[เล่มที่ 57] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 239
๔. มณิโจรชาดก
ว่าด้วยพระเจ้าอธัมมิกราช
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 57]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 239
๔. มณิโจรชาดก
ว่าด้วยพระเจ้าอธัมมิกราช
[๒๓๗] เทวดาทั้งหลาย (ผู้ดูแลรักษาชนผู้มีศีล และคอยกีดกันคนชั่ว) ย่อมไม่มีอยู่ในโลกเป็นแน่ หรือเมื่อกิจเห็นปานนี้เกิดขึ้น ย่อมพากันไปค้างแรมเสียเป็นแน่ อนึ่ง สมณพราหมณ์ทั้งหลาย อันเขาสมมติว่าเป็นผู้รักษาโลก ไม่มีอยู่ในโลกนี้เป็นแน่ เมื่อชนทุศีลทั้งหลายกระทำกรรมอันสาหัส บุคคลผู้ห้ามปรามไม่มีอยู่เป็นแน่.
[๒๓๘] ในรัชสมัยของพระเจ้าอธรรมิกราช ฝนย่อมตกในเวลาอันไม่ควรจะตก ในเวลาที่ควรจะตกก็ไม่ตก พระราชผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรม ย่อมจุติจากฐานะคือสวรรค์ พระราชาผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรมนั้น ใช่ว่าจะได้รับความยากเข็ญด้วยเหตุมีประมาณเท่านั้นก็หาไม่.
จบ มณิโจรชาดกที่ ๔
อรรถกถามณิโจรชาดกที่ ๔
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ เวฬุวันมหาวิหาร ทรงปรารภพระเทวทัตผู้พยายามปลงพระชนม์ ตรัสพระธรรมเทศนา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 240
นี้มีคำเริ่มต้นว่า น สนฺติ เทวา ปวสนฺติ ดังนี้.
พระศาสดาทรงสดับว่า พระเทวทัตพยายามปลงพระชนม์ จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เทวทัตพยายามฆ่าเรา ใช่ว่าในครั้งนี้เท่านั้นก็หาไม่ แม้ครั้งก่อนก็พยายามฆ่าเราเหมือนกัน ถึงแม้พยายามก็ไม่สามารถฆ่าเราได้ แล้วทรงนำเรื่องอดีตมาตรัสเล่า.
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์อุบัติในตระกูลคหบดี ที่หมู่บ้านไม่ไกลจากกรุงพาราณสี. ครั้นเจริญวัย มารดาบิดาจึงได้นำ กุลธิดามาจากกรุงพาราณสี. นางเป็นที่รัก มีรูปสวย น่าดูดุจเทพอัปสร ดุจบุบผลดา (ดอกไม้เถา) และดุจกินรีเยื้องกราย ปฏิบัติสามีดี ถึงพร้อมด้วยศีลาจารวัตร มีชื่อว่า สุชาดา. การปฏิบัติสามีก็ดี การปฏิบัติแม่ผัวก็ดี การปฏิบัติพ่อผัวก็ดี หญิงนี้ทำจนเสร็จสิ้น ตลอดกาลเป็นนิจ. นางจึงเป็นที่รัก เป็นที่โปรดปรานของพระโพธิสัตว์. ทั้งสองสามีภรรยามีใจชุ่มชื่นรักเดียวใจเดียว อยู่ร่วมกันด้วยความสมัครสมาน.
อยู่มาวันหนึ่ง นางสุชาดาบอกแก่พระโพธิสัตว์ว่า อยากจะไปเยี่ยมมารดาบิดา. พระโพธิสัตว์กล่าวว่า ดีละน้อง จงเตรียมสะเบียงให้เพียงพอในการเดินทาง ให้ทอดของเคี้ยวต่างชนิด แล้วบรรทุกของเคี้ยวเป็นต้น ลงบนยานน้อย นั่งข้างหน้ายานขับไป ส่วนนางนั่งข้างหลัง. ทั้งสองไปใกล้พระนคร จึงปลด
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 241
ยานอาบน้ำบริโภคอาหาร. เสร็จแล้วพระโพธิสัตว์ก็เทียมยานนั่งไปข้างหน้า. นางสุชาดาผลัดผ้าตกแต่งร่างกายนั่งอยู่ข้างหลัง.
ในเวลาที่ยานเข้าไปภายในพระนคร พระเจ้าพาราณสีประทับบนคอคชสารตัวประเสริฐ. กระทำทักษิณพระนคร ได้เสด็จมาถึงที่นั้น. นางสุชาดาลงเดินด้วยเท้ามาข้างหลังยาน. พระราชาทอดพระเนตรเห็นนาง ถูกรูปสมบัติของนางรัดรึงพระทัย มีจิตปฏิพัทธ์ ทรงส่งอำมาตย์คนหนึ่งไปด้วยพระดำรัสว่า ท่านจงไป จงรู้ว่า นางมีสามีหรือยังไม่มี. ครั้นอำมาตย์ไปก็รู้ว่า นางมีสามีแล้ว จึงกราบทูลพระราชาว่า ขอเดชะ นางมีสามีแล้วพระเจ้าข้า บุรุษที่นั่งอยู่บนยานเป็นสามีของนาง. พระราชาไม่อาจทรงอดกลั้นความมีพระทัยปฏิพัทธ์ได้ ทรงเร่าร้อนไปด้วยกิเลส ทรงดำริว่า เราจักฆ่าเสียด้วยอุบายอย่างหนึ่ง แล้วยึดเอาหญิงนี้มา ทรงเรียกบุรุษคนหนึ่งมา แล้วตรัสว่า เจ้าจงไป จงเอาปิ่นมณีนี้ไป ทำเป็นคนเดินถนน ซุกซ่อนไว้ในยานของชายนี้แล้วกลับมา ทรงส่งปิ่นมณีให้ไป. เขาทูลรับพระดำรัส จึงถือเอาปิ่นมณีนั้นไปวางไว้ในยาน แล้วกลับมากราบทูลว่า เสร็จแล้วพระเจ้าข้า. พระราชาตรัสว่า ปิ่นมณีของเราหายไป. พวกมนุษย์ต่างพากันแตกตื่นเป็นโกลาหล. พระราชาตรัสว่า ท่านทั้งหลายจงปิดประตูทุกด้าน ตัดการสัญจรไปมาค้นหาโจร. พวกราชบุรุษได้ทำตามพระราชโองการ. พระนครเกิดเกรียวกราวกันไปทั่ว. บุรุษคนหนึ่งพาพวกเจ้าหน้าที่ไปหาพระโพธิ-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 242
สัตว์ กล่าวว่า จงหยุดยานก่อนพ่อคุณ ปิ่นมณีของพระราชาหายไป เราจักตรวจยาน เมื่อตรวจยาน ยึดปิ่นมณีที่ตนซ่อนไว้ จับพระโพธิสัตว์โบยด้วยมือและเท้า กล่าวหาว่าเป็นโจรลักปิ่นมณี แล้วมัดแขนไพล่หลัง นำไปมอบแด่พระราชา กราบทูลว่า ชายผู้นี้เป็นโจรลักปิ่นมณีพระเจ้าข้า. พระราชามีพระบัญชาว่า จงตัดศีรษะมันเสีย. พวกราชบุรุษเอาหวายเฆี่ยนพระโพธิสัตว์ ยกละสี่ๆ นําออกจากพระนครทางประตูขวา. แม้นางสุชาดาก็ทิ้งยาน ประคองแขนคร่ำครวญเดินรำพันตามไปข้างหลังว่า ข้าแต่สามี ท่านได้รับทุกข์นี้เพราะอาศัยข้าพเจ้า. พวกราชบุรุษให้พระโพธิสัตว์นอนหงายด้วยหมายใจว่า จักตัดศีรษะของพระโพธิสัตว์นั้น. นางสุชาดาเห็นดังนั้น จึงรำลึกถึงคุณแห่งศีลของตน แล้วรำพันเป็นต้นว่า ชื่อว่า เทพเจ้าผู้สามารถห้ามเหล่ามนุษย์มีนิสัยชั่วช้าสาหัส ซึ่งเบียดเบียนผู้มีศีลทั้งหลาย ในโลกนี้ เห็นจะไม่มีแล้วหนอ จึงกล่าวคาถาแรกว่า :-
เทพเจ้าทั้งหลาย ย่อมไม่มีอยู่ในโลกนี้เป็นแน่ หรือเมื่อกิจเห็นปานนี้เกิดขึ้น ย่อมพากันไปค้างแรมเสียเป็นแน่ อนึ่ง สมณพราหมณ์ทั้งหลายอันเขาสมมติว่า เป็นผู้รักษาโลก ไม่มีอยู่ในโลกนี้เป็นแน่ เมื่อชนทุศีลกระทำกรรมอันสาหัส บุคคลผู้ห้ามปรามไม่มีอยู่เป็นแน่.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 243
ในบทเหล่านั้น บทว่า น สนฺติ เทวา ความว่า เทพเจ้าทั้งหลาย ผู้ดูแลผู้มีศีล และห้ามคนชั่วไม่มีอยู่ในโลกนี้เป็นแน่. บทว่า ปวสนฺติ นูน ความว่า หรือเมื่อกิจเห็นปานนี้เกิดขึ้น เทพเจ้าทั้งหลาย ก็พากันไปค้างแรมเสีย คือ ไปอยู่ที่อื่นหมดเป็นแน่. บทว่า อิธ โลกปาลา ความว่า แม้สมณพราหมณ์ทั้งหลาย ผู้มีศีล ผู้อนุเคราะห์ที่เขาสมมติว่าเป็นผู้รักษาโลก เห็นจะไม่มีอยู่ในโลกนี้เป็นแน่. บทว่า สหสา กโรนฺตานํ อสญฺตานํ ได้แก่ คนทุศีล ผู้กระทำกรรมสาหัส คือกรรมหยาบช้า ไม่สอบสวนให้ถ่องแท้. บทว่า ปฏิเสธตาโร คือผู้ห้ามว่า ท่านทั้งหลายอย่าทำกรรมเห็นปานนี้ จะทำดังนี้ไม่ได้ ดังนี้คงไม่มีเลย.
เมื่อนางผู้สมบูรณ์ด้วยศีลคร่ำครวญอยู่อย่างนี้ อาสนะที่ประทับนั่งของท้าวสักกเทวราชก็แสดงอาการร้อน. ท้าวสักกะทรงรำพึงว่า ใครหนอหวังจะให้เราเคลื่อนจากตำแหน่งสักกะ ครั้นทรงทราบเหตุนี้ว่า พระราชาพาราณสีทรงทำกรรมหยาบยิ่งนัก ทำให้นางสุชาดาผู้สมบูรณ์ด้วยศีลลำบาก เราควรจะไปในบัดนี้ จึงเสด็จลงจากเทวโลก บันดาลให้พระราชาลามกซึ่งประทับนั่งบนหลังคชสาร เสต็จลงจากคชสารให้บรรทมหงายเหนือเขียงสัญญาณ แล้วทรงอุ้มพระโพธิสัตว์ให้ทรงเครื่องอลังการพร้อมสรรพ ทรงเพศเป็นพระราชาประทับนั่งเหนือคอคชสาร. เพชฌฆาตผู้ยืนเงื้อขวานคอยจะตัดศีรษะ ก็ตัดเอาพระเศียรของพระราชา. ในเวลาตัดนั่นเองจึงรู้ว่าเป็นพระเศียร
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 244
ของพระราชา. ท้าวสักกเทวราชทรงแสดงพระกายให้ปรากฏ เข้าไปหาพระโพธิสัตว์ ทรงกระทำราชาภิเษกแก่พระราชา ทรงตั้งตำแหน่งอัครมเหสีแก่นางสุชาดา.
พวกอำมาตย์ พราหมณ์ และคหบดีเป็นต้น เห็นท้าวสักกเทวราชแล้ว ต่างชื่นชมปรีดาว่า พระราชาผู้ปราศจากธรรมสิ้นพระชนม์แล้ว บัดนี้พวกเราได้พระราชาผู้ทรงธรรม ซึ่งท้าวสักกะทรงประทาน. ท้าวสักกะประทับอยู่บนอากาศ ทรงตรัสแก่บริษัททั้งหลายว่า พวกท่านได้พระราชาองค์นี้ที่ท้าวสักกะให้แล้ว. มีเทวดำรัสต่อไปว่า ดูก่อนมหาราช ตั้งแต่นี้ไป ขอให้ท่านครองราชสมบัติโดยธรรมเถิด หากพระราชาไม่ประกอบด้วยธรรม ฝนก็จะไม่ตกต้องตามฤดูกาล ภัยสามอย่าง เหล่านี้คือ ภัยเกิดจากความอดหยาก ๑ ภัยเกิดจากโรค ๑ ภัยเกิดจากศัตรู ๑ ก็จะบังเกิดขึ้น เมื่อจะถวายโอวาทจึงตรัสคาถาที่ ๒ ว่า :-
ในรัชสมัยของพระเจ้าอธรรมิกราช ฝนย่อมตกในเวลาอันไม่ควรตก ในเวลาที่ควรตกก็ไม่ตก พระราชาผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรมนั้น ใช่ว่าจะได้รับความยากเข็ญด้วยเหตุมีประมาณเท่านั้น ก็หามิได้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า อกาเล ความว่า ในรัชสมัยขอพระเจ้าอธรรมิกราช ฝนย่อมตกในกาลอันไม่ควร คือในเวลา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 245
ข้าวสุกแล้วบ้าง ในเวลาเกี่ยวบ้าง ในเวลานวดเป็นต้นบ้าง. บทว่า กาเล ความว่า แต่ไม่ตก ในเวลาประกอบการงานและขวนขวายในการงาน ในเวลาหว่าน ในเวลาข้าวกล้า ข้าวอ่อน ในเวลาข้าวตั้งท้อง. บทว่า สคฺคา จ จวติ ฐานา ความว่า เคลื่อน จากฐานะอันได้แก่สวรรค์ คือจากเทวโลก. จริงอยู่พระราชาผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรมชื่อว่าเคลื่อนจากเทวโลก เพราะไม่ได้ลาภหรือเมื่อครองราชสมบัติอยู่บนสวรรค์ ก็ชื่อว่าเคลื่อนจากสวรรค์นั้น. บทว่า นนุ โส ตาวตา หโต ความว่า พระราชาผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรมนั้น จะถูกกำจัดด้วยเหตุเพียงนี้เป็นแท้. อีกอย่างหนึ่ง จักเดือดร้อนในมหานรกแปดขุม และในอุสสทนรกสิบหกขุม นี้เป็นอธิบายในบทนี้.
ท้าวสักกะประทานโอวาทแก่มหาชนอย่างนี้แล้ว ได้เสด็จกลับไปยังเทวสถานของพระองค์. แม้พระโพธิสัตว์ก็ครองราชสมบัติโดยธรรม ทรงบำเพ็ญทางไปสวรรค์ให้บริบูรณ์.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดก. พระราชาผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรมในครั้งนั้นได้เป็นเทวทัตในครั้งนี้ ท้าวสักกะได้เป็นอนุรุทธ นางสุชาดาได้เป็นมารดาราหุล ส่วนพระราชาที่ท้าวสักกะประทาน คือเราตถาคตนี้แล.
จบ อรรถกถามณิโจรชาดกที่ ๔