สืบเนื่องจากกระทู้ 07873 สัพเพ ธัมมา อนัตตา
ที่ผมพยายามตอบตามที่ได้ยิน ได้ฟังมา แต่คำตอบนั้นยังไม่ชัดแจ้ง ไม่บริบูรณ์ เพราะเป็นภูมิธรรมของผู้มีปกติเจริญสติ ผมขอถามปัญหาส่วนที่ยังตอบไม่ชัดแจ้ง ไม่บริบูรณ์นั้น แทนท่านผู้ถาม ดังนี้
เมื่อการเห็นเกิดขึ้น และเป็นไปอยู่ในขณะปัจจุบันอนัตตลักขณะของการเห็นนั้น ปรากฏแก่ผู้มีปกติเจริญสติโดยอาการอย่างไร
ขอท่านทั้งหลายโปรดตอบคำถาม เพื่อประโยชน์แก่ท่านผู้ถามและเพื่อปิติปราโมทย์แก่ผมด้วย
ขอบคุณครับ
ขอพระสัทธรรม ทำให้ใจของท่านเบิกบาน
ความเข้าใจธรรมะของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ความรู้ก็ไม่เท่ากัน ความจริงโดยสภาพธรรมะเป็นอนัตตาอยู่แล้ว กำลังของปัญญาเพียงพอหรือเปล่า ถ้าปัญญาไม่เกิด คิดอย่างไรก็คิดไม่ได้ ต้องอบรม ต้องเจริญให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีก ปัญญาเมื่อเจริญขึ้น ความเป็นอนัตตาก็จะปรากฏ มีเหตุมีปัจจัยก็เกิด จะเป็นตัวตนไม่ได้ ขณะนี้สภาพธรรมะกำลังมีอยู่ แต่รู้หรือเปล่าถ้ายังไม่รู้ ก็ตัองอาศัยการฟัง การพิจารณา การเจริญให้ยิ่งขึ้นค่ะ
ผมเห็นคุณ Wannee.s ขยันตอบกระทู้ต่างๆ มาก แต่ละคำตอบเป็นตัวของตัวเอง มีแง่คิดที่น่าสนใจ และเป็นประโยชน์แก่ผมมาก ยินดีที่ได้เห็นคำตอบของคุณ ในกระทู้นี้ ครับ
ผมโพสต์ถามคุณ Wannee.s ไว้ในกระทู้ 03026 อกุศลกรรมบถ ผมยังรอฟังความเห็นของคุณอยู่ครับ
ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ
ผู้ที่อบรมเจริญปัญญา เมื่อมีเหตุปัจจัยสะสมเพียงพอให้สติเกิด สติก็ระลึกรู้สภาพธรรมะทางทวารต่างๆ ที่เกิดในขณะนี้ได้ เป็นปกติ "เห็น" ขณะนี้มีจริง แต่ดูเหมือนกับว่า จะมีเห็นตลอดเวลา ทั้งๆ ที่ความจริงในขั้นปริยัติ เราศึกษามาแล้วว่า "เห็น" เกิดแล้วต้องดับ หลังจากนั้น จึงจะมีการคิดถึงสิ่งที่เห็นตามมาทางใจ แต่ความเป็นจริงก็ยังยากที่สติจะระลึกถึงการเห็นอย่างนั้นอยู่มาก เพราะเหตุว่า ปัญญายังไม่มีกำลังและยังไม่คมพอที่จะรู้ชัดถึงลักษณะที่เห็นว่าไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคลไม่ใช่ตัวตนอย่างไร เมื่อยังรู้ไม่ชัด ก็ย่อมไม่สามารถจะรู้ได้แจ่มแจ้งในความต่างกันของการเห็นกับการคิดว่า ขณะไหนเป็นเห็น ขณะไหนเป็นคิด หรือไม่อาจจะแยกขาดระหว่างการเห็นกับสิ่งที่ปรากฏทางตาว่าต่างกันอย่างไรได้โดยเด็ดขาด ลำพังเพียงปัญญาในขั้นฟัง ขั้นคิด และขั้นอบรมเล็กๆ น้อยๆ ยังไม่ใช่ปัญญาในระดับวิปัสสนาญาณที่สามารถประจักษ์แจ้งในธรรมที่ละเอียดขึ้นได้ เหตุนี้จึงดูเหมือนกับว่าสภาพธรรมต่างๆ ติดพันกันแน่นทั้งรูป-ทั้งนาม ไหนจะมีความเป็นตัวตนที่คอยจะเกิดแทรกคั่นอีกจนทำให้แยกไม่ออกว่า ขณะไหนเห็น ขณะไหนคิดถึงสิ่งที่เห็น ขณะไหนเป็นกุศล ขณะไหนเป็นอกุศล เพราะพอรู้ตัวทีไร ก็กลายเป็นว่า "เรา" เห็นทุกที ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นเพราะความไม่รู้คืออวิชชา ฉะนั้น ก็ต้องค่อยๆ อบรมเจริญปัญญาต่อไปด้วยการฟังธรรม และพิจารณาสภาพธรรมในขณะนี้อย่างแยบคายยิ่งขึ้น เพราะว่าพระอริยสาวกทั้งหลายท่านก็ประจักษ์แจ้งแทงตลอดความเป็นอนัตตาของสภาพธรรม บรรลุอริยสัจจธรรมในขณะที่เป็นปกติขณะนี้นี่เอง ธรรมะคือปกติ ที่ไม่เป็นปกติก็ยังเป็นธรรมะ แต่เป็นธรรมะที่ทำกิจปกปิดไม่ให้รู้ความจริงว่าเป็นธรรมะครับ
ครับ ajarnkruo ผู้ที่อบรมเจริญปัญญา เมื่อมีเหตุปัจจัยสะสมเพียงพอให้สติเกิด สติก็ระลึกรู้สภาพธรรมะทางทวารต่างๆ ที่เกิดในขณะนี้ได้เป็นปกติครับ คุณ wannee.s กำลังของปัญญาเพียงพอหรือเปล่า มีเหตุมีปัจจัยก็เกิด ขณะนี้สภาพธรรมะกำลังมีอยู่ แต่รู้หรือเปล่า มีอะไรบังอนัตตาอยู่ไหม มีอะไรบังความแยกขาดจากกันของ รูป-นาม อยู่ไหม
อ้างอิงจาก : ความคิดเห็นที่ 6 โดย lichinda
ครับ ajarnkruo ผู้ที่อบรมเจริญปัญญา เมื่อมีเหตุปัจจัยสะสมเพียงพอให้สติเกิด สติก็ระลึกรู้สภาพธรรมะทางทวารต่างๆ ที่เกิดในขณะนี้ได้เป็นปกติครับคุณ wannee.s กำลังของปัญญาเพียงพอหรือเปล่า ....มีเหตุมีปัจจัยก็เกิด .... ขณะนี้สภาพธรรมะกำลังมีอยู่ แต่รู้หรือเปล่า มีอะไรบังอนัตตาอยู่ไหมมีอะไรบังความแยกขาดจากกันของ รูป-นาม อยู่ไหม
ยินดีที่ได้เห็นคุณ lichinda ในกระทู้นี้ครับ กระทู้
05157 ผู้ยังไม่รู้ทันในขณะที่ลักษณะของสภาพธรรมกำลังปรากฏ ของคุณมีประโยชน์มากครับ ขออนุโมทนาครับ