โดยมีเงื่อนไขดังนี้คือ
1.ผมเชื่อว่าหนทางสู่การเป็นพระอรหันต์มี
2.ผมเชื่อว่าบาปบุญมี
3.ความเชื่อของผมจำกัดเฉพาะบนโลกมนุษย์นี้และยุคนี้เท่านั้น
อยากทราบว่าจะมีโทษหรือไม่ครับ
ศึกษาธรรมะเพื่อเข้าใจธรรมะจะมีประโยชน์มากกว่าไหมครับ
ขณะนี้มีธรรมะกำลังปรากฏไหม ศึกษาหรือยัง เข้าใจหรือยัง ..
เรื่องของผู้อื่นใครบรรลุธรรมขั้นไหน กิเลสของเราก็เหมือนเดิม
สิ่งที่มีโทษต่อเราก็คืออกุศลของเรา อกุศลควรละ ไม่ควรพอใจในอกุศล
ศึกษาธรรมะเพื่อเข้าใจธรรมะจะมีประโยชน์มากกว่าไหมครับ
ขณะนี้มีธรรมะกำลังปรากฏไหม ศึกษาหรือยัง เข้าใจหรือยัง ..
เรื่องของผู้อื่นใครบรรลุธรรมขั้นไหน กิเลสของเราก็เหมือนเดิม
สิ่งที่มีโทษต่อเราก็คืออกุศลของเรา อกุศลควรละ ไม่ควรพอใจในอกุศล
สาธุ
พระธรรมของพระพุทธเจ้ามีอยู่ ได้ฟังอยู่ขณะนี้พระธรรมยังอยู่ เพียงพอที่จะศึกษาปฏิบัติตาม จนเกิดมรรคผลได้แน่นอน ยังมีผู้ศรัทธา ศึกษาอบรม บ่มเพาะ ปัจจัยให้เกิดปัญญา มีผู้เดินไปสู่ วิสุทธิมรรค เขาย่อมอยู่ในทาง เขาเดินอยู่ย่อมถึงจุดหมายพระอรหันต์แม้มีอยู่ การที่เราจะได้พบพระอรหันต์ ได้ฟังธรรมจากพระอรหันต์ก็อาจจะไม่มีโอกาส จงอย่าคิดว่ายุคนี้ไม่มีพระอรหันต์
เข้าใจว่าเป็นโทษเพราะมีความสงสัย (เพราะไม่รู้) แต่เป็นปกติของปุถุชนเช่นเราๆ ที่ยังมีความสงสัย และความเชื่ออย่างเดียว ละความสงสัยไม่ได้ จึงจำเป็นที่จะต้องสดับฟังพระธรรมด้วยความไม่ประมาทต่อไปจนกว่าปัญญา..จะทำกิจหน้าที่ ละคลายความสงสัยได้เป็นสมุทเฉทค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น.
ข้อความบางตอนจาก คัมภีร์เนติปกรณ์
แปลโดย อาจารย์สมพร ศรีวราทิตย์.
พระธรรม อันพระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสไว้ดีแล้ว อันผู้บรรลุจะพึงเห็นเอง ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกให้มาดู ควรน้อมเข้ามาอันวิญญูชนทั้งหลายจะพึงรู้เฉพาะตน
ชื่อว่า สัทธา เพราะอรรถะว่าความเป็นใหญ่ในลักษณะแห่งความน้อมใจเชื่อ
ชื่อว่า วิริยะ เพราะอรรถะว่า ความริเริ่ม
ชื่อว่า สติ เพราะอรรถะว่า การไม่เลอะเลือน
ชื่อว่า สมาธิ เพราะอรรถะว่า ความไม่ฟุ้งซ่าน
ชื่อว่า ปัญญา เพราะอรรถะว่า ความรู้ทั่ว.."
.
อนุโมทนาค่ะ.
มีหรือไม่มี ใครจะรู้หรือไม่รู้ตาม ความสำคัญของการศึกษาธรรมะอยู่ที่ผู้เป็นสาวกควรจะเป็นผู้ที่มีเหตุผลที่จะได้พิจารณาอย่างแยบคายในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง และได้สอบทานความเห็นถูกของตนกับพระธรรมที่ทรงแสดงไว้ครับ ชีวิตประจำวัน มีอะไรหลายต่อหลายอย่างให้ได้คิด ถ้าคิดถูก คิดด้วยจิตที่เป็นกุศล ที่มีความเห็นถูกเกิดร่วมด้วย ก็ได้ชื่อว่า เชื่อถูก มีประโยชน์ ให้คุณ แต่ถ้าคิดผิด คิดด้วยจิตที่เป็นอกุศล เจือปนด้วยความเห็นผิด ก็ย่อมจะได้ชื่อว่า เชื่อผิด นอกจากจะไม่มีประโยชน์แล้ว ยังก่อโทษแก่ตนและผู้อื่นอีกด้วย ธรรมะเป็นสิ่งที่มีจริง เป็นสิ่งที่กำลังมีปรากฏในขณะนี้ ทางตาบ้าง หูบ้าง จมูก ลิ้น กาย ใจบ้าง เป็นไปตามเหตุปัจจัย โดยที่เราไม่ต้องอาศัยการคิดเงื่อนไขก่อน แล้วจึงจะค่อยปลงใจเชื่ออย่างในเรื่องอื่นๆ เลย เพราะในขณะนี้ยากที่จะปฏิเสธว่า เห็นจริง ได้ยินจริง ... คิดจริง เกิดแล้วให้ได้ศึกษาพิจารณาตามจนรู้ความจริงได้ และก็เป็นการศึกษาในสิ่งเดียวกันกับพระอรหันต์ทั้งหลายในขณะก่อนที่ท่านเหล่านั้นจะได้บรรลุครับ
พระธรรมเทศนาทั้งหมดที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงนั้น เป็นสัจจะสูงสุดเป็นเหตุเป็นผลของสภาพธรรมที่เป็นปัจจัยแก่กันและกัน ที่สอดคล้องกันไปทั้งหมด ไม่มีติดขัด มีความเป็นเงื่อนไขของธรรมะโดยตัวมันเองแต่ละอย่างๆ จึงเป็นพระธรรมที่มีคุณประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะพระพุทธองค์ได้ทรงมีพระมหากรุณาคุณตรัสสอน ตรัสเตือน ย้ำแล้วย้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ให้บรรดาเหล่าสาวกพึงถือเอาสิ่งที่เป็นสาระ และตั้งอยู่บนความไม่ประมาทอยู่เสมอ ทรงแสดงไว้อีกว่า หนทางที่จะรู้ความจริงอันประเสริฐนี้นั้น ข้ามพ้นไปจากวิสัยของปุถุชนที่จะรู้ได้ด้วยการตรึก เหตุนี้ ความคิดใด ความเชื่อใด แม้จะถูกต้อง ตรง และไม่ผิดก็จริง แต่ถ้าหากว่าไม่ช่วยให้สาวกละกิเลส/คลายอกุศล/กำจัดอวิชชาที่กำลังมีในขณะนี้ได้แล้ว แม้พระองค์ก็ไม่ทรงแสดง แต่พระองค์จะทรงแสดงพระธรรมอนุเคราะห์ในสิ่งที่จะทำให้ผู้ฟังถึงที่สุดด้วยความดับสิ้นแห่งกิเลส สู่ความพระอรหันต์ได้เลยทีเดียว
พระอรหันต์ทั้งหลาย ท่านตรัสรู้ตามที่พระพุทธองค์ทรงแสดงพระธรรมไว้ด้วยความรู้แจ้งประจักษ์ชัดในสภาพธรรมที่เป็นปัจจุบัน เข้าถึงพระนิพพาน ดับกิเลสเป็นสมุจเฉท เพราะท่านประพฤติปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์ครับ ถ้าเราเห็นท่านเป็นแบบอย่าง แล้วเกิดความศรัทธาที่มั่นคงขึ้น ด้วยความซาบซึ้งในพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาค ที่ทรงแสดงต่อพระอริยสาวกทั้งหลายแล้ว ก็จะเป็นปัจจัยให้เรามีความมั่นคงในการที่จะศึกษาพระธรรมต่อไปครับ เพราะรู้ด้วยปัญญาว่า หนทางเป็นไปได้ที่จะดับกิเลสนั้นมี เพราะผู้ที่ดับได้จริงๆ มี แม้ไม่เห็นท่านเหล่านั้น แต่เห็นว่า สิ่งที่มีให้พิสูจน์ในขณะนี้ เป็นหนทางที่จะทำให้ประจักษ์แจ้งในธรรมะที่ท่านได้บรรลุครับ
สมกับเป็นลูกศิษย์อาจารย์สุจินต์ จริงๆ ครับ
สาธุ สาธุ
ท่านเคยสังเกตุไหมครับว่า ทุกครั้งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสสอนพระธรรมเทศนาต่อผู้ใดก็ตาม ท่านจะใช้คำว่า "ดูก่อน" คำว่า "ดูก่อน" นี้ หมายความว่ายังไม่ให้เชื่อ การเชื่อในสิ่งที่เราไม่รู้ ในสิ่งที่เรายังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้นั้นถือว่าเป็นเรื่องงมงาย
ก่อนที่จะเชื่อ ขอให้ดูก่อนโดยใช้ กาลามสูตร ซึ่งมี ๑๐ ข้อดังนี้คือ
๑. อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ฟังๆ กันมา
๒. อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ทำต่อๆ กันมา
๓. อย่าเพิ่งเชื่อตามคำเล่าลือ
๔. อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างตำรา
๕. อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกเอา
๖. อย่าเพิ่งเชื่อโดยคาดคะเนเอา
๗. อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกคิดตามแนวเหตุผล
๘. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะถูกกับทฤษฎีของตน
๙. ๙. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะมีรูปลักษณ์ที่ควรเชื่อได้
๑๐. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะผู้พูดเป็นครูบาอาจารย์ของตน
กาลามสูตร ที่ข้าพเจ้าเข้าใจนั้น กาลามสูตร เป็นสิ่งที่ลดความถือยึดในตัวและตนของเรา “ลดตัวกูของกู” (การที่เราคิดว่าตัวของเราเองคิดถูกเสมอไป) การไม่เป็นคนหูเบาหรือเชื่อสิ่งใดโดยง่าย ทำเป็นคนใจกว้างขวาง ไม่มองสิ่งใดเพียงด้านเดียว และจะเป็นคนที่ยอมรับฟัง เรียนรู้ คิด พนิจ ลองทำตาม และเข้าใจ จากสิ่งต่างๆ จากคนต่างๆ รวมถึงจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้บุคคลผู้นั้นเป็นผู้ที่ฉลาดมีปัญญา กลายเป็นดอกบัวตูมที่อยู่บนผิวน้ำ และพร้อมที่จะแย้มกลีบบานเมื่อต้องแสงยามแรกอรุณ