เล่าคร่าวๆ น่ะคะ
ที่บ้าน มีพ่อกับแม่ (มีลูก 4 คน) ,ป้า (มีลูก 1 คน) , อา (มีลูกบุญธรรม 1 คน)
ผู้ใหญ่ทั้ง 4 คนทำธุรกิจร่วมกันมาตั้งแต่เริ่มแรก (ตามพฤตินัย) แต่ในทะเบียนการค้าเป็นชื่อแม่ แต่คนถือเงิน เบิกเงิน เป็นป้ากับอา
เมื่อเด็กๆ เริ่มโตขึ้น ปัญหาก็ตามมา
-พ่อ กับแม่ ทำงานแต่ได้รับเป็นเงินเดือนไม่ถึงหมื่น
-ลูกป้า กลับมาช่วยที่ร้านด้วย ได้เงินเดือนเหมือนกัน แต่ได้ตึกใหม่พร้อมที่ดินสิบ
กว่าล้าน (ยังไม่นับรวมเงินลงทุนในกิจการที่จะแยกออกไปทำอีก3ล้าน-ใช้เงินกงสี
ทั้งหมด)
-ลูกอา เปิดธุรกิจให้ ประมาณ 1 ล้านพร้อมรถป้ายแดง 1 คัน ลงทุนให้หมด ทุกวันนี้
ค่าเช่า ค่ากิน ยังใช้เงินกงสีอีก ส่วนที่เปิดร้านขายของ ขายได้เท่าไหร่เป็นกำไรหมด
ไม่ต้องให้ใคร
แต่ลูกแม่ทั้ง 3 คนกลับมาช่่วยงานที่บ้านได้รับเงินเดือน ขอทำธุรกิจอะไรก็ถูกคัดค้านตลอด ไม่เคยยักยอก ขายของได้เท่าไหร่เอาใส่ลิ้นชักหมด แต่เชื่อไหมแม่บอกว่า
ขายของได้ให้เก็บเอาไว้เองบ้าง ไม่ต้องใส่ลิ้นชักหมด เราถือศีล 5 อึ้งเหมือนกัน
ไม่รู้ควรทำไหมเพราะจริงๆ แล้วจะถือว่าแม่เป็นเจ้าของกิจการได้ไหม (เพราะจด
ทะเบียนเป็นชื่อแม่) ถ้าแม่อนุญาต เราทำตาม ก็ถือว่าเราไม่ผิดศีลข้อ 2 แต่อีกใจ
หนึ่งก็บอกว่าน่าจะผิด ถ้าทำตาม เพราะตามความรู้สึกเหมือนต้องขออากับป้าก่อน
ตอนนี้เลยไม่แน่ใจ เพราะเจ้าของเงินจริงๆ เป็นใครกัน!!!!
ที่แม่บอกให้ทำแบบนั้น คงกลัวว่าลูกแม่ 3 คนจะไม่ได้อะไร คงห่วงเพราะลูกๆ ก็
36-37 ปีแล้ว เราเข้าใจแม่น่ะ เพราะเป็นสะใภ้คนจีน ต้องมีความอดทน โคตรสูง!!!!
ทำอะไรก็โดนญาติทางพ่อว่าเสมอๆ ทำดี แต่ก็โดนว่า บางครั้งเราเป็นลูกเห็นอา,
ป้ามาว่าแม่ก็ของขึ้นเอา แต่ก็ไม่รู้จะเถียงไง อ้างบุญคุณที่เลี้ยงเรามาตลอด
ส่วนพ่อ ไม่ต้องพูดถึง ไม่มีอำนาจใดๆ ในใจเราคงบาปมากที่ไม่รู้สึกห่วงพ่อเลย
ตลอดเวลาพ่อไม่เคยสู้เพื่อลูกกับเมียเลย ความรักที่มีให้พ่อมันแทบไม่มี
สรุปแล้ว ควรทำ หรือไม่ควรทำ ช่วยวิเคราะห์หน่อยค่ะ ขอบคุณนะคะ คิดว่าปัญหาแบบนี้คงเป็นกันมาก ถ้าใครเกิดในครอบครัวคนจีน
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระธรรมเป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้ง และ จะต้องพิจารณาความละเอียดของการ
กระทำในขณะนั้นด้วย ซึ่งในประเด็นนี้ การประกอบธุรกิจนั้น เงินยังเป็นของส่วนกลาง
ต้องมีการแบ่งสรรปันส่วนกันก่อน จึงจะสมควร เพราะเราไม่ใช่เจ้าของคนเดียว เพราะ
ฉะนั้น ควรที่จะมีการแบ่งกันเรียบร้อย จึงถือว่า บริสุทธิ์ ในเงินเหล่านั้น เพราะเป็น
เจ้าของร่วมกัน ดังนั้น ไม่ควรที่จะถือเงินเอาเอง โดยถือวิสาสะ ในเงินที่เป็นเจ้าของ
รวม หากว่า มีเจตนาขโมย และมีการหยิบเงินนั้นไป ด้วยเจตนาขโมยนั้น ย่อมผิดศีล
ข้อ 2 แต่ การถือเงิน โดยการถือวิสาสะ ไม่ได้มีเจตนาขโมย ไม่ผิดศีลข้อ 2 เพราะ
ไม่มีเจตนาขโมยในขณะนั้น แต่ ในความละเอียดคือ เมื่อเป็นเจ้าของร่วม เจ้าของอื่น
ยังไม่อนุญาต ก็ควรที่จะรอให้เงินมีการแบ่งปันก่อน แม้การถือเอาโดยไม่ได้ขโมย
ย่อมไม่ผิดศีล แต่ถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่สมควร จึงควรเห็นของคนอื่นที่เป็นส่วน
กลาง เปรียบเหมือนงู ที่ถือเอาได้ยาก เพราะ การถือเอาโดยไม่ได้บอกเจ้าของ ย่อม
สะสมอุปนิสัยที่ไม่ดี โดยการไม่ขออนุญาตก่อน และย่อมสะสมให้เป็นการถือเอาของ
คนอื่นได้ง่าย อันจะเอื้อต่อการผิดศีล ข้อ 2 ได้ในอนาคต ครับ เพราฉะนั้น ที่ถูกต้อง
คือ ไม่ควรถือเอาเงินส่วนกลาง แต่ควรแบ่งเงินให้เรียบร้อยแล้วถือเอา จึงจะสมควร
ครับ ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผูัมีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สิ่งไหนที่ไม่ถูกต้อง ไม่ควรทำโดยประการทั้งปวง ไม่ควรเห็นว่า อกุศล เป็นเรื่อง
เล็กน้อย เพราะถ้ายังเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย นั่นกำลังประมาทกำลังของกิเลส
เพราะในที่สุด ก็จะสะสมมากขึ้น มีกำลังมากขึ้น จะเป็นเหตุให้กระทำอกุศลกรรม
ประการต่างๆ ได้โดยง่าย
เพราะฉะนั้นแล้ว กระทำในสิ่งที่ถูกต้อง ดีที่่สุด เพราะถ้าได้กระทำในสิ่งที่ถูกต้อง
ตามความเป็นจริงแล้ว จะไม่เป็นเหตุทำให้จิตใจเดือดร้อนเลยแม้แต่น้อย ซึ่งจะตรงกัน
ข้ามกับขณะที่กระทำในสิ่่งที่ผิดอย่างสิ้นเชิง ความเดือดร้อนใจมากมายทีเดียว จาก
การได้กระทำผิดอย่างนั้น
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เท่านั้น ที่จะเป็นเครื่องอุปการะ
เกื้อกูลที่ดีทำให้รู้ว่าสิ่งใดถูก สิ่งใดผิด แล้วละเว้นในสิ่งที่ผิด พร้อมทั้งน้อมประพฤติ
ในสิ่งที่ถูกต้องต่อไป ความเข้าใจถูกเห็นถูก จะเป็นเครื่องนำทางชีวิตที่ดี นำไปสู่
ความดีทั้งปวง เพราะสิ่งที่ผิด สิ่งที่ชั่ว นั้น ปัญญา ย่อมไม่เลือกที่จะกระทำอย่าง
แน่นอน ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
เอาเงินกองกลางโดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่ถูกต้อง ไม่ควรเอาค่ะ