้สะสมปัญญามา แต่ไม่ได้หมายความว่าปัญญาจะเกิดตลอดเวลาครับ จะต้องอาศัยเหตุปัจจัย จึงจะเกิดขึ้น เช่น อาศัยการได้ฟังพระธรรมอีก เป็นต้น
ขออนุญาตยกตัวอย่างในสมัยพุทธกาล ก่อนที่พระอริยสาวกทั้งหลายจะบรรลุธรรมนั้น ในอดีตชาติต่างๆ ของท่าน ก็สะสมปัญญามาแล้วในอดีตชาติ มาในชาติที่จะบรรลุ คือ ในชาติที่พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น เมื่อยังไม่ได้ฟังพระธรรม ก็มัวเพลิดเพลินเป็นไปตามอำนาจกิเลส ที่ยินดีพอใจในสิ่งต่างๆ ไม่สนใจพระธรรมเลยก็มี เพราะอำนาจของกิเลส และ ความเป็นปุถุชน แม้ว่าในอดีตชาติจะสะสมปัญญามามากในสมัยพระพุทธ เจ้าองค์ก่อนๆ ต่อเมื่อได้ฟังพระธรรม ก็สนใจพระธรรม และบรรลุธรรมได้ จากตัวอย่างนี้ แสดงให้เห็นว่า ปัญญาที่เคยเกิด เคยสะสมมาในอดีตชาติของพระอริยสาวกทั้งหลายไม่ได้หายไปไหน เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม ปัญญาก็เกิด แต่เมื่อยังไม่ได้ฟังพระธรรมในชาตินั้น ปัญญาก็ยังไม่เกิด แม้แต่เคยสะสมปัญญามา โดยนัยเดียวกัน สำหรับคำถามที่ว่า ผู้ที่สะสมปัญญามา รู้รูปและนามตามความเป็นจริง แล้วเกิดอุบัติเหตุ เสียความทรงจำ สติที่เคยเกิด ทำหน้าที่ต่อไปได้ไหม
สำหรับผู้ที่เคยเกิดสติปัฏฐานแล้ว หรือ เคยเกิดวิปัสสนาญาณ ก็ไมได้หมายความว่า จะต้องเกิดอีกในชาตินั้น เมื่อเหตุยังไม่พร้อมปัญญายังไม่แก่กล้า แต่สิ่งที่เกิดแล้ว ปัญญาที่เกิดแล้วไม่ได้หายไปไหน แม้แต่คนปกติ ไม่เกิดอุบัติเหตุ แม้ในขั้นการฟัง ฟังเข้าใจเรื่องนี้ ขณะนั้นเข้าใจ ต่อไปอีกไม่กี่วันก็ลืม แต่การเข้าใจในขณะนั้น ไม่ได้หายไปไหน ซึ่งอาจจะเกิดต่อไปในชาติอื่นๆ ก็ได้ และ คนปกติ ที่เคยเกิดวิปัสสนาญาณ ครั้งหนึ่ง รู้รูป นามในชาตินี้ แต่วิปัสสนาญาณก็ไม่จำเป็นจะต้องเกิดอีกในชาตินั้นต่อไปก็ได้ แต่ความเข้าใจ ปัญญาระดับวิปัสสนาญาณนั้น ที่ประจักษ์ความจริง ไม่ได้หายไปไหน ก็พร้อมที่จะเกิดอีกในขณะใดก็ได้ โดยนัยเดียวกัน ผู้ที่ได้วิปัสสนาญาณ อบรมปัญญามาแล้ว เมื่อได้รับอุบัติเหตุ กระทบกระเทือนสมอง ทำให้เสียความทรงจำ ปัญญาที่เคยสะสมมาไม่ได้หายไปไหน ซึ่งอาจจะเกิดวิปัสสนาญาณ เกิดปัญญาอีก หรือ ไม่เกิด ก็ได้ แล้วแต่เหตุปัจจัย ซึ่งขณะที่หลงลืม จำอะไรไม่ได้ โอกาสที่จะเกิดวิปัสสนาญาณ ความเข้าใจถูกระดับสูงก็ยาก ครับ แต่เมื่อจบจากชาตินั้นก็สามารถเกิดได้อีก ดังตัวอย่างอริยสาวกในอดีต เช่น นางปฏาจารา ที่ท่านอบรมปัญญามามากในอดีตชาติ แต่ในชาติก่อนบรรลุ ก็เกิดเป็นบ้า จำอะไรไม่ได้ สติปัญญาก็ไม่เกิดตอนนั้น แต่ตอนหลังเมื่อได้ฟังพระธรรม หายจากความเป็นบ้า ก็เกิดปัญญาได้ เพราะเหตุปัจจัยพร้อม ครับ
หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง สำหรับผู้ที่ยังเป็นปุถุชนอยู่ ก็ต้องเคยล่วงศีล ๕ ซึ่งสำหรับ ผู้ที่อบรมเจริญปัญญามา ในสมัยพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ตราบใดที่ยังไม่ใช่พระโสดาบัน บาปกรรมก็ยังให้ผลได้ง่าย และ ยังล่วงศีลได้ เป็นธรรมดา สำหรับผู้ที่ล่วงศีลข้อ ๕ ก็ทำให้ เป็นบ้าในชาติที่เกิดเป็นมนุษย์ เพราะฉะนั้น แม้จะอบรมปัญญามามาก แต่เมื่อกรรมให้ผล ในการล่วงศีลข้อ ๕ คือ การดื่มสุรา ทำให้เกิดเป็นบ้า ชาตินั้น ก็ไม่สามารถที่จะอบรมปัญญาได้ เพราะเหตุปัจจัยไม่พร้อมในชาตินั้น แม้จะเคยอบรมปัญญมามากก็ตาม แต่การสะสมปัญญาในอดีตไม่ได้หายไปไหน เมื่อหมดกรรมให้ถึงความเป็นบ้า ก็สามารถเกิดปัญญาในชาตินั้น หรือ ชาติต่อไปที่หายจากความเป็นบ้าแล้ว ครับ
เพราะฉะนั้น ทุกอย่างต้องเหตุปัจจัยพร้อม สติและปัญญาที่เกิดขึ้นไม่ได้หายไปไหน ก็สามารถเกิดได้ อีก เพียงแต่ว่า ช่วงเวลาใดที่เหตุปัจจัยไม่พร้อม ปัญญาก็ไม่เกิดในช่วงเวลานั้น ครับ
เชิญคลิกอ่านที่นี่ ครับ
อานิสงส์การฟังธรรม ๔ ประการ [โสตานุคตสูตร]
ขออนุโมทนา
ขอบคุณ มากๆ ครับผม
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ธรรมเป็นอนัตตา เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ไม่มีใครสามารถบังคับบัญชาให้สภาพธรรมเกิดขึ้นเป็นไปตามใจชอบของตนเองได้เลย เป็นความจริงที่ว่า ตราบใดที่ยังไม่ได้ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาด แน่นอนต้องเกิด มีจิต เจตสิก และรูป เกิดขึ้นเป็นไปในภพต่างๆ จะเกิดเป็นใคร ประสบกับสิ่งที่น่าปรารถนา หรือ ไม่น่าปรารถนา มากน้อยเพียงใด อย่างไร ก็ล้วนแล้วแต่เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ทั้งสิ้น
ดังนั้น ประโยชน์สูงสุดของการเกิดมาในแต่ละภพแต่ละชาตินั้น ก็คือ มีโอกาสได้ฟัง ได้ศึกษาพระธรรม สะสมปัญญา (ความเข้าใจถูก ความเห็นถูก) ไปตามลำดับ ความเข้าใจไม่สูญหายไปจากจิต สะสมสืบต่อ และ จะมีมากขึ้น เจริญขึ้น ถ้าไม่ขาดการฟัง การศึกษาพระธรรม และประการที่สำคัญ เพราะเคยได้สะสมอุปนิสัยที่ดี มีการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม มาแล้ว ก็ย่อมจะเป็นเหตุปัจจัยให้ได้ฟัง ได้ศึกษา ได้อบรมเจริญปัญญาต่อไป ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขณะที่ร่างกายผิดปกติ เช่น จำอะไรไม่ได้ ขณะนั้นก็ขาดการอบรมปัญญาชั่วคราว เพราะฟังธรรมไม่รู้เริ่อง แต่ ถ้าเกิดชาติใหม่ กุศลให้ผลก็อบรมปัญญาต่อได้ ค่ะ
ขออนุโมทนา
ขออนุโมทนาครับ