ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ทุกท่านที่ยังไม่ได้เป็นพระอริยบุคคลมีกิเลสซึ่งยังไม่ได้ดับ ถึงแม้ว่ากุศลจิตจะเกิดขึ้น แต่ก็ยังมีพืชเชื้อของกิเลสที่พร้อมจะเกิดขึ้นเมื่อได้ปัจจัยได้แก่อนุสัยกิเลส ความลึกซึ้งของอนุสัยกิเลสจะเป็นอย่างไรบ้าง และการสะสมกิเลส กรรมและวิบากมีรายละเอียดอย่างไร?
เดี๋ยวนี้กำลังจะตาย ถามว่าจะเอาอะไร? ปัญญา รู้ค่าของปัญญา สิ่งอื่นๆ ไม่มีค่าเท่า ทรัพย์สินเงินทองร่างกายก็เอาไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นมีสิ่งเดียวที่จะติดตามไปได้คือความเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่ากว่าจะเข้าใจประโยชน์ของปัญญาอย่างนั้น ก็ต้องเป็นผู้ที่ตรงตั้งแต่ต้น เพราะเหตุว่าพระธรรมที่ทรงแสดงนั้นทรงแสดงกับผู้ที่มีปัญญาในครั้งโน้น ที่สะสมปัญญามามากพอที่จะได้ฟังพระธรรมแล้วเข้าใจ ... แต่ผู้ที่ไม่ได้สะสมความเข้าใจมาเพียงพอ ฟังแล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้นจนกว่าจะเห็นประโยชน์จริงๆ ของปัญญาว่าเหนือสิ่งอื่นใด
ต้องเป็นผู้ตรงตั้งแต่ต้นว่าขณะนี้มีสิ่งซึ่งมีจริงๆ ทุกวันปรากฏ สามารถที่จะรู้ได้เข้าใจได้ แล้วสนใจที่จะรู้จะเข้าใจไหม นี่คือการเริ่มต้นของการที่จะรู้ว่าปัญญาคืออะไร และมีประโยชน์อย่างไร ฟังไป เข้าใจไป เพราะแค่นี้ไม่พอ!!!
ผู้ฟัง : การสะสมเป็นอาสวะหรืออาสยะเป็นเหตุสำคัญให้เกิดอกุศลและกุศลจิตทั้งในปัจจุบันและอนาคต การสะสมของกุศลและอกุศลทั้งหลายสะสมไว้ที่ไหนอย่างไร?! สะสมในจิตแต่ว่าจิตก็เกิดดับทุกขณะๆ จิตที่เกิดและดับแล้วก็จะไม่กลับมาอีก สงสัยว่าการสะสมของกุศลและอกุศลจะอยู่ตรงไหน?
ท่านอาจารย์ : จิตเกิดดับทีละหนึ่งขณะ เพราะฉะนั้นจิตหนึ่งขณะที่ดับไปเฉพาะจิตนั้นที่ดับไปเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิด เพราะฉะนั้นจิตที่เกิดต่อมาจากไหน? สิ่งที่มีอยู่ในจิตดวงก่อนหายไปไหน? หายไปไม่ได้เลยเพราะว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดแล้วแม้ดับไปก็สะสมเป็นพืชเชื้ออยู่ในจิต สะสมทั้งฝ่ายกุศลเป็นอาสยานุสยะ แต่ถ้าเป็นฝ่ายอกุศลก็ใช้คำว่าอนุสัย
เพราะฉะนั้นจิตในสังสารวัฏไม่เคยขาดไปเลยซักขณะเดียว (ถ้าไม่กล่าวถึงภพภูมิพิเศษคืออสัญญสัตตาพรหมซึ่งไม่มีจิตเจตสิก) เมื่อจิตขณะหนึ่งดับไป ก็เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิด และจิตขณะนั้นดับไปก็เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้นไม่ขาดสาย เพราะฉะนั้นนี่คือสังสารวัฏ การเกิดดับสืบต่อ ด้วยเหตุนี้สิ่งที่มีอยู่ในจิตหนึ่งขณะแม้จิตนั้นดับไปแล้ว แต่เมื่อเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิด จิตขณะต่อไปก็มีทุกอย่างสืบทอดจากจิตขณะก่อนซึ่งดับไป มิฉะนั้นแล้วก็จะไม่มีจิตซึ่งหลากหลาย แต่ละคนก็คือจิตแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดดับสืบต่อเป็นกุศลบ้างอกุศลบ้างในสังสารวัฏ แต่ละคนเป็นแต่ละหนึ่ง
ทุกอย่างยังมีอยู่ในจิตทุกขณะจนกว่าจะถึงอรหัตตมรรคจิต เมื่อนั้นกิเลสทั้งหลายที่มีสะสมอยู่ก็ไม่สามารถเกิดต่อไปอีกได้เพราะหมดพืชเชื้อที่จะทำให้เกิด แต่ก็มีการสะสมของธรรมะฝ่ายดีแต่เมื่อไม่เป็นเหตุที่จะให้เกิดผล จึงเป็นธรรมะฝ่ายดีซึ่งไม่ใช่กุศลแต่เป็นกิริยาจิต
สำหรับผู้ที่เป็นพระอรหันต์แล้วก็จะมีเพียงวิบากจิตและกิริยาจิต แต่ว่ากิริยาจิตก็แตกต่างไปตามอัธยาสัยที่สืบต่อมาตั้งแต่ก่อนเป็นพระอรหันต์ ... ดับกิเลสหมดก็จริงแต่ไม่ได้ดับทางฝ่ายดี แต่ทางฝ่ายดีซึ่งเป็นกุศลที่จะเป็นเหตุให้เกิดผลไม่สามารถที่จะเป็นเหตุให้เกิดผลได้อีกต่อไป จึงเป็นกิริยาจิต แต่ว่าเป็นธรรมะฝ่ายดี ... ด้วยเหตุนี้พระอรหันต์ก็มีอัธยาศัยต่างๆ กันตามที่ได้สะสมสืบต่อมา
เทปบันทึก (.๒๖๐๓๒๕๕๗) รายการบัานธัมมะ - วันเสาร์ที่ ๙ พ.ย. ๖๗
🔵 Facebook : www.facebook.com/share/v/158TCKPrVR/?mibextid=Le6z7H
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
คำศัพท์ธรรมะ
อนุสัยกิเลส หมายถึง กิเลสที่ยังไม่เกิดขึ้นแต่สะสมนอนเนื่องในจิต เป็นพืชเชื้อที่จะให้กิเลสระดับต่างๆ เกิดขึ้นเป็นไปในอนาคต เมื่อได้ปัจจัย
(ต่อ) www.youtube.com/live/mro6Bxln89A?si=SzxVLJ5ac4JiWYsm
หลายท่านเมื่อศึกษาพระธรรมเป็นระยะเวลาพอสมควรแล้ว ก็อาจจะเกิดความรู้สึกอึดอัด ขัดข้อง คับแค้นใจว่า ศึกษาพระธรรมไปไม่เห็นจะก้าวหน้าสักที เพราะฉะนั้นอะไรเป็นเหตุให้มีความก้าวหน้าในการศึกษาพระธรรม น่าสนใจมากทีเดียว
ผู้ฟัง : ผมฟังธรรมะมาตั้งนานนับ 10 ปี เหมือนไม่ก้าวหน้าเลย
ท่านอาจารย์ : ก้าวหน้าคืออะไรและไม่ก้าวหน้าคืออะไร?
ผู้ฟัง : ก้าวหน้าคือน่าจะเข้าใจอะไรได้มากกว่านี้
ท่านอาจารย์ : ก้าวหน้าคือเข้าใจ ไม่ก้าวหน้าคือไม่เข้าใจ มุ่งไปที่ก้าวหน้าหรือว่าค่อยๆ เข้าใจ ฟังเพื่อเข้าใจไม่ใช่เพื่อก้าวหน้า ฟังเพื่อเข้าใจ ... เข้าใจไหมมีธรรมะจริงๆ เดี๋ยวนี้ จะต้องคิดถึงก้าวหน้าไหมถ้าเข้าใจเพราะฉะนั้นขณะที่คิดถึงก้าวหน้าขณะนั้นไม่เข้าใจ ไม่ก้าวหน้าไปเรื่อยๆ คือไม่เข้าใจไปเรื่อยๆ จะก้าวหน้าหรือไม่ก้าวหน้า ก็คือว่าเข้าใจหรือเปล่าเท่านั้น!
อ.วิชัย : จริงๆ เริ่มต้นก็รู้ว่าธรรมะนั้นคืออะไร ... คือสิ่งที่มีจริงๆ แม้ปัญญาก็เป็นธรรมะไม่ใช่เราเลย จะพยายามหรือบังคับไม่ได้ทั้งสิ้นเลย แต่ขณะที่ได้ยินได้ฟังขณะนี้ไม่มีการที่จะกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดเลย ขณะนั้นใส่ใจสนใจที่จะฟัง และเมื่อความเข้าใจเกิดเห็นลักษณะของความรู้ความเข้าใจที่เกิดขึ้นโดยความเป็นอนัตตาจริงๆ ขณะนั้นจะรู้ว่าเป็นธรรมะ เป็นอนัตตา และมีปัจจัยที่จะเกิดขึ้นด้วย ไม่มีเราต้องพยายามที่จะให้รู้อย่างหนึ่งอย่างใดต่างหาก แต่ว่าให้รู้ว่าเป็นธรรมะ แม้ปัญญาก็เป็นธรรมะ
ท่านอาจารย์ : ความจริงต้องพิจารณาว่าเพียงได้เข้าใจจะน้อยจะมากสักเท่าไหร่ก็ตาม เพียงได้เข้าใจว่าขณะนี้เป็นสิ่งที่มีจริงแล้วก็ไม่ใช่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป เห็นคุณค่าไหมว่าเพียงแม้ได้เข้าใจเท่านี้ก็ประเสริฐ ยังมีสิ่งที่จะทำให้ได้เข้าใจมากกว่านี้ยิ่งประเสริฐกว่านี้ เพราะว่าไม่ใช่เพียงฟังแต่ประจักษ์แจ้งความจริงด้วย
แต่เห็นโลภะ ... รักลวง ลวงให้อยู่ในสังสารวัฏ ลวงทุกวัน ล่อด้วยรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ลวงให้คิดว่าเป็นสิ่งที่ยั่งยืน เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แท้จริงหามีไม่ เป็นแต่เพียงสิ่งที่มีชั่วคราวเหมือนในฝัน เพราะปรากฏแล้วหมดไป แล้วอยู่ไหน ... ไม่เหลือเลย เพียงเข้าใจเท่านั้นก็ประเสริฐ
ถ้ารู้คุณค่าของการเข้าใจจริงๆ จะไม่ถูกโลภะลวง ... อยากรู้มากกว่านี้ ... เป็นไปได้อย่างไร แค่นี้ก็มากแล้วที่มีโอกาสได้ฟัง และถ้าเข้าใจมั่นคงจริงๆ ยิ่งมากขึ้นในเพียงไม่กี่คำ แต่ว่าเป็นความจริงที่สามารถที่จะถึงการประจักษ์แจ้งได้
ไม่ใช่เป็นเรื่องที่จะไปให้โลภะลวงต่อไปว่าอยากรู้มากกว่านี้ ควรจะก้าวหน้ามากกว่านี้ ฟังมาตั้งนานแล้ว ... แต่ว่าขณะที่เพียงได้เข้าใจอย่างนี้ก็บุญแล้ว ประเสริฐแล้ว แล้วก็ยังมีโอกาสเข้าใจมากกว่านี้อีก เพราะพระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรม 45 พรรษา ทุกคำมีค่า ถ้าเราฟังจริงๆ เพื่อเข้าใจ และรู้ว่าเมื่อเข้าใจแล้วไม่มีใครมาลวงให้ไปอยาก หรือว่าให้ไปต้องการเกินกว่านี้ เพราะว่าเหตุไม่มีพอที่จะให้เข้าใจเกินกว่านี้ได้ เมื่อฟังเท่านี้ เข้าใจแค่นี้ ฟังมากกว่านี้ก็จะเข้าใจขึ้น
สักกัจจภาวนา หมายถึง การอบรมเจริญปัญญาและกุศลธรรมด้วยความเคารพ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ