เมื่อมีความกำหนัดแรงกล้าเกิดขึ้น เพราะเหตุแห่งอาจิณกรรม คือ เคยเป็นผู้มักมากเสพเมถุนธรรมบ่อยๆ แทบจะทุกวัน เมื่อปฏิบัติธรรมด้วยการเจริญอสุภกรรมฐาน และกายคตาสติ และมรณานุสติ ก็ไม่สามารถระงับได้ จะมีวิธีการแก้ไขให้ดีขึ้น หรือเลิกเกี่ยวข้องด้วยกามอย่างสิ้นเชิงได้อย่างไรครับ?
การจะดับกามราคะได้อย่างสิ้นเชิงไม่เกิดอีกเลยต้องอบรมเจริญปัญญาจนบรรลุเป็นพระอนาคามีบุคคล หรือพระอรหันต์เท่านั้น ส่วนการอบรมเจริญสมถภาวนาเป็นเพียงการข่มกามราคะได้ชั่วคราวเท่านั้น การเจริญอสุภกรรมฐานหรือกายคตาสติ ซึ่งเป็นกรรมฐานที่เป็นข้าศึกโดยตรงต่อกามราคะ จะต้องอบรมจนมีกำลังมากๆ บ่อยๆ เนื่องๆ เป็นอาจิณ ย่อมข่มกามราคะได้ชั่วคราว การระลึกรู้สภาพธรรมทุกอย่างที่ปรากฏตามความเป็นจริง (สติปัฏฐาน) ย่อมดับกามราคะได้เป็นสมุทเฉท ไม่เกิดอีกเลย (พระอนาคามี)
สังโยชน์ยังผูกเราไว้ให้อยู่ในมนุสสภูมิที่เต็มไปด้วยรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฑัพพะ เราลืมตาตื่นขึ้นมาอกุศลก็เกิดกับจิตแล้วอย่างรวดเร็ว ถ้าไม่ได้เจริญสมถภาวนาข่มกิเลสไว้ชั่วคราว หรือเจริญสติปัฏฐานรู้ลักษณะสภาพธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งที่ปรากฏตามความเป็นจริงในขณะนี้ ใจก็จะหลงเพลินไปด้วยอำนาจของโลภะโดยง่ายเป็นส่วนใหญ่ในแต่ละวันครับ
ไม่ใช่แค่เราที่ยังถูกสังโยชน์ผูกไว้ในภพชาติ แม้แต่พระอริยบุคคลในขั้นต่างๆ ที่ยังไม่ถึงขั้นพระอรหันต์ ท่านก็ยังวนเวียนอยู่ในภพชาติเหมือนกัน ต่างกันตรงที่จะถูกสังโยชน์ผูกไว้ให้อยู่ในภูมิใดเท่านั้น ส่วนพระอรหันต์ท่านตัดสังโยชน์ได้ขาดแล้ว ไม่มีเครื่องผูกในภพชาติอีก แต่เมื่อท่านยังไม่ปรินิพพาน ท่านก็ยังเที่ยวไปในภูมินั้นๆ ครับ ท่านอ. สุจินต์ ท่านได้นำข้อความในพระไตรปิฎกเกี่ยวกับ พระธรรมที่ท่านพระสารีบุตรได้แสดงเปรียบพระอริยบุคคลในขั้นต่างๆ กับคอกโค โค และเชือกยาว เชือกสั้นที่คล้องคอโคไว้โดยละเอียด ซึ่งผมฟังแล้วซาบซึ้งในอรรถะและพยัญชนะมาก
ขอความกรุณาผู้รู้ทุกท่านช่วยค้นหาพระธรรมข้างต้นที่ท่านพระสารีบุตรทรงแสดงไว้ในพระไตรปิฎกครับ คิดว่าอาจจะเป็นประโยชน์ไม่น้อยทีเดียว
ขอขอบพระคุณครับ
ต้องเป็นความละเอียดของปัญญาจริงๆ น่าเห็นใจที่เสพมานาน แต่ถ้ารู้ว่าเพียงจิตเท่านั้นที่คิดถึงเรื่องแบบนั้น แท้จริงมีเพียงจิต ไม่มีเรื่อง ไม่มีแขน ขา หรืออวัยวะใดๆ ทั้งสิ้นแต่ปัญญาก็มีหลายระดับ สงสารจริงๆ
เสพสิ่งใหม่ได้คือ ความเข้าใจพระธรรมที่ถูกต้อง และต้องรู้ว่า สิ่งใดที่จะต้องละก่อนคือ ความยึดถือว่าเป็นเรา เป็นสัตว์ เป็นบุคคลครับ
เรื่องของการละกิเลส ไม่ใช่เป็นเรื่องรอและเลือก สิ่งใดมีโทษ พึงละสิ่งนั้นตามกำลังของปัญญา
ความเข้าใจในพระธรรมเท่านั้น ที่สามารถเปลี่ยนอุปนิสัยของเราได้ เมื่อความเข้าใจธรรมะของเราเพิ่มขึ้นทีละเล็กละน้อย ก็จะพบว่าเกิดความสำรวมกาย วาจา และใจได้ ทีละนิด ทีละหน่อยไปตามลำดับ จนถึงความเข้าใจขั้นพระโสดาบันที่จะไม่ล่วงอกุศลกรรมบถเลย พระอนาคามีเป็นผู้ละความติดข้องในกามทั้งหลายได้ และพระอรหันต์ผู้มีความเข้าใจพระธรรมมากที่สุด เป็นผู้ดับกิเลสความเศร้าหมองทั้งปวง
หากจะตอบท่านผู้ตั้งคำถาม "จะมีวิธีการแก้ไขให้ดีขึ้น หรือเลิก เกี่ยวข้องด้วยกามอย่างสิ้นเชิงได้อย่างไรครับ? " ผมก็ขอแนะนำให้ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจครับเมื่อมีความเข้าใจเกิดขึ้นเป็นเหตุแล้ว ความสำรวมทางกาย วาจา และใจ ก็จะเป็นผลที่เกิดตามมา ซึ่งผลที่เกิดขึ้น ก็จะเป็นไปตามสมควรกับเหตุนั้น ดังนั้น เราจึงสามารถสังเกตความสงบกายสงบใจที่เจริญขึ้นมากหรือน้อย เป็นเครื่องวัดความเข้าใจจากการศึกษาของเราได้ครับ
ขอเป็นกำลังใจ และขออนุโมทนาในกุศลเจตนา
ขออนุโมทนาครับ
กราบขอบพระคุณทุกท่านที่เมตตาช่วยแนะนำ และชี้ทางให้แต่ก็ยังหาทางออกไม่เจอเพราะเมื่อความอยากเข้ามาบางทีสติเกิดแต่ปัญญาไม่มาสนับสนุนสุดท้ายถ้าข่มไม่ลงก็ต้องพ่ายแพ้ต่อกิเลสหรือความอยากต่อไป
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ยินดีในกุศลจิตค่ะ