ถ. ในฐานะที่เราเป็นปุถุชนต้องมีสัญญา มีสมมติบัญญัติ เป็นพื้นอยู่เสมอ ถ้ามีการเจริญสติเป็นปกติมาเพิ่มอีกอย่าง จะทำเป็นอย่างไร ยังข้องใจอยู่
สุ. ไม่ใช่ว่าผู้ที่เจริญสติไม่มีสัญญา หรือไม่ใช่ว่าผู้ที่เป็นพระอรหันต์แล้วไม่มีสัญญา
สัญญาเป็นสภาพธรรมที่จำ ขณะที่กำลังจำได้ไม่ใช่ตัวตน เป็นสภาพธรรมที่มีจริง ความจำนั้นมีจริง เป็นนามธรรม รูปธรรม จำอะไรไม่ได้เลย แต่ความจำนั้นมีหลายอย่าง เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปพร้อมกับจิตแต่ละขณะ สัญญาเจตสิกเกิดขึ้นกับจิตดวงไหนก็ดับไปพร้อมกับจิตดวงนั้น
ตอนที่ยังไม่ได้เจริญสติปัฏฐาน มีสัญญาวิปลาส เห็นสิ่งที่ไม่เที่ยงทุกๆ ขณะนี้ว่าเที่ยง สิ่งที่ปรากฏทางตา ก็ปรากฏ แต่ไม่ประจักษ์ความเกิดขึ้นและดับไปของนามธรรมและรูปธรรม กำลังได้ยิน เสียงก็เป็นอย่างหนึ่ง ได้ยินก็เป็นอย่างหนึ่ง สภาพที่รู้เรื่องก็เป็นนามธรรมอีกอย่างหนึ่ง แต่ไม่ประจักษ์ว่า เสียงดับ ได้ยินดับ หรือสภาพนามธรรมที่รู้เรื่องดับ ก็จำว่า เป็นเราที่ได้ยิน
เพราะฉะนั้น ที่จำคำต่างๆ ก็เป็นสัญญาที่จำเรื่องราวถ้อยคำทางใจ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ถ้าไม่เคยเรียนภาษาหนึ่ง จะไปจำภาษานั้นไม่ได้ แม้แต่การที่จะจำคำซึ่งเป็นพยัญชนะ บัญญัติ ก็จะต้องอาศัยเหตุปัจจัยด้วยว่า ทำไมสัญญาที่จำคำนี้ เป็นภาษานี้จึงเกิดขึ้นได้ ถ้าไม่มีเหตุปัจจัย ไม่มีการฟัง ไม่มีการสำเหนียก ไม่มีการศึกษา สัญญาที่จะจำคำนั้นเป็นอีกภาษาหนึ่งก็เกิดขึ้นไม่ได้
สภาพธรรมทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แม้สัญญาก็ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เคยมีสัญญาในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะด้วยความเป็นตัวตน ด้วยความเป็นกลุ่มก้อนต่างๆ เป็นความเห็นผิด เป็นการยึดมั่นในสภาพธรรมนั้นๆ ขณะที่เจริญสติ ก็มีสัญญาเจตสิกเกิดร่วมกับจิตที่มีสัมมาสติที่ระลึกรู้ในลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ นี่เป็นเหตุที่ถ้าระลึกเนืองๆ ในลักษณะที่เป็นรูป ก็จำ ระลึกได้ แล้วก็รู้ว่า ลักษณะนั้นเป็นรูปธรรม สัญญาที่เคยวิปลาสมานานก็จะลดน้อยลง เพราะสัญญาที่เกิดพร้อมกับมรรคมีองค์ ๘ ทำให้รู้ว่า สภาพธรรมนั้นไม่เที่ยง เป็นทุกข์เพราะไม่เที่ยง
ที่มา และ อ่านเพิ่มเติม ...
แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 175
แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 176