ต่อไปจะเป็นเรื่องปฐมปาราชิกกัณฑ์ คือ เรื่องท่านพระสุทินน์ แต่ให้ทราบจากข้อความในเวรัญชกัณฑ์ว่า
แม้พระผู้มีพระภาคเองและพระภิกษุสงฆ์ ก็ได้ประสพผลของกรรมที่ได้กระ ทำไว้แล้วในอดีตซึ่งมีทั้งกุศลกรรมและอกุศลกรรม แล้วแต่กรรมใดจะให้ผลในขณะใด โดยเฉพาะเรื่องอาหาร ก็พิสูจน์ได้จากชีวิตของทุกๆ คนในครั้งนี้ด้วย ไม่ใช่แต่เฉพาะในครั้งพุทธกาลเท่านั้น
ขอกล่าวถึงบุพกรรมของพระผู้มีพระภาค ที่ทำให้พระองค์ต้องเสวยข้าวแดงตลอด ๓ เดือน
ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ พุทธาปทาน ชื่อ ปุพพกัมมปิโลติ ที่ ๑๐ (ข้อ ๓๙๒) พระผู้มีพระภาคตรัสชี้แจงบุพกรรมทั้งหลายของพระองค์ แก่ภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย ซึ่งพระพุทธดำรัสตอนหนึ่งมีว่า
เราได้บริภาษพระสาวกทั้งหลายในศาสนาของพระพุทธเจ้า พระนามว่า ผุสสะว่า ท่านทั้งหลายจงเคี้ยว จงกินแต่ข้าวแดง แต่อย่ากินข้าวสาลีเลย ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น เราอันพราหมณ์นิมนต์แล้ว อยู่ในเมืองเวรัญชา บริโภคข้าวแดงตลอด ๓ เดือน
ถ้ายังมีวัฏฏะอยู่ บางครั้งก็จะเห็นสิ่งที่ดี บางครั้งก็ได้เห็นสิ่งที่ไม่ดี หรือบางครั้งก็ได้ยินเสียงที่ดี บางครั้งก็ได้ยินเสียงที่ไม่ดี บางครั้งก็ได้กลิ่น ลิ้มรส ได้โผฏฐัพพะที่ดี บางครั้งก็ได้กลิ่น ลิ้มรส ได้โผฏฐัพพะที่ไม่ดี
เป็นเรื่องธรรมดาซึ่งทุกคนจะต้องประสพตามความเป็นจริง แล้วขอให้พิจารณาถึงพระมหากรุณาของพระผู้มีพระภาค ซึ่งถึงแม้ว่าเวรัญชพราหมณ์จะ ไม่ได้ถวายไทยธรรมตลอดไตรมาสที่จำพรรษาอยู่ที่เมืองเวรัญชาเลย แต่เมื่อพระองค์ได้ไปบอกลาเวรัญชพราหมณ์นั้น ก็ยังทรงชี้แจงให้เวรัญชพราหมณ์เห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถา
ข้อความใน ปฐมสมันตปาสาทิกาแปล มีว่า
พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม เพราะบริษัทมีมากหรือน้อยก็หาไม่ พระพุทธเจ้าทั้งหลายเมื่อจะทรงแสดงธรรมแก่จักรวาลหนึ่งก็ดี สองจักรวาลก็ดี จักรวาลทั้งสิ้นก็ดี ย่อมทรงแสดงด้วยพระอุตสาหะเสมอกันทีเดียว ครั้นทอดพระเนตรเห็นบริษัทมีจำนวนน้อยแล้ว ทรงลดพระวิริยภาพลงก็หาไม่ ถ้าทอดพระเนตรเห็นบริษัทมีจำนวนมากแล้ว ทรงมีพระวิริยภาพมากขึ้นก็หาไม่ เพราะเหตุแห่งความใฝ่พระทัยอยู่ว่า เหล่าชนผู้หนักในธรรมของเรา อย่าได้เสื่อมไป ดังนี้ จริงอยู่ พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงหนักในธรรม ทรงเคารพธรรมแล
ในเวรัญชกัณฑ์ จะเห็นได้ว่า นอกจากชีวิตจริงๆ ในครั้งนั้นจะได้ประสพกับวิบากกรรมที่บางครั้งก็ประณีต บางครั้งก็ไม่ประณีต พระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายก็ยังตามเสด็จพระผู้มีพระภาค ซึ่งทรงเสด็จจาริกไปในชนบทต่างๆ เป็นชีวิตจริงๆ
เพราะฉะนั้น ผู้ที่มีปกติเจริญสติอย่าพยายามไปทำอะไรที่ผิดจากชีวิตจริงๆ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน จะทำอะไร ก็เป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติ เพราะเหตุว่าโดยมากท่านที่ไม่ได้เจริญสติปัฏฐานตามปกติในชีวิตประจำวัน อยากประจักษ์ความเกิดขึ้นและดับไปของนามธรรมและรูปธรรม แต่ท่านไม่ได้เจริญความรู้เลย มีวิธีใดที่จะทำให้ท่านได้ประจักษ์ความเกิดขึ้นและดับไปได้ บรรลุญาณต่างๆ ได้ ท่านก็พร้อมที่จะทำทุกอย่าง แต่ไม่ได้เจริญความรู้ เพื่อละความไม่รู้ในสิ่งที่เป็นปัจจุบันธรรม คือ สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ซึ่งสติจะต้องระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ปัญญาจึงจะเพิ่มความรู้ชัดในลักษณะที่ไม่ใช่ตัวตน เพราะว่าลักษณะที่สติกำลังระลึกรู้นั้น เป็นนามธรรมบ้าง เป็นรูปธรรมบ้าง
ที่มา และ อ่านเพิ่มเติม ...
แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 151