สนทนาปัญหาธรรม วันอังคารที่ ๒ มกราคม ๒๕๖๗
[เล่มที่ 77] พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 172
อนึ่ง จักขุนั้น ชื่อว่า เป็นอนัตตา ด้วยอรรถว่าไม่เป็นไปในอำนาจ. อีกอย่างหนึ่ง ความที่จักขุนั้นเป็นไปในอำนาจของใครๆ ในฐานะ ๓ เหล่านี้คือ จักขุนี้เกิดขึ้นแล้วขอจงอย่าถึงการตั้งอยู่ ถึงการตั้งอยู่แล้ว จงอย่าแก่ ถึงการแก่แล้ว จงอย่าแตกดับ ดังนี้ หามีได้ไม่ เป็นของสูญ ไปจากอาการที่เป็นไปในอำนาจนั้น เพราะฉะนั้น จักขุนั้น จึงชื่อว่า เป็นอนัตตา เพราะเหตุ ๔ เหล่านั้น คือ
โดยความเป็นของสูญ ๑
โดยความไม่มีเจ้าของ ๑
โดยเป็นสิ่งที่ควรทำตามชอบใจไม่ได้ ๑
โดยปฏิเสธต่ออัตตา ๑
[เล่มที่ 23] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า ๒๑๐
ภัทเทกรัตตสูตร
ว่าด้วยผู้มีราตรีเดียวเจริญ
[๕๒๗] พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ตรัสดังนี้ว่า บุคคลไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว ไม่ควรมุ่งหวังสิ่งที่ยังไม่มาถึง สิ่งใดล่วงไปแล้ว สิ่งนั้นก็เป็นอันละไปแล้ว และ สิ่งที่ยังไม่มาถึง ก็เป็นอันยังไม่ถึง ก็บุคคลใดเห็นแจ้งธรรมปัจจุบันไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลนในธรรมนั้นๆ ได้ บุคคลนั้นพึงเจริญธรรมนั้นเนืองๆ ให้ปรุโปร่งเถิด พึงทำความเพียรเสียในวันนี้แหละ ใครเล่าจะรู้ความตายในวันพรุ่ง เพราะว่าความผัดเพี้ยนกับมัจจุราชผู้มีเสนาใหญ่นั้น ย่อมไม่มีแก่เราทั้งหลาย พระมุนีผู้สงบย่อม เรียกบุคคลผู้มีปกติอยู่อย่างนี้ มีความเพียรไม่เกียจคร้าน ทั้งกลางวันและกลางคืน นั้นแลว่า ผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ
อ.กุลวิไล: วันนี้ก็ได้โอกาสฟังที่ท่านอาจารย์ให้ความเข้าใจ แล้วก็กล่าวถึงการจากไปของคุณนีน่า ดิฉันก็ประทับใจคุณนีน่ามาตลอด ทุกครั้งที่คุณนีน่ามาที่มูลนิธิ หรือว่าไปร่วมสนทนาธรรมนอกสถานที่ คุณนีน่ามีความสุขในการฟังพระธรรม หน้าตาจะยิ้มแย้มอยู่เสมอ
ทุกครั้งคุณนีน่าจะมีเทปบันทึกที่มีการสนทนากับท่านอาจารย์ ก็เห็นถึงคุณนีน่าสะสมการฟังพระธรรมมามาก แล้วก็เป็นผู้ที่เข้าใจธรรม เห็นประโยชน์ของการที่จะเข้าใจความเป็นธรรมที่มีจริงในขณะนี้ด้วย ซึ่งก็เป็นบุคคลหนึ่งที่ดิฉันประทับใจมาก เพราะบ่อยครั้งที่ได้เจอท่านแม้ว่าจะไม่ค่อยได้เจอมาก แต่ก็ได้มีโอกาสสนทนาและอยู่ด้วยเวลาที่ท่านมามูลนิธิ หรือนอกสถานที่
ท่านอาจารย์กล่าวถึง เรื่องคุณความดีเท่าไหร่ก็ไม่พอ ก็เป็นสิ่งที่เตือนใจมากค่ะท่านอาจารย์ เพราะว่ามากด้วยอกุศลจริงๆ ถ้าไม่ได้อาศัยการฟังพระธรรม ความดีก็มีน้อยมากๆ เลย แต่ก็ต้องสะสมการฟังไปนั่นเอง แล้วชีวิตปกติก็มากด้วยอกุศล แต่ก็ค่อยๆ สะสมที่จะรู้ความเป็นธรรมไม่ใช่เรา
กราบแทบเท้าท่านอาจารย์ ซึ่งดิฉันก็เห็นประโยชน์มาก การได้ยินได้ฟังพระธรรมแล้วก็เข้าใจในความเป็นธรรม โดยเฉพาะความเป็น ธรรมตา ของธรรมค่ะ ซึ่งก็ลึกซึ้งมาก ท่านอาจารย์มีอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับความเป็น ธรรมตา ของธรรม กราบเรียนค่ะ
ท่านอาจารย์: ถ้าใครคิดถึงภาพคุณนีน่าก็จะเห็นภาพที่คุณนีน่ามีเครื่องบันทึกเสียงติดตัวตลอดเวลาเลย ไม่ว่าจะพูดอะไรคุณนีน่าจะบันทึกไว้ไม่ว่าที่สนามบิน หรือที่ไหนก็ตามนะ เห็นไหมว่า แต่ละหนึ่งคนก็สะสมมาในอัธยาศัยต่างๆ กัน จะไม่มีใครที่จะมีเครื่องบันทึกเสียงอย่างคุณนีน่าเลย เพราะไม่ว่า ณ.ที่สถานที่ใด เดินคุยกัน ออกกำลังกาย ในระหว่างที่คอยที่สนามบิน เขาก็ต้องนั่งบ้าง ยืนบ้าง เราก็ลุกขึ้นคุยกันคุณนีน่าก็ยังบันทึกเสียง
เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า เราไม่สามารถจะบังคับบัญชาอะไรได้เลยทั้งสิ้น ทุกอย่างเกิดแล้ว แล้วก็หมดแล้ว แต่ ความไม่รู้ คิดว่าสำคัญเหลือเกิน เป็นเราทำอย่างนี้อย่างนั้น ไม่ควรทำ ควรทำอะไรๆ สารพัดอย่าง เป็นเราไปทั้งหมด
เพราะฉะนั้น การที่จะเข้าใจพระธรรมจริงๆ ในความลึกซึ้ง ในคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ต้อง เดี๋ยวนี้ และทุกขณะมีธรรมทั้งนั้น เป็นธรรมทั้งหมด ฟังแล้วไม่สงสัย เป็นอนัตตาบังคับบัญชาไม่ได้ แต่ว่าวันนี้นะ มองไปซิ ไหนธรรม? รูปธรรมปรากฏทางตา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย ทางหูปรากฏหมดแล้ว ไม่มีอะไรเหลือ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นจริงทั้งหมด แต่กว่าจะเข้าถึงความเป็นจริง ที่จะรู้ความจริงว่า อนัตตา ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มั่นคงยั่งยืนเที่ยง สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น ก็มีความเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เป็นธรรมดา แล้วก็หมดแสนเร็ว
เพราะฉะนั้น จะรู้ว่าเข้าใจธรรมแค่ไหน ก็คือชีวิตประจำวันเดี๋ยวนี้ กำลังปลูกฝังความเข้าใจที่มั่นคงในความเป็นธรรม ซึ่งหมายความว่า ธรรมต้องเป็นอนัตตา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลยจนกระทั่งชินตามลำดับขั้น กว่าจะคุ้นเคยจนกระทั่งแม้เดี๋ยวนี้ก็ไม่มีความสงสัยในลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏโดยความเป็นอนัตตาด้วย
เห็นไหม หนทางที่เป็นอริยสัจจธรรม มรรคอริยสัจจธรรม ลึกซึ้งแค่ไหนที่จะต้องรู้ว่า ขณะนี้ที่ได้ยินได้ฟังว่า ไม่มีเรา ลึกแค่ไหน พอหรือยัง สามารถที่จะรู้ทันทีตามปัจจัยที่ได้สะสมมาในความเป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา
เพราะฉะนั้น ก็จะรู้ได้เลย คนที่มีความเคารพในธรรมก็จะสะสมความเข้าใจ และก็รู้จักตัวเองตามความเป็นจริง ที่เคยเข้าใจว่าเป็นเรา ความไม่รู้ระดับไหนที่ยังไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้เลย เพียงแต่ฟัง และก็รู้ว่าลึกซึ้ง และรู้ว่าถ้าเป็นเรา ไม่มีทางที่จะเข้าใจสภาพธรรมเลย แต่เพราะเหตุว่า ได้ฟังจนบ่อยๆ มั่นคงจนกระทั่งเป็นปัจจัยที่จะให้เข้าใจในความเป็นอนัตตาของสิ่งที่เกิดขึ้นเดี๋ยวนี้ แต่ละหนึ่ง ในขั้นของการฟังต้องละเอียดพอที่จะรู้ว่า หนทางนี้ลึกซึ้งอย่างยิ่งเพราะต้องถึงกาละที่ไม่มีความสงสัยใดๆ ในสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่ใช่คิดเองว่าไม่สงสัย แต่เพราะเหตุว่าสภาพธรรมนั้นๆ ปรากฏ
แค่ฟังก็รู้ว่าเดี๋ยวนี้เป็นธรรม แต่ธรรมไหนล่ะที่กำลังเข้าใจในความเป็นธรรมนั้น เฉพาะ ธรรมนั้น ทีละหนึ่งเท่านั้น ทีละหนึ่ง จนกว่าความเป็นหนึ่งจะปรากฏชัดเจน เห็นไหม นี่คือหนทางละความติดข้อง ไม่ใช่ไม่รู้แล้วไปพยายามละ แต่หนทางละ คือหนทางเดียว คือเข้าใจในความลึกซึ้งยิ่งขึ้นเท่าไหร่ก็ละไปเท่านั้น และก็เห็นคุณค่าของพระรัตนตรัย พระธรรม และผู้ที่ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมที่ดำรงพระศาสนาจนกระทั่งสามารถที่จะให้คนอื่นได้มีความเข้าใจจนถึงเรา
เห็นไหม ถ้าไม่รู้อย่างนี้จะละอริยสัจจะที่ ๒ ไหม? อวิชชาแค่ไหนเดี๋ยวนี้ ความติดข้องแค่ไหนเดี๋ยวนี้
ขอเชิญอ่านได้ที่ ...
ทดสอบปัญญาของท่านว่า ... รู้จริง ... หรือเปล่า
ขอเชิญฟังได้ที่ ...
อนัตตาไม่ใช่คำแปล
นี่คือความเป็นอนัตตา
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ
กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
กราบคุณความดีของคุณนีน่าที่ท่านตั้งใจบำรุงและดำรงพระศาสนาตลอดชีวิตของท่าน อันเป็นตัวอย่างที่ดียิ่งให้ผู้ศึกษาพระธรรมประพฤติปฏิบัติตาม
ขอบพระคุณยิ่งและยินดีในกุศลทุกประการค่ะน้องเมตตา