ความรู้สึกเหงาเป็นเจตสิกอะไรคะ
โดย ดวงทิพย์  29 เม.ย. 2557
หัวข้อหมายเลข 24781

บางครั้งเวลากำลังทำอะไรเพลินๆ แล้วมีความรู้สึกเหงาๆ แว้บๆ ขึ้นมาในจิต เกิดจากอะไรคะ ขอทราบรายละเอียดค่ะ เพราะเป็นสิ่งที่มีจริงๆ ค่ะ

ขอบพระคุณค่ะ



ความคิดเห็น 1    โดย paderm  วันที่ 29 เม.ย. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ความเหงาเป็นสภาพธรรมที่มีจริง ที่เป็นสภาพธรรมที่ไม่ใช่เรา แต่เป็น จิตที่เป็นอกุศลจิต ที่เป็นโทสมูลจิต ที่ประกอบด้วยโทสเจตสิก ที่มีความรู้สึกไม่สบายใจขุ่นใจในขณะนั้น ครับ ซึ่งเป็นธรรมดาที่ยังมีกิเลส ก็เกิดความเหงาได้เป็นธรรมดา

ความเหงา ความท้อแท้ ท้อถอย ล้วนเป็นธรรมที่มีจริง แต่เป็นธรรมฝ่ายที่เป็นอกุศลธรรม เป็นธรรมฝ่ายดำ ทำให้จิตใจเศร้าหมอง ไม่ผ่องใส เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย แสดงให้เห็นความเป็นจริงของสภาพธรรมที่ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น แต่ก็ควรที่จะได้พิจารณาว่า ทุกๆ วัน จะมีแต่ความเหงา ความท้อแท้ ท้อถอย ก็ไม่ใช่ เพราะจิตเกิดดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็ว ในขณะอื่นที่่ไม่ใช่สภาพธรรมดังกล่าวก็มี อย่างเช่น ในขณะที่เห็น ที่ได้ยิน ได้กลิ่น ได้ลิ้มรส ได้รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย ไม่เหงา ไม่ท้อแท้ ไม่มีกิเลสใดๆ เกิดขึ้นเลย แต่หลังจากนั้น ก็เป็นไปตามการสะสมของแต่ละบุคคล ขณะที่หลับสนิท ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่เป็นกุศล ไม่เป็นอกุศล โลกนี้ไม่ปรากฏ ในขณะที่หลับสนิท จึงไม่เหงา ไม่ท้อแท้ ท้อถอยและขณะที่เป็นกุศล ก็ไม่เหงา ไม่ท้อแท้ท้อถอย เช่นเดียวกัน การเกิดมาเป็นมนุษย์ เป็นสิ่งที่ได้ยากแสนยาก ไม่ว่าจะมีชีวิตอย่างไร ก็ขอให้ได้พิจารณาว่า สิ่งที่มีค่าที่สุด คือ กุศลธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ ปัญญา ความเข้าใจถูก เห็นถูก เมื่อได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว มีโอกาสได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา สะสมความเข้าใจสภาพธรรมไปทีละเล็กทีละน้อย อีกทั้งไม่ประมาทในการเจริญกุศลประการต่างๆ ดำรงชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท ถ้าเป็นอย่างนี้ได้ย่อมเป็นชีวิตที่มีค่าเป็นอย่างยิ่ง และยังเป็นการสะสมเสบียงเครื่องเดินทางอย่างดีในสังสารวัฏฏ์ จนกว่าจะดับกิเลสทั้งหลายทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาด ไม่มีการเกิดอีกเลยในสังสารวัฏฏ์ "ความเหงา ความท้อแท้ ท้อถอย ไม่เกิดประโยชน์ เนื่องจากเป็นอกุศลธรรม ชีวิต ยังมีค่า และจะมีค่าก็ต่อเมื่อเป็นไปกับด้วยกุศล ด้วยการเป็นคนดี และ ได้ฟังพระธรรมให้เข้าใจยิ่งขึ้น" ครับ.


ความคิดเห็น 2    โดย khampan.a  วันที่ 29 เม.ย. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

แสดงให้เห็นตามความเป็นจริงว่า ไม่ว่าจะกล่าวถึงเรื่องใด ก็ไม่พ้นไปจากธรรม ที่สำคัญ ธรรม เป็นจริงอย่างไร ก็เป็นจริงอย่างนั้น จะเรียกชื่อหรือไม่เรียกชื่อ ความเป็นจริงของสภาพธรรม ย่อมไม่มีวันเปลี่ยนแปลง แม้แต่ที่กล่าวถึง "เหงา" ขณะนั้น สบายใจไหม? ขณะนั้นมีความแช่มชื่นใจไหม? ไม่มีเลย แต่เป็นสภาพจิตที่ไม่สบายใจ เมื่อไม่สบายใจก็ไม่พ้นไปจากอกุศลจิตประเภทที่มีโทสะเกิดร่วมด้วย แม้จะเป็นอกุศลที่ไม่มีกำลัง แต่ก็เป็นธรรมที่กั้นหรือไม่ทำให้กุศลธรรมเกิดขึ้นในขณะนั้น

ที่จะเป็นประโยชน์จริงๆ คือ ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา พิจารณาไตร่ตรองในคำที่ได้ยินได้ฟังเพื่อน้อมไปสู่การเข้าใจความเป็นจริงของสภาพธรรมตามที่ปรากฏ ว่าเป็นธรรมที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ ไม่ใช่เรา ขณะที่เข้าใจ ขณะนั้น ไม่เหงา ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


ความคิดเห็น 3    โดย jran  วันที่ 30 เม.ย. 2557

ความเหงา ความขุ่นเคืองใจ ความขัดใจ ความไม่สบายใจ เป็นโทสมูลจิตและเป็นอกุศลธรรม เมื่อใดอกุศลธรรมเกิด กุศลธรรมก็จะไม่เกิด ดังนั้นเมื่อใดอกุศลธรรมเกิด ต้องรีบขจัดออกไป แต่เมื่อใดที่กุศลธรรมเกิดก็ต้องรักษาไว้ให้เจริญยิ่งๆ ขึ้นไปอีก

ขอขอบคุณและอนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 4    โดย peem  วันที่ 30 เม.ย. 2557

ขอบคุณและขออนุโมทนาคะ


ความคิดเห็น 5    โดย ดวงทิพย์  วันที่ 30 เม.ย. 2557

@☆__★@


ความคิดเห็น 6    โดย one_someone  วันที่ 30 เม.ย. 2557

การศึกษาธรรม เพื่อ เข้าใจว่าเป็นธรรม

ธรรมจริงๆ ไม่มีชื่อ แต่ที่มีชื่อเพื่อความเข้าใจในขั้นต้นว่า เป็นสิ่งที่มีจริงๆ

สิ่งที่มีจริง แม้ไม่เรียกชื่อใดใดก็ตาม ก็มีจริงๆ

จำเป็นไหมว่าจะต้องรุู้ว่า "ความเหงา" เป็นเจตสิกอะไร

ขณะนั้นก็มีแต่ "ธรรม"