[คำที่ ๑๕๘] โลก
โดย Sudhipong.U  4 ก.ย. 2557
หัวข้อหมายเลข 32278

ภาษาบาลี ๑ คำคติธรรมประจำสัปดาห์  “โลก

คำว่า โลก เป็นคำภาษาบาลีโดยตรง [อ่านตามภาษาบาลีว่า โล - กะ] แปลว่า สภาพธรรมที่มีอันต้องแตกสลายไปเป็นธรรมดา แสดงถึงความเป็นจริงของธรรมที่เป็นจิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดประกอบกับจิต)  รูป (สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร) เมื่อเกิดแล้ว มีอันต้องดับไป ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ดังข้อความบางตอนจาก พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค โลกสูตร ว่า 

“จักขุ (ตา) แตกสลาย รูป (สี, สิ่งที่ปรากฏทางตา) แตกสลาย จักขุวิญญาณ (จิตเห็น) แตกสลาย เป็นต้น”


เมื่อกล่าวถึงโลกแล้ว ก็จะต้องมีความเข้าใจว่า โลก ไม่พ้นไปจากธรรม ไม่พ้นไปจากสิ่งที่มีจริงๆ ที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ในคำสอนทางพระพุทธศาสนาประมวลโลก เป็น ๓ ประเภท คือ โอกาสโลก (โลก คือ  ที่เกิดของหมู่สัตว์  เช่น โลกมนุษย์ เป็นต้น) สัตวโลก (โลก คือ  หมู่สัตว์)  และ สังขารโลก (โลก คือ สังขารซึ่งเป็นสภาพธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่งให้เกิดขึ้น) ตามความเป็นจริงแล้ว ถ้าไม่มีสภาพธรรมที่มีจริงๆ ที่เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยที่เป็นสังขารโลก แล้ว ก็จะไม่มีโอกาส-โลก ถ้าไม่มีจิต เจตสิก รูป ก็จะไม่มีการเรียกว่าเป็นมนุษย์ เทวดา สัตว์ดิรัจฉาน เป็นต้น ถ้าเป็นผู้ที่อบรมเจริญปัญญา ย่อมจะเข้าใจตามความเป็นจริงว่า ที่มีสัตว์ บุคคลต่างๆ ได้นั้น ก็เพราะมีสภาพธรรมที่เป็นปรมัตถธรรม คือ จิต เจตสิก รูป เกิดขึ้น แต่เพราะเมื่อสภาพธรรม คือ จิต เจตสิก รูป เกิดขึ้น แล้วก็ดับไป สืบต่ออย่างรวดเร็ว การไม่รู้ลักษณะที่เกิดดับของจิต เจตสิก รูป จึงถืออาการของจิต เจตสิก รูป ซึ่งเกิดดับสืบต่อปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐาน ว่า เป็นสัตว์ เป็นบุคคล

ถ้าไม่ได้ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง จะไม่ชื่อว่า รู้จักโลก แม้ว่าจะได้อยู่ในโลกนี้มานานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นจำนวนกี่ปีในชาตินี้ และในอดีตชาติที่ผ่านๆ มา ก็ไม่ได้รู้จักโลก, ตราบใดที่ยังไม่ได้ศึกษาพระธรรม ไม่ได้อบรมเจริญปัญญาที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง ก็ยังไม่รู้จักโลก และไม่สามารถที่จะพ้นไปจากโลก เพราะเมื่อไม่รู้จักโลก จะพ้นไปจากโลกได้อย่างไร

ไม่ว่าจะสุขสักเท่าใด ก็ไม่ได้เป็นสุขตลอดกาล เพราะแท้ที่จริงแล้ว ความรู้สึกเป็นสุขก็เกิดขึ้นเพียงชั่วขณะระยะที่สั้นเล็กน้อยมาก เกิดแล้วก็ดับไป ซึ่งถ้าไม่ศึกษาสภาพธรรมตามความเป็นจริง จะไม่รู้แม้แต่ว่าอะไรปรากฏ ยกตัวอย่างเช่น เสียง ทุกคนไม่สงสัย เพราะว่าได้ยินเสียง แต่ว่าถ้าไม่มีสภาพรู้ ธาตุรู้ ซึ่งกำลังได้ยินหรือรู้เสียง เสียงจะปรากฏไม่ได้ เพราะฉะนั้น อารมณ์ต่างๆ ที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เป็นอารมณ์ของจิต ซึ่งจิตเป็นสภาพรู้หรือธาตุรู้ ถ้าไม่เห็นเลย ไม่ได้ยินเลย ไม่ได้กลิ่นเลย ไม่ได้ลิ้มรสเลย ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสเลย ไม่คิดนึกเลย จะรู้ไม่ได้เลยว่ามีจิตซึ่งเป็นสภาพรู้ ธาตุรู้ ซึ่งกำลังเกิดดับ แต่เวลาที่มีการเห็น มีการได้ยิน มีการได้กลิ่น มีการลิ้มรส มีการรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส มีการคิดนึก แต่ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง ซึ่งเกิดขึ้นแล้วดับไป สืบต่ออย่างรวดเร็ว จึงยึดถืออาการสัณฐานของสิ่งที่ปรากฏว่าเป็นสัตว์บ้าง เป็นบุคคลบ้าง หรือเป็นวัตถุสิ่งต่างๆ บ้าง

ตราบใดที่ยังไม่เข้าใจธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ไม่ชื่อว่า รู้จักโลกตามความเป็นจริง แม้ว่าจะได้ศึกษาเรื่องของโลกโดยวิชาการต่างๆ ไม่ว่าจะโดยภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ หรือว่าโดยวิชาวิทยาศาสตร์ ก็ไม่ชื่อว่ารู้จักโลกตามความเป็นจริง และวิชาการทั้งหลายเหล่านั้น ก็ไม่สามารถจะทำให้พ้นจากโลกได้ เพราะเมื่อไม่รู้จักโลก ก็ย่อมพ้นจากโลกไม่ได้ แล้วในโลกนี้ วันหนึ่งๆ มีสาระอะไรบ้าง สุขเวทนาเกิดขึ้น แล้วก็หมดไป จะให้สุขเวทนานั้นกลับคืนมาอีกก็ไม่ได้ หรือว่าผู้ใดจะมีความทุกข์ทรมานแสนสาหัสในโลกนี้ อยากจะพ้นจากโลกนี้สักเท่าใด ก็พ้นไม่ได้ ถ้าไม่รู้จักโลกตามความเป็นจริง

การที่จะรู้จักโลกตามความเป็นจริง คือ เข้าใจถูกเห็นถูกว่า มีสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยปรุงแต่งแล้วก็ดับไป ซึ่งเป็นสภาพธรรมแต่ละอย่างที่ปรากฏ เห็น เป็นโลกอย่างหนึ่ง ได้ยินเป็นโลกอย่างหนึ่ง เป็นต้น จึงไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน และไม่ใช่วัตถุสิ่งใดๆ เลย เป็นแต่เพียงธรรม เท่านั้น

เพราะฉะนั้น การที่จะรู้จักโลกตามความเป็นจริง จึงไม่ใช่สิ่งที่ง่าย จะต้องได้ฟัง ได้ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง บุคคลผู้ได้ฟังได้ศึกษา ก็จะพิจารณาและน้อมประพฤติปฏิบัติอบรมเจริญปัญญา จนกว่าปัญญาจะเจริญขึ้น จึงจะรู้ลักษณะของโลกได้ตามความเป็นจริง ไม่ใช่รู้โลกในขณะอื่นเลย แต่รู้โลกในขณะกำลังเห็น กำลังได้ยิน กำลังได้กลิ่น กำลังลิ้มรส กำลังรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส กำลังคิดนึกในขณะนี้ และมีหนทางที่จะทำให้รู้โลกที่กำลังเกิดดับในขณะนี้ คือ การฟังพระธรรมน้อมไปพิจารณาลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เพราะสภาพธรรมเหล่านี้ที่เป็นตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และ สภาพธรรมที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นโลก ถ้าเป็นวิธีอื่นหรือหนทางอื่นแล้ว ก็ไม่มีทางที่จะรู้จักโลกได้เลย  

ดังนั้น หนทางแห่งการอบรมเจริญปัญญาเท่านั้นที่จะทำให้รู้จักโลก คือ รู้สภาพธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยมีอันแตกสลายเป็นธรรมดา ว่า เป็นธรรมไม่ใช่เรา ตามความเป็นจริง และสามารถพ้นจากโลก คือ พ้นจากการมีสภาพธรรมเกิดดับสืบต่อกัน ถึงความเป็นผู้ดับกิเลสสิ้นทุกข์โดยประการทั้งปวงได้ในที่สุด.

 


อ่านคำอื่นๆ คลิกที่นี่ ... บาลี ๑ คำ



ความคิดเห็น 1    โดย chatchai.k  วันที่ 11 ธ.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ