[คำที่ ๓๖๖] กตญฺญูกตเวที
โดย Sudhipong.U  30 ส.ค. 2561
หัวข้อหมายเลข 32486

ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ กตญฺญูกตเวที

คำว่า กตญฺญูกตเวที เป็นคำภาษาบาลีโดยตรง [อ่านตามภาษาบาลีว่า กะ - ตัน - ยู - กะ - ตะ - เว - ที] มาจากคำว่า กต (อุปการคุณที่ผู้อื่นกระทำแล้ว) ญู (ผู้รู้) [ซ้อน ญฺ] กต (อุปการคุณที่ผู้อื่นกระทำแล้ว) และคำว่า เวที (ผู้รู้,ผู้ประกาศให้รู้) รวมกันเป็น กตญฺญูกตเวที เขียนเป็นไทยได้ว่า กตัญญูกตเวที หมายถึง บุคคลผู้รู้คุณที่ผู้อื่นกระทำดีแก่ตน เมื่อรู้แล้วก็กระทำตอบแทน เป็นการประกาศคุณของผู้มีคุณ ตามข้อความใน มโนรถปูรณี อรรถกถา พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทุกนิบาต ดังนี้ คือ

“บทว่า กตญญูกตเวที ได้แก่ ผู้รู้อุปการะที่เขาทำแล้วตอบแทนภายหลัง”

ข้อความใน ชาตกัฏฐกถา อรรถกถา พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก สรภังคชาดก แสดงความเป็นจริงของคำว่า กตัญญูกตเวที ไว้ดังนี้ คือ

“บุคคลใดรู้จักคุณ อันผู้อื่นทำแล้วแก่ตน ชื่อว่า เป็นผู้กตัญญู อนึ่ง ครั้นรู้อย่างนี้แล้ว ทำการตอบแทนคุณของเขาที่ได้ทำคุณไว้แก่ตน ชื่อว่า เป็นผู้กตเวที”


พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ประโยชน์จริงๆ คือ ความเข้าใจถูกเห็นถูก ว่า มีแต่ธรรมเท่านั้น ที่เกิดขึ้นเป็นไป ไม่มีสัตว์บุคคลตัวตน แม้ที่กล่าวถึงบุคคลผู้กตัญญูกตเวที ก็เพราะมีสภาพธรรมฝ่ายดีเกิดขึ้นเป็นไป คือ กุศลจิต และเจตสิก (ธรรมที่เกิดร่วมกับจิต) ที่เกิดร่วมด้วย มีศรัทธา (สภาพที่ผ่องใส) สติ (ความระลึกเป็นไปในความดี) หิริ (ความละอายต่ออกุศล) โอตตัปปะ (ความเกรงกลัวต่ออกุศล) อโลภะ (ความไม่ติดข้อง) อโทสะ (ความไม่ขุ่นเคืองใจ) เป็นต้น ที่รู้คุณความดีของผู้อื่น ชื่นชมสรรเสริญในความดีของผู้อื่น แล้วมีการกระทำตอบแทนตามกำลังความสามารถของตน จึงเรียกว่า บุคคลผู้กตัญญูกตเวที ซึ่งก็ต้องมีสภาพธรรมที่มีจริงๆ ที่เกิดขึ้นเป็นไป คือ ธรรมฝ่ายดี นั่นเอง ซึ่งจะตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับอกุศล เพราะถ้าเป็นอกุศลแล้ว จะไม่มีการชื่นชมหรือไม่รู้คุณของความดีและจะไม่มีการกระทำสิ่งที่ดีตอบแทนเลย

สำหรับกตัญญูกตเวทีบุคคล โดยความหมายแล้ว ก็คือ บุคคลที่รู้อุปการะที่ผู้อื่นกระทำในตน ประกาศอยู่ซึ่งอุปการะที่เป็นไปตามสมควรแก่อุปการะที่ผู้อื่นกระทำแล้ว ผู้นั้นชื่อว่า กตัญญูกตเวที อย่างเช่น บุคคลผู้ปฏิบัติชอบในมารดาและบิดา หรือในอาจารย์และพระอุปัชฌาย์ทั้งหลาย เป็นต้น แสดงความรู้คุณความดีของบุคคลนั้น ด้วยกาย ด้วยวาจา อาจจะโดยการเอาใจใส่ดูแล คอยต้อนรับ ช่วยเหลือกิจที่ควรทำประการต่างๆ เป็นต้น

ตามความเป็นจริงแล้ว บุคคลผู้กตัญญูกตเวที เป็นบุคคลที่หาได้ยากในโลก ก็เพราะสัตว์โลกสะสมอวิชชา ซึ่งเป็นความไม่รู้มากกว่าปัญญา สะสมกิเลสมากกว่าธรรมฝ่ายดี บุคคลผู้ที่เพียบพร้อมด้วยธรรมฝ่ายดี จึงมีน้อยกว่าสัตว์โลกที่มากไปด้วยกิเลสอกุศลทั้งหลายทั้งปวง ที่ไม่ได้รับการแนะนำในพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง อย่างเทียบกันไม่ได้เลย

ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าพระองค์ไม่ได้ทรงแสดงพระธรรมที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ ใครจะรู้ได้ สัตว์โลกก็มืดด้วยความไม่รู้ แล้วก็ยิ่งทับถมความมืดมากขึ้นๆ อยู่ในโลกตลอดกี่ภพกี่ชาติ ก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าไม่รู้ จนกว่าจะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงรู้ว่าสิ่งที่มีค่าที่สุด คือ ความเข้าใจถูกเห็นถูก จากที่เคยมืดสนิท เพราะความไม่รู้ ก็ได้เข้าใจขึ้นเพราะได้อาศัยคำจริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงแล้วทรงแสดงความจริงให้สัตว์โลกได้รู้ตาม พระบารมีคือคุณความดีที่จะทำให้ถึงฝั่งของการดับกิเลสทั้งหมดที่พระองค์ทรงบำเพ็ญมาตลอดระยะเวลานานถึงสี่อสงไขยแสนกัปป์เมื่อครั้งที่เป็นพระโพธิสัตว์ ก็เพื่ออุปการะเกื้อกูลแก่สัตว์โลกอย่างแท้จริง สัตว์โลกที่เต็มไปด้วยกิเลสอกุศลประการต่างๆ มากมาย พอได้ฟังพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง ก็สามารถขัดเกลาละคลายกิเลสจนกระทั่งสามารถดับได้จนหมดสิ้นในที่สุด พระมหากรุณาคุณของพระองค์ คือ ทรงแสดงพระธรรมให้สัตว์โลกได้เข้าใจตามความเป็นจริง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงเป็นบุพการี (ผู้ทำอุปการะมาก่อน) ที่สูงสุดโดยไม่มีใครเสมอเหมือน และในความเป็นผู้กตัญญูกตเวทีนั้น พระองค์ก็ทรงเป็นยอดของบุคคลผู้กตัญญูกตเวทีที่ทรงรู้คุณและทรงกระทำตอบแทนต่อบุคคลผู้มีพระคุณอย่างสูงสุด ด้วยการทรงแสดงพระธรรมโปรดพระพุทธบิดา คือ พระเจ้าสุทโธทนะ จนได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอรหันต์ ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างหมดสิ้นและดับขันธปรินิพพาน ไม่เกิดอีกเลย ส่วนพระพุทธมารดาที่ไปเกิดในสวรรค์ พระองค์ก็ทรงแสดงพระธรรมโปรด จนได้สำเร็จเป็นพระโสดาบัน ดับกิเลสได้ในระดับหนึ่ง และในที่สุดก็จะถึงความเป็นพระอรหันต์ห่างไกลแสนไกลจากกิเลสโดยประการทั้งปวง

บุคคลที่ได้มีความเข้าใจถูกเห็นถูก ก็เพราะได้อาศัยคำจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ผู้ใดก็ตามที่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วมีความเข้าใจและเห็นประโยชน์ ก็มีความหวังดี มีความปรารถนาดี แสดงความจริงความถูกต้องของพระธรรม ให้บุคคลอื่นได้รู้ตามความเป็นจริง เป็นผู้ที่กตัญญูกตเวที ต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างแท้จริง คำจริงทุกคำที่กล่าวให้คนอื่นได้เข้าใจ เป็นการประกาศความรู้คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งถ้าไม่มีใครกล่าวคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วใครจะรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด และที่สำคัญ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือพระพุทธศาสนา ยิ่งเปิดเผย ยิ่งรุ่งเรือง คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถูกปกปิดด้วยคำของบุคคลอื่นนานแสนนาน ถึงเวลาแล้วที่เมื่อมีใครก็ตามที่เข้าใจถูกต้อง ก็ช่วยกันแสดงความจริง ตรงตามความเป็นจริง เพื่อพระพุทธศาสนาจะได้รุ่งเรือง เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นต่อไป จึงเป็นสิ่งที่น่าคิดพิจารณาว่า รู้คุณของผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นบิดามารดา ครูอาจารย์ เป็นต้น แล้วรู้คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือยัง?


อ่านคำอื่นๆ คลิกที่นี่ ... บาลี ๑ คำ



ความคิดเห็น 1    โดย chatchai.k  วันที่ 14 มี.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ