ในเมื่อไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน แล้วเราจะหาของกินเพื่อรักษาอะไรไว้? ด้วยความเคารพ ไม่มีเจตนาอื่นใดเลยจริงๆ
ตามความเป็นจริงพระพุทธองค์แสดงว่า ไม่มีสัตว์บุคคล ไม่มีตัวตน ไม่มีเรา ไม่มีเขา ถ้ารู้ตามความจริงอย่างนั้นด้วยปัญญาย่อมละกิเลสได้ สูงสุด คือ พระอรหันต์ ท่านไม่ยึดติดอะไรอีกเลย ท่านมีชีวิตอยู่เพื่อรอวันตายเท่านั้น ไม่มีกิจที่จะต้องทำ เพื่อตัวเองอีกแล้วอยู่เพื่ออนุเคราะห์สัตว์โลก สำหรับเราที่ยังเป็นปุถุชนคนหนาด้วยกิเลส ด้วยความยึดถือมากมาย ยังไม่ได้รู้จริงๆ ด้วยปัญญาว่า ไม่มีเรา ก็ต้องเป็นไปตามวิถีชีวิตของปุถุชนตามชาวโลก เพื่อสะสมปัญญาบารมีเพื่อการรู้ความจริง แล้วไม่ต้องกลับมายึดถืออีกต่อไป สรุปคือ ที่เราเป็นอยู่อย่างนี้เพราะยังไม่ได้รู้จริงๆ ด้วยปัญญา รู้แต่เพียงชื่อหรือคำเท่านั้น
กราบอนุโมทนาค่ะ
ความหิวเป็นโรคอย่างยิ่ง หิวแล้วก็กินแต่ไม่เคยหมดอิ่มเลย
คุณเคยคิดบ้างไหมว่า ถ้าคนเราไม่รู้สึกหิว ไม่ต้องการอาหารแล้ว จะรู้ว่า จะคิดถึงตัว เองน้อยลง และคิดถึงคนอื่นมากขึ้น เพราะอาการหิวนี่แหละ ที่เป็นตัวตน ความรู้ ตัวอักษร ไม่มีประโยชน์หรอก ถ้าไม่ศึกษาพระธรรม อยากแนะนำ ชุดสนทนาธรรม (MP3) ชุดที่ 1 - ชุดที่ 4
แม้พระอรหันต์ ซึ่งดับกิเลสหมดแล้ว ไม่มีความเห็นว่าเป็นสัตว์บุคคลตัวตน ก็ยัง แสวงหาอาหารเพื่อบำบัดเวทนาเก่าที่เกิดขึ้น จากการหิว และไม่ให้เวทนาใหม่เกิด ขึ้น และถึงแม้ความหิวเกิดขึ้นกับท่าน ท่านก็รู้ว่าเป็นเพียงสภาพธัมมะอย่างหนึ่ง โดย ที่ไม่ได้ยึดถือว่า เราหิวเลยครับ ขอยกข้อความบางตอนในพระไตรปิฎกครับ
ข้อความบางตอนจาก...
[เล่มที่ 15] พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๑- หน้าที่ 275
ปาสาทิกสูตร
เราอนุญาตบิณฑบาตแก่พวกเธอ ก็เพียงเพื่อให้กายดำรงอยู่ได้ ให้กายเป็นไปได้ ให้ความลำบากสงบ เพื่ออนุเคราะห์พรหมจรรย์ ด้วยคิดว่า เราจักบรรเทาเวทนาเก่า จักไม่ให้เวทนาใหม่เกิดขึ้น ด้วยประการดังนี้ ความเป็นไปแห่งชีวิต ความเป็นผู้ไม่มีโทษ และความอยู่สบาย จักมีแก่เรา
ขออนุโมทนาค่ะ
ไม่มีสัตว์บุคคล แต่เราก็ยังมีชีวิต คือ จิต เจตสิก รูป เราก็ต้องกินอาหาร เพื่อมีชีวิตอยู่ทำความดี
อาหาร ๔ คือ
1. กพฬิงการาหาร ได้แก่ อาหารที่เป็นคำๆ
2. ผัสสาหาร ได้แก่ ผัสสเจตสิก
3. มโนสัญเจตนาหาร ได้แก่ เจตนาเจตสิก
4. วิญญาณาหาร ได้แก่ ปฏิสนธิจิต
ขออนุโมทนาครับ