ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ “สีลพฺพตปรามาสสญฺโญชน”
โดย อ.คำปั่น อักษรวิลัย
สีลพฺพตปรามาสสญฺโญชน อ่านตามภาษาบาลีว่า สี - ลับ - พะ - ตะ - ปะ- รา - มา - สะ - สัน - โย - ชะ - นะ] มาจากคำว่า สีล (ในที่นี้ คือ ความประพฤติอันเป็นอกุศล เช่น ประพฤติอย่างปกติของสุนัข บริโภคอาหารที่วางไว้บนพื้นดิน เป็นต้น) [ซ้อน พฺ] พต (พรต ข้อวัตรปฏิบัติที่ผิด ภายนอกพระธรรมวินัยนี้) ปรามาส (การยึดมั่น, การลูบคลำยึดถือ, การถือไปในข้างที่เป็นอย่างอื่นคือผิดจากความเป็นจริง) กับคำว่า สญฺโญชน (สภาพธรรมที่ผูกพันให้เป็นไปในวัฏฏะ ทำให้มีการเกิดวนเวียนไปในสังสารวัฏฏ์ต่อไปอย่างไม่จบสิ้น) รวมกันเป็น สีลพฺพตปรามาสสญฺโญชน เขียนเป็นไทยได้ว่า สีลัพพตปรามาสสัญโญชน์ (สีลัพพตปรามาสสังโยชน์ ก็ความหมายเดียวกัน) หมายถึง สภาพธรรมที่ผูกพันหมู่สัตว์ไว้ในวัฏฏะ คือ การลูบคลำยึดถือในข้อวัตรปฏิบัติที่ผิด ซึ่งเป็นความเห็นผิดอย่างหนึ่งที่เห็นว่าการประพฤติตามข้อวัตรปฏิบัติอย่างนั้นๆ จะเป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์ เช่น การทำตามคำของครูอาจารย์ที่ให้นั่ง ให้เดิน ให้ยืน แล้วคิดว่าจะเป็นหนทางแห่งการรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง การอาบน้ำล้างบาป การจดจ้องสภาพธรรม การทรมานตนให้ได้รับความลำบาก เป็นต้น แต่ความจริง นั่นไม่ใช่หนทางแห่งความพ้นทุกข์ แต่เป็นเหตุให้พอกพูนความเห็นผิด ความติดข้องและความไม่รู้ให้มีมากขึ้น ทำให้เวียนว่ายตายเกิดต่อไป ข้อความใน พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณีปกรณ์ แสดงความเป็นจริงของสีลัพพตปรามาสสัญโญชน์ ไว้ ดังนี้
สีลัพพตปรามาสสัญโญชน์ เป็นไฉน? ความเห็นว่า ความบริสุทธิ์ ย่อมมีได้ ด้วยศีล ด้วยพรต ด้วยศีลพรตของสมณพราหมณ์ในภายนอกแต่ศาสนานี้ ดังนี้ ทิฏฐิ ความเห็นไปข้างทิฏฐิ ป่าชัฏคือทิฏฐิ กันดารคือทิฏฐิ ความเห็นเป็นข้าศึกต่อสัมมาทิฏฐิ ความผันแปรแห่งทิฏฐิ สัญโญชน์คือทิฏฐิ ความยึดถือ ความยึดมั่น ความตั้งมั่น ความถือผิด ทางชั่ว ทางผิด ภาวะที่ผิด ลัทธิเป็นบ่อเกิดแห่งความพินาศ การถือโดยวิปลาส มีลักษณะเช่นว่านี้อันใด นี้เรียกว่า สีลัพพตปรามาสสัญโญชน์
ธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ตามความเป็นจริงแล้วทรงแสดงความจริง เพื่อประโยชน์แก่สัตว์โลกจะได้มีความเข้าใจอย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริง ไม่ว่าจะกล่าวถึงอะไร ก็ไม่พ้นไปจากธรรมที่มีจริงเลย ไม่ว่าจะเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย ติดข้อง โกรธ เป็นต้น รวมไปถึงความเห็นผิดที่ลูบคลำยึดถือในข้อวัตรปฏิบัติที่ผิด ก็เป็นธรรมที่มีจริง เวลาที่ความเห็นผิดเกิด ก็เกิดร่วมกับจิตที่เป็นอกุศลประเภทที่มีโลภะเป็นมูล นี่คือความเป็นจริงของธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ซึ่งตราบใดที่ยังไม่ได้ดับความเห็ดผิดได้อย่างเด็ดขาด ก็ยังมีเหตุปัจจัยทำให้ความเห็นผิดประเภทนี้เกิดขึ้นได้
สีลัพพตปรามาสสัญโญชน์ เป็นความเห็นผิดที่ลูบคลำยึดถือในข้อวัตรปฏิบัติที่ผิดว่าเป็นหนทางถูกต้อง เป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์ เป็นหนทางที่พ้นจากกิเลสได้ แต่ความเป็นจริงแล้วไม่ใช่หนทางที่ถูกต้อง ไม่เป็นไปเพื่อการรู้สภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏในขณะนี้ กล่าวโดยสภาพธรรมแล้ว เป็นทิฏฐิเจตสิก (มิจฉาทิฏฐิ) ผูกพันหมู่สัตว์ไว้ในสังสารวัฏฏ์ ทำให้มีการเวียนว่ายตายเกิดต่อไป มีตั้งแต่ระดับเล็กน้อยจนถึงมีกำลังมาก มีการเข้าสำนักปฏิบัติทำตามคำของครูอาจารย์เพราะเชื่อในลัทธิครูอาจารย์ ประพฤติวัตรต่างๆ ที่ผิดคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง เป็นต้น และที่ละเอียดยิ่งไปกว่านั้น แม้ขณะที่มีความเห็นว่า จะต้องจดจ้องที่สภาพธรรม มีตัวตนที่จะพยายามทำเพื่อรู้สภาพธรรมในขณะนี้ อย่างนี้ก็เป็นสีลัพพตปรามาสสัญโญชน์ เพราะเหตุว่า ไม่ได้เข้าใจความเป็นอนัตตาของสภาพธรรม คือ สภาพที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น กุศลและความเจริญใดๆ จะเกิดขึ้นจากการประพฤติปฏิบัติที่ผิดไม่ได้เลย เมื่อทำผิดแล้ว มีแต่จะทำให้พอกพูนสิ่งที่ผิด คือ อกุศลธรรม มีความติดข้อง ความเห็นผิด และความไม่รู้ต่อไป
แต่ละคนก็มีอกุศลมากด้วยกันทั้งนั้น มีความติดข้อง ความเห็นผิด และความไม่รู้ ถ้าหากว่าไม่อาศัยการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ก็ไม่มีทางที่จะมีความเข้าใจถูกเห็นถูกแล้วขัดเกลาละคลายความติดข้อง ความเห็นผิด และความไม่รู้ได้ แต่ถ้าได้ฟังพระธรรมศึกษาพระธรรม สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก ก็สามารถขัดเกลาละคลายได้ จะเห็นได้ว่าในสมัยพุทธกาล ก็มีผู้ที่เคยมีความเห็นผิดประพฤติปฏิบัติผิดมาก่อน เคยลูบคลำยึดถือในข้อวัตรปฏิบัติที่ผิดมาก่อน แต่พอเหตุปัจจัยพร้อมได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เกิดความเข้าใจถูกเห็นถูกเป็นปัญญาของตนเอง ก็สามารถขัดเกลาละคลายจนกระทั่งสามารถดับความเห็นผิดได้ ถึงความเป็นพระโสดาบันไม่กลับไปหาความเห็นผิดปฏิบัติผิดอีกต่อไป เพราะเหตุว่าละได้แล้ว ตลอดจนถึงสามารถอบรมเจริญปัญญาต่อไปแล้วดับกิเลสทั้งหลายทั้งปวงอย่างหมดสิ้นถึงความเป็นพระอรหันต์ได้ นี้คือ คุณของพระธรรม ที่น่าอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง ทำให้ผู้ที่ได้ฟังได้ศึกษาเกิดความเข้าใจถูกเห็นถูกเป็นปัญญาของตนเอง สามารถละทิ้งในสิ่งที่ผิดแล้วถือเอาในสิ่งที่ถูกต้องได้
ถ้าไม่ได้ฟังไม่ได้ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ขาดการพิจารณาไตร่ตรองในเหตุในผล ไม่มีทางที่จะเข้าใจความจริง ย่อมจะโอนไปคล้อยไปในหนทางที่ผิดได้ ผู้ที่จะดับสีลัพพตปรามาสสัญโญชน์ได้อย่างเด็ดขาด ต้องเป็นพระอริยบุคคลขั้นพระโสดาบัน ดังนั้น เมื่อยังไม่รู้ ยังไม่เข้าใจสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏในขณะนี้ จึงต้องเริ่มฟัง เริ่มศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง จนกว่าจะค่อยๆ เข้าใจขึ้น และเมื่อมีความเข้าใจไปตามลำดับ ก็จะทำให้มีความมั่นคงในการอบรมเจริญปัญญา เพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูก ในสภาพธรรมตามความเป็นจริงยิ่งขึ้น เพราะธรรมคือขณะนี้ ไม่ต้องไปแสวงหาธรรมที่ไหน มีอยู่ทุกขณะ ดังนั้น ในชีวิตประจำวันจะขาดการฟังพระธรรมไม่ได้เลยทีเดียว ซึ่งเป็นขณะที่มีค่า เป็นขณะที่ประเสริฐที่สุดในชีวิตที่จะทำให้ปัญญาค่อยๆ เจริญขึ้น
อ่านคำอื่นๆ คลิกที่นี่ ... บาลี ๑ คำ
ขออนุโมทนาครับ
กราบอนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ