ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เมื่อวันที่ ๑๐-๑๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา และ คณะวิทยากรของมูลนิธิฯ รศ.สงบ เชื้อทอง ผศ.อรรณพ หอมจันทร์ อ.ธีรพันธ์ ครองยุทธ อ.กุลวิไล สุทธิลักษณวนิช อ.ธิดารัตน์ หอมจันทร์ และ อ.คำปั่น อักษรวิลัย ได้รับเชิญจากคุณพรรณิภา วิมุกตานนท์ และ คุณพัฒน์นรี เปรมะรัตน์ เพื่อไปสนทนาธรรม ที่ กนกรัตน์ รีสอร์ท อำเภอ อัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม
เพื่อประโยชน์ ที่บุคคลจะมั่นคงขึ้นในหนทางของการศึกษาพระธรรม ที่ทรงมีพระมหากรุณาแสดงไว้ จากที่ได้ทรงตรัสรู้ ซึ่งจะเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความหลากหลายของการสะสมในแต่ละบุคคล ที่ไม่ซ้ำกันเลย ในสังสารวัฏฏ์ จึงจะขอใช้โอกาสนี้เล่าถึงสิ่งที่เคยได้ยินมาในหนทางของการพบและศึกษาพระธรรมพี่ติ๋ว พี่น้อย และกลุ่มนางฟ้าและเพื่อนๆ สักเล็กน้อย เพื่อเป็นตัวอย่างของการที่บุคคลสะสมบุญไว้แต่ปางก่อน ตามที่ได้ทรงแสดง ทำให้บุคคลนั้น ไม่เป็นผู้สูญเปล่าจากการที่ได้มีโอกาสเกิดมาในชาตินี้ ให้ได้พบ ได้สะสม อบรม เจริญปัญญา ความเข้าใจถูก ความเห็นถูกในสิ่งที่มีจริงๆ จากการได้ฟังคำที่ได้ทรงแสดง ต่อๆ ไป
พี่ติ๋ว (พรรณิภา วิมุกตานนท์) และพี่น้อย (พัฒน์นรี เปรมะรัตน์) เป็นอดีตนางฟ้าของบริษัทการบินไทย ที่ศึกษาพระธรรมกับท่านอาจารย์มายาวนานหลายสิบปีแล้ว นางฟ้าการบินไทยกลุ่มนี้ นอกจากพี่ติ๋วและพี่น้อยแล้ว ยังมีพี่ปุ๋ย (นางฟ้ามาดเท่ห์) พี่แอ๊ว (ฟองจันทร์ วอลช) อีกท่านหนึ่ง ทั้งหมด นอกจากจะเป็นอดีตนางฟ้าแสนสวยของบริษัทการบินไทยแล้ว ยังเป็นพี่สาวที่น่ารักของผู้ที่รู้จัก สนิทสนม คุ้นเคยในมูลนิธิฯ อีกด้วย นอกจากนี้ก็ยังมีเพื่อนๆ สนิทในกลุ่มท่านอื่นๆ เช่น พี่หนู (อัญญมณี มัลลิกะมาส) พี่ตุ๊กแก (วรรณวิไล เชาวน์ธาดาพงศ์) เป็นต้น
แม้จะมีหนทางที่ได้พบกับท่านอาจารย์ในเวลาต่างๆ กัน แต่พี่ๆ เป็นผู้ที่ไม่เคยทอดทิ้งหนทางของการสะสม อบรม ความเข้าใจพระธรรม และร่วมกันเจริญกุศลทุกประการเลย ตลอดเวลายาวนานที่ผ่านมา ทราบว่าพี่ๆ เป็นผู้ที่พากเพียรโดยสม่ำเสมอ ในการติดตามฟังการบรรยายธรรมของท่านอาจารย์มาแต่สมัยที่ท่านอาจารย์ไปบรรยายที่บ้านของคุณหญิงณพรัตน์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ที่หมู่บ้านเมืองทอง ถนนแจ้งวัฒนะ ก่อนที่ท่านอาจารย์ดวงเดือน บารมีธรรม และ คุณยายปาหนัน บารมีธรรม จะบริจาคที่ดินเพื่อก่อสร้างอาคารมูลนิธิฯ ในปัจจุบัน โดยเฉพาะพี่ติ๋ว เป็นผู้ที่มีส่วนช่วยเหลือ สนับสนุนงานมูลนิธิฯ ทั้งในทางเวปไซต์และด้านอื่นๆ มาโดยตลอด
พี่ปุ๋ยเล่าให้ข้าพเจ้าฟังแบบติดตลก เมื่อวันวิสาขบูชาที่ผ่านมาที่มูลนิธิฯว่า เมื่อครั้งที่ไปฟังท่านอาจารย์บรรยายที่บ้านคุณหญิงณพรัตน์ ก่อนที่จะไปที่บ้านคุณหญิงฯ พวกพี่ๆ ก็จะพากันแวะไปเจริญโลภะที่บ้านของพี่ตุ๊กแก (วรรณวิไล เชาวน์ธาดาพงศ์) ก่อน (บ้านหลังเดิมของพี่ตุ๊กแกอยู่ที่หมู่บ้านเมืองทอง ถนน แจ้งวัฒนะเช่นกัน) เพื่อไปเลือกชม เลือกซื้อกระเป๋าถือที่ทำจากต้นกระจูด ที่พี่ตุ๊กแกออกแบบและตัดเย็บเองเป็นงานอดิเรก นอกเหนือไปจากงานประจำที่ธนาคารกรุงเทพฯ สำนักงานใหญ่ สีลม กระเป๋าที่พี่ตุ๊กแกทำเป็นของสุดฮิตสุดเท่ห์ของเหล่าบรรดานางฟ้าในสมัยนั้น พี่ตุ๊กแกเล่าว่า ทำรายได้งามถึงขนาดที่นำเงินที่ได้มาทำรั้วบ้านที่ถนนสายไหม ที่พี่ตุ๊กแกอยู่ในปัจจุบันโดยไม่ต้องใช้เงินส่วนอื่นเลย
ที่น่าประทับใจเรื่องหนึ่งก็คือว่า ทั้งๆ ที่พี่ๆ ไปที่บ้านพี่ตุ๊กแกแทบทุกเสาร์ อาทิตย์ ก่อนที่จะไปฟังท่านอาจารย์บรรยาย แต่พี่ตุ๊กแกก็ไม่เคยสนใจเลยว่า พวกพี่ๆ มาฟังธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ (เข้าใจว่าคงสนใจเงินที่จะได้จากการขายกระเป๋าให้พวกพี่ติ๋ว พี่น้อย และพี่ปุ๋ย มากกว่า) ทุกคนถึงกับเฮในเวลาไม่กี่ปีมานี้ ที่พี่ตุ๊กแก ได้พบท่านอาจารย์ที่โรงพยาบาล หมายถึงการพบโดยการได้อ่านหนังสือของท่านอาจารย์ ที่มีผู้นำมาวางไว้ ซึ่งพี่ตุ๊กแกเล่าว่า โดนถึงขนาดต้องแอบหยิบหนังสือเล่มนั้นกลับมา เพื่อที่จะตามหาท่านอาจารย์ว่าเป็นใคร ซึ่งที่แท้แล้วก็คือคนๆ เดียวกันกับที่พี่ตุ๊กแกเคยได้ยินบ่อยๆ ในรถพี่หนู (อัญญมณี) แต่ไม่เคยสนใจเลยนั่นเอง เอ...ว่าจะเล่าเรื่องพี่ติ๋ว กับพี่น้อย เจ้าภาพ ไหงกลายเป็นเล่าเรื่องพี่ตุ๊กแกไปได้นะครับ
(กราบขอบพระคุณและอนุโมทนาพี่เจี๊ยบ รัชนีวรรณ บุญชู ที่กรุณาเช่าเรือให้น้องๆ ได้ล่องชมลำน้ำอัมพวายามค่ำคืน "ทุกครั้ง" ที่มาอัมพวาครับ)
การที่ได้รู้จักพี่ๆ กลุ่มนี้ ทำให้ได้มีความอบอุ่น มั่นคงขึ้นในหนทางของการศึกษาพระธรรม เป็นสิ่งพิสูจน์ให้เห็นถึงความหลากหลายของธรรมะที่ได้ทรงแสดง ได้เห็นถึงอัธยาศัยหลากหลายของการสะสมของแต่ละบุคคล เป็นประโยชน์ยิ่งในการน้อมเข้ามาสู่การพิจารณาตน และการสะสมของตน เพราะไม่ว่าทุกคนจะสะสมอะไรๆ มามากมาย ในสังสารวัฏฏ์ ทั้งดีและชั่ว แต่ก็เป็นสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นว่า สิ่งที่มีค่าที่สุดของทุกบุคคล คือ ความเข้าใจธรรมะ จากการที่เป็นผู้ที่สะสมบุญไว้แต่ปางก่อน มิใช่จะเพียงแต่สะสมแต่ความไม่รู้เพียงประการเดียว ดังเช่นบุคคลอื่นๆ ที่ไม่มีโอกาสเช่นว่านี้เลย จากการได้เกิดมาแล้วก็ตายไป แล้วๆ เล่าๆ เป็นผู้ว่างเปล่าไปทุกๆ ชาติ
ความเข้าใจพระธรรม ไม่เพียงช่วยขัดเกลาความไม่รู้ แต่ยังขัดเกลาความไม่เป็นมิตรที่แท้ ไปสู่ความเป็นมิตรที่แท้ มีความเมตตา ปรารถนาดีต่อกันและกัน อภัยกันในความผิดพลาด ขุ่นข้องหมองใจ ซึ่งกันและกัน มองกันด้วยปิยจักษุ เพราะเข้าใจขึ้นว่า ไม่มีใคร นอกจากธรรมะ ที่เกิดขึ้น เพราะเหตุและปัจจัย เกิดปีติแลโสมนัสในคุณความดีประการต่างๆ ของกันและกัน น้อมไปสู่การ "ทำดีและศึกษาพระธรรม" อันเป็นเป้าหมายที่มีค่ายิ่งเพียงประการเดียวของการได้มีโอกาสเกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้ ด้วยความเมตตาอันยิ่งของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่นำพระธรรมที่ทรงแสดงมาบรรยายให้พวกเราได้เข้าใจขึ้นๆ จากการได้ฟังบ่อยๆ
อนึ่ง จากการที่ได้มีโอกาสเดินทางไปสนทนาธรรมตามที่ต่างๆ ร่วมกับพี่ติ๋ว มีคำปรารภบ่อยๆ ประการหนึ่งของพี่ติ๋ว ที่ทำให้ได้เข้าใจขึ้น มั่นคงขึ้น ในความไม่ประมาทของหนทางในการศึกษาพระธรรมของตนเอง พี่ติ๋วซึ่งได้ติดตามฟังการบรรยายของท่านอาจารย์มานานหลายสิบปีแล้ว ได้เล่าถึงความประมาทของบุคคลต่างๆ ที่คิดว่าเป็นผู้ที่มีความเข้าใจธรรมดี แต่ในที่สุดก็ห่างหายไปสู่หนทางอื่น ซึ่งแสดงถึงความที่ยังเป็นผู้ที่ไม่เข้าใจ ไม่มั่นคงพอ (ผู้ที่มั่นคงแล้ว คือ พระโสดาบัน) ดังที่ท่านอาจารย์เคยกล่าวเตือนบ่อยๆ ว่าเมื่อเข้าใจแล้ว ก็อย่านึกว่าเข้าใจแล้ว ทั้งไม่ประมาทว่าจะไม่ไปสู่หนทางที่ผิด ด้วยโลภะ ความติดข้อง ความต้องการ ที่คอยชักนำอยู่เสมอๆ ผู้ศึกษาธรรม เมื่อเข้าใจขึ้นในความเป็นอนัตตา จะไม่มีคำว่า "ต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนี้" ในการศึกษาพระธรรมเลย บางท่านก็หลงคิดเอาเองว่า ต้องรักษาศีลก่อน ต้องอาราธนาศีล ต้องโน่น ต้องนี่ ต้องๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ใครเป็นคนบอก? ถ้าไม่ใช่โลภะและความไม่รู้ "ปัญญานำไปในกิจทั้งปวง" ฟังแล้วก็ลืม ฟังแล้วก็ลืม "ฟังและเข้าใจในสิ่งที่ฟัง" แค่นี้พอไหม? หรือต้องไปทำอะไรอีก!!! ถ้าทำ ใครทำ? ถ้าต้อง ใครบอกว่าต้อง? สำหรับผู้ที่มีความเข้าใจธรรม จะเป็นผู้ที่ไม่หวั่นไหว อาจหาญ ร่าเริง เพราะรู้จริงๆ ว่า สิ่งใดถูก สิ่งใดผิด สิ่งใดใช่ สิ่งใดไม่ใช่ และแม้กระนั้น ก็ไม่ลืมที่จะสอบสวนความเข้าใจของตนโดยบ่อย ด้วย "วัญจกธรรม ๓๘ ประการ" ที่ทรงมีพระมหากรุณาแสดงไว้ เพื่อเตือนพุทธบริษัทไม่ให้หลงไปในความ "ลวง" ของโลภะ ซึ่งหลอกลวงได้อย่างแนบเนียนสนิทยิ่งนัก
เพราะเหตุว่า ผู้ที่เคยสะสมอบรมความเข้าใจถูก ความเห็นถูก และเป็นผู้ที่ตรง ที่เป็นผู้ที่สั่งสมบุญไว้แต่ปางก่อน ตามที่ได้ทรงแสดงไว้นั้น เป็นผู้ที่รู้ได้ด้วยตนตั้งแต่แรกที่ได้พบกับพระธรรมแล้ว ว่านี้เป็นหนทางที่ถูกต้องแท้จริง ส่วนผู้ที่ฟังมานานแล้ว และคิดว่าเข้าใจแล้ว แต่เป็นผู้ไปสู่หนทางอื่น หนทางที่ต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนี้ ย่อมแสดงให้เห็นถึงความเข้าใจที่บิดเบี้ยว ไม่ตรง เพราะความไม่รู้ และความติดข้อง นั่นเอง ไม่มีเหตุผลประการอื่น ในที่สุดของการสนทนา พี่ติ๋วถามข้าพเจ้าว่า มีโอกาสที่ข้าพเจ้าจะเปลี่ยนไปสู่หนทางอื่นไหม? ข้าพเจ้าตอบว่า หนทางที่ถูกต้องมีหนทางเดียว ไม่มีทางอื่น เมื่อเข้าใจถูกต้องในหนทาง ย่อมไม่หวั่นไหวไปกับสิ่งใด หากวันหนึ่งข้าพเจ้ามีเหตุให้ไม่มาฟังพระธรรมที่มูลนิธิฯ ด้วยประการใดก็แล้วแต่ แต่จะมีท่านผู้เดียวที่ข้าพเจ้าจะฟังท่านไปจนวันตาย คือ ฟังคำของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ บรรยาย เท่านั้น ยุคนี้ สมัยนี้ จะหาผู้ใดที่แสดงธรรมด้วยความซื่อตรง จริงใจ เท่าท่าน ทั้งยังเป็นผู้แสดงธรรมโดยไม่หวังในลาภ สักการะ เช่นนี้ ไม่มีอีกแล้ว ไม่มีจริงๆ ผู้แสดงธรรมที่หวังในลาภ ในยศ เมื่อไหร่ เป็นผู้ที่ไม่จริงใจ ไม่ตรง แน่นอน เมื่อเป็นผู้ไม่ตรง ไม่จริงใจ ผู้มีปัญญาย่อมรู้ได้ จึงไม่สมาคมด้วย แต่แม้กระนั้น ก็ไม่ละโอกาสที่จะเกื้อกูลท่านเหล่านั้น ด้วยเมตตา ความเป็นมิตร ปรารถนาให้เขาได้มีความเข้าใจธรรมที่ถูกต้อง ดังคำที่ท่านอาจารย์เคยกล่าวด้วยเมตตา เป็นคำที่ประทับในใจข้าพเจ้ามานานแล้วว่า "อดทนไหม? ที่จะให้เขาได้เข้าใจธรรมะ" และเมื่อคิดถึงว่าโชคดีที่ยังได้ฟังท่านบรรยายอยู่ในขณะนี้ ยังมีโอกาสได้กราบเท้าตอบแทนท่านด้วยความดีและการศึกษาและเข้าใจธรรม ก็เกิดปีติทุกครั้ง โชคดีจริงๆ ครับ ที่ยังมีโอกาสนี้
อันดับต่อไป ขออนุญาตนำภาพและความธรรมะที่ได้บันทึกไว้ มาแบ่งปันทุกๆ ท่าน เพื่อพิจารณาเช่นเคย ขออนุโมทนาในความมั่นคงในหนทางของการศึกษาพระธรรมของทุกๆ ท่าน นะครับ ความเข้าใจ ความไม่ประมาท และ ความเป็นผู้ตรง เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในหนทางนี้ ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน ใดๆ เลยทั้งสิ้น นอกจาก ความรู้ และ ความไม่รู้ สาธุ...
อ.คำปั่น จะกราบเรียนท่านอาจารย์เป็นเบื้องต้นครับว่า แน่นอนก็ได้ยินคำว่าพระพุทธศาสนามา ตั้งแต่จำความได้ ก็จะมีการกล่าวถึงคำว่า พระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนา กันอยู่เสมอ บางครั้งก็บอกว่า ช่วยกันปกป้อง ช่วยกันรักษาพระพุทธศาสนา แต่ก็ยังไม่มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ถ่องแท้ ว่า ที่จริงแล้ว พระพุทธศาสนา คือ อะไร? และจะช่วยกันปกป้อง หรือว่า รักษาพระพุทธศาสนา ได้อย่างไร? ครับ
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีความเข้าใจ ว่า พระพุทธศาสนาคืออะไร? จะปกป้องอะไร? ในเมื่อไม่รู้!! เพราะฉะนั้น การที่จะกล่าวว่า จะปกป้องพระพุทธศาสนา ก็คือว่า ต้องรู้ว่าพระพุทธศาสนาคืออะไร คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ชื่อนี้ ก็ไม่มีใครอีกแล้วในสากลโลกทั้งหมด ไม่ว่าโลกมนุษย์ เทวดา พรหม อีกนานแสนนาน ก็จะไม่มีการที่จะได้ยิน ได้ฟัง คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ภายใน ๕,๐๐๐ ปี แต่ว่า ถ้าไม่ศึกษาให้เข้าใจเสียเดี๋ยวนี้ จะถึง ๕,๐๐๐ ปีไหม? ก็อันตรธานไปเลย
เพราะฉะนั้น การที่จะรักษาพระศาสนาก็คือว่า ต้องศึกษาให้เข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงๆ แล้วก็รู้ว่า เป็นคำสอนซึ่ง เมื่อพระศาสนาอันตรธานแล้ว ไม่มีโอกาสจะได้ยิน ได้ฟัง คำต่างๆ เหล่านี้อีกเลย เพราะฉะนั้น สัตว์โลกก็อยู่ในความมืด ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็ไม่รู้ว่า พระธรรมที่ทรงแสดงไว้ คือ อะไร?
ด้วยเหตุนี้ ไม่ลืมว่า ต้องเป็นผู้ตรง ถูกคือถูก ผิดคือผิด จึงจะได้สาระจากคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเหตุว่า พระองค์ทรงตรัสรู้ด้วยพระปัญญาที่ได้สะสมมา จนสามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่เมื่อไหร่ก็มี เดี๋ยวนี้ก็มี แต่ว่า ถ้าไม่ได้ยิน ไม่ได้ฟัง คำของพระองค์เลย เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ว่านี่แหละคือสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดงให้คนอื่นได้เข้าใจด้วย
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าอะไรก็ตามที่กำลังปรากฏ ถ้าไม่ได้ศึกษาธรรมะ ก็จะไม่รู้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มี ทั้งหมด
อ.คำปั่น ครับ กราบท่านอาจารย์ครับ ถ้าหากว่าไม่มีความเข้าใจพระธรรมก็ไม่สามารถที่จะปกป้องหรือว่ารักษาพระพุทธศาสนาได้ แต่ในทางกลับกัน ถ้าไม่รู้ความจริง มีความเห็นผิด ไม่ได้ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ ก็จะเป็นการทำลายพระพุทธศาสนา ก็จะมีประเด็นสนทนากับท่านอาจารย์ต่อเนื่องว่า อะไรที่เป็นแหล่งทำลาย หรือว่า เป็นบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาที่แท้จริง ที่อันตรายอย่างยิ่งครับ
ท่านอาจารย์ ค่ะ ทุกคำที่ไม่จริง ทำลายคำจริง วาจาสัจจะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ว่าที่ไหน!!!
อ.อรรณพ ท่านอาจารย์กล่าวว่า ทุกคำที่ไม่ใช่คำจริง ก็เป็นการทำลายคำจริง ซึ่งในประเทศไทยรวมทั้งประเทศอื่นๆ พระพุทธศาสนาในความคิดของเขาก็คือ การต้องไปสำนักปฏิบัติ ครับท่านอาจารย์ จะเป็นการทำลายพระศาสนาอย่างไรครับ ถ้าไม่เข้าใจถูก
ท่านอาจารย์ "สำนัก" คือ อะไร? "ปฏิบัติ" คือ อะไร? ไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คิดเอาเอง!! ปฏิบัติอะไรคะ?
อ.อรรณพ ก็คิดว่า ทำสิ่งที่เขาคิดว่าดีครับท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ อะไรล่ะคะ ดี?
อ.อรรณพ ก็คือ ถือศีล แล้วก็ไม่ไปวุ่นวายอะไร
ท่านอาจารย์ อยู่บ้าน ถือศีลได้ไหม?
อ.อรรณพ อยู่บ้านก็ถือศีลได้ครับ
ท่านอาจารย์ แล้วทำไมต้องไปสำนักปฏิบัติ?
อ.อรรณพ แต่ถ้าได้ไปในกลุ่มคนที่มีความเห็นเดียวกัน แล้วก็ไปร่วมกันถือศีล ก็อาจจะช่วยทำให้มีความตั้งมั่นมากขึ้น
ท่านอาจารย์ ช่วยกันไม่เข้าใจธรรมะ ช่วยกันเห็นผิด จากคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า!! เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ธรรมะ คือ สิ่งที่มีจริง ทุกแห่ง ไม่ว่าขณะไหน เวลาไหน เดี๋ยวนี้ก็เป็นธรรมะ ที่สามารถที่จะ ค่อยๆ เข้าใจถูกต้องขึ้น ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ สิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วทรงแสดงความจริงให้คนอื่นได้เข้าใจความจริงด้วย ที่ไหนก็ได้ บนรถไฟได้ไหม? สนทนาธรรม มีสิ่งที่กำลังปรากฏ ที่โต๊ะอาหารได้ไหม? ได้!! ที่ไหนก็ได้ ในห้องนอน ได้ไหม? ก็ได้!! ทุกอย่าง ที่มีสิ่งซึ่งไม่รู้ ไม่เคยรู้มาก่อน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงเพราะทรงตรัสรู้ "เห็น" นี่ต้องไปเห็นที่สำนักปฏิบัติหรือเปล่า?
อ.อรรณพ อยู่ที่ไหนก็มีปัจจัยให้เห็นครับท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ แล้วไปที่นั่นทำไม? ไปเห็นอะไร?
อ.อรรณพ ก็คือ ไม่ได้สนใจที่จะรู้ลักษณะของการเห็น
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ก็ไปด้วยความไม่รู้ แล้วก็ทำสิ่งที่ไม่รู้ กลับมาก็ไม่รู้!!! เสียเวลาไหม?
อ.อรรณพ คือ ก็หลายหลาก มากความคิด บางความคิดก็คือ ไปแล้วก็ ไปทำอย่างนั้น แล้วก็คิดว่า ก็ดีที่ว่า ได้หลีกออกไป แล้วก็ไม่ไปทำอะไรที่วุ่นวาย ดูเงียบๆ ดี สงบ
ท่านอาจารย์ คนที่ไป ไม่ได้ยินแม้คำว่าปริยัติ , "ปริยัติ" ไม่เคยได้ยินแน่นอน เพราะว่า ไม่รู้ว่าคืออะไร?
อ.อรรณพ ท่านอาจารย์ครับ อันนั้นก็มีส่วนหนึ่งที่เขาไม่เคยได้ยินคำว่าปริยัติ แต่หลายที่ บางสำนัก เขาก็บอกว่าเขามีปริยัติด้วย เขาก็มีปริยัติประกอบด้วย อย่างเมื่อวานที่ผมยกตัวอย่าง เขาก็มีการกล่าวข้อความ หรือ คำ ในพระไตรปิฎก มาประกอบ บางที่เขาก็มีการเอาพระไตรปิฎกมาพูดก่อน
ท่านอาจารย์ ขอโทษนะคะ แค่คำเดียวแล้วพูดคำอื่นประกอบอีกมากมาย เป็นปริยัติหรือเปล่า?
อ.อรรณพ คือ บางทีเขาก็เอาข้อความในพระไตรปิฎกมาอ่านตรงๆ แต่ว่า ก็ไม่ได้มีการอธิบายความละเอียดอะไร หรืออธิบายแบบของเขาไป
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ปริยัติ ไม่ได้หมายความว่า ฟัง อ่าน พูด แต่ไม่เข้าใจธรรมะ!!
อ.อรรณพ ตรงนี้ จะเป็นสิ่งที่สะกิดใจ นะครับ เพราะว่า บางที ผู้ที่ไปเขาก็เห็นว่า ดีนะ เขาก็มีข้อความในพระไตรปิฎกมาประกอบด้วย อาจจะยกมาแล้วก็อ่านตรงๆ แต่ก็อาจจะไม่ได้อธิบายอะไร หรืออาจจะอธิบายแบบ ตามที่เขาคิด แต่ก็ดูเหมือนก็มีปริยัติ มีข้อความ มีอะไรมา มีพระสูตร หรืออะไรอย่างนี้
ท่านอาจารย์ แต่ทุกคำ ค้านกับพระพุทธพจน์!!!
อ.อรรณพ คือ อย่างในรายการวิทยุก็มี บางทีเขาก็เอาข้อความในพระไตรปิฎกมาอ่าน
ท่านอาจารย์ แต่ค้านกับพระพุทธพจน์!!! ถ้าเป็นสำนักปฏิบัติ!!
อ.อรรณพ ค้านอย่างไรบ้างครับ?
ท่านอาจารย์ ค่ะ ธรรมะทั้งหลาย ไม่เว้นเลย ที่ไหน เมื่อไหร่ เป็นอนัตตา คำว่า "อนัตตา" หมายความว่าอะไร? แม้แต่คำเดียวก็ค้านแล้ว "อนัตตา" หมายความว่า ธรรมะเดี๋ยวนี้ "เห็น" ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร "ได้ยิน" มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้น ทุกอย่างเป็นอนัตตา เพราะเหตุว่า เกิดขึ้นมาเองก็ไม่ได้ เกิดแล้วไม่ให้ดับ ก็ไม่ได้ และธรรมะก็เกิดอยู่ตลอดเวลา เพราะมีปัจจัย ที่จะปรากฏ ตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่เคยขาดธรรมะเลย
เพราะฉะนั้น เมื่อพระผู้มีพระภาคฯตรัสแล้ว เปลี่ยนไม่ได้!! ธรรมะทั้งหลาย ทั้งหมด!!! ไม่เว้นเลย เป็นอนัตตา!! อนัตตา คือ ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา และไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของเรา เพราะฉะนั้น ค้านไหม? กับสำนักปฏิบัติ!!
อ.อรรณพ เขาก็บอกว่า เขาก็ยึดหลักอนัตตาเหมือนกัน แล้วเขาก็บอกว่า การที่ได้ไปสถานที่ที่ไม่วุ่นวาย ไม่อะไร แล้วก็เป็นการรวมกันของผู้ที่มาถือศีลด้วยกัน แล้วก็มาปฏิบัติกัน ก็จะเป็นเหตุปัจจัยให้ค่อยๆ เข้าใจสภาพธรรมะ
ท่านอาจารย์ ในครั้งพุทธกาล มีสำนักปฏิบัติไหม?
อ.อรรณพ ในพระไตรปิฎกไม่มีครับ
ท่านอาจารย์ แล้วทำไมมี?
อ.อรรณพ อันนี้ ผมก็ขอพูดให้ชัดเจนว่า เขาบอกว่า สมัยก่อน เป็นผู้ที่มีปัญญามาก เพราะฉะนั้น ก็สามารถที่จะรู้ลักษณะสภาพธรรมะ ได้ในทุกที่ แต่ในยุคนี้มีปัญญาน้อย ก็ต้องอาศัยสัปปายะ อาศัยเหตุปัจจัย ที่จะค่อยๆ น้อมไป ที่จะค่อยๆ รู้ขึ้น รู้ขึ้น รู้ขึ้น เพราะฉะนั้น สำนักต่างๆ ก็จะเป็นเหตุ เป็นปัจจัย ให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่อาศัย "คำ" ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือ? ที่พูดมาทั้งหมด ไม่ได้พูดสักคำเดียวว่า "อาศัยคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า" ซึ่งตรัสไว้ดีแล้ว!!! ทุกเมื่อ พูดถึงเรื่องสิ่งที่มีจริง ไม่ได้บอกให้ใครไปที่ไหนเลย
คนที่ได้มีโอกาสในครั้งโน้น ได้ไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รู้แจ้งอริยสัจจธรรม เป็นพระโสดาบัน ไปไหน? ไปสำนักไหน? ถ้าจะกล่าวว่า เขาได้สะสมปัญญามามาก ที่เมื่อฟังพระพุทธพจน์ที่พระองค์ตรัส แล้วเข้าใจได้ทันที ก็เราไม่เข้าใจไม่ใช่หรือ? เราเป็นผู้มีปัญญาน้อยกว่าบุคคลในครั้งนั้นไม่ใช่หรือ? แล้วเราไม่ศึกษาพระธรรมจนเหมือนเขา!! จนพอฟังแล้วก็สามารถเข้าใจได้ ว่า "เห็น" ขณะนี้ ไม่ใช่เรา เกิดขึ้นแล้วดับไป คนในครั้งโน้นเข้าใจได้เพราะสะสมมานานมากกว่าจะค่อยๆ รู้ "เห็น" ที่กำลังเห็น รู้ "ได้ยิน" ที่กำลังได้ยิน สภาพธรรมะที่ปรากฏ แล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว
เพราะฉะนั้น คนในยุคนั้น ไม่ได้สะสมมาก่อน จากการที่ไม่เคยฟังพระธรรม แล้วก็เริ่มฟัง เริ่มเข้าใจขึ้น แต่ละชีวิต ก่อนที่จะได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม หลากหลายมาก เป็นยาจกเข็ญใจ ไร้ทรัพย์ เป็นเศรษฐี มั่งมี เป็นผู้ที่เป็นเสนาบดี เป็นพระราชา เป็นหญิง เป็นชาย หมดทุกอย่าง เป็นนก เป็นแมว เป็นหนู เป็นปู เป็นไก่ ได้หมดเลย แต่ว่า กว่าจะได้ฟังพระธรรม จนกระทั่งเข้าใจ เมื่อได้ฟังคำ เมื่อไหร่ สามารถที่จะรู้ความจริงได้ เพราะเคยฟังมาแล้ว
อย่างเมื่อวานนี้ เราพูดถึงธรรมะ ถ้าฟังแล้ว เข้าใจแล้ว วันนี้ก็จำได้เลย พอได้ยินก็รู้ว่าแต่ละคำ หมายความถึงอะไร เพราะฉะนั้น อย่างอื่น อ้างไม่ได้เลย นอกจาก ปริยัติ-พระพุทธพจน์ ธรรมะที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส จากการที่ได้ทรงรู้แจ้งสภาพธรรมะตามความเป็นจริง ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน สงบสักเท่าไหร่ ร่มรื่นสักเท่าไหร่ แต่ไม่มีคำจริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่นั้นก็ไร้ประโยชน์!!!
แต่ว่า ไม่ว่าจะเจ็บไข้ได้ป่วย จะกำลังหิว จะกำลังโกรธ จะกำลังสุขสำราญ อยู่บนสวรรค์ชั้นฟ้าอย่างไรก็ตาม แต่เมื่อได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าใจแล้ว ก็สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้!! แต่ไม่ต้องไปกังวล จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้เมื่อไหร่ เพราะ "ไม่ใช่เรา" เริ่มเข้าใจความจริงว่า เป็นธรรมะทั้งหมดทุกอย่าง จนกว่าจะทั่ว เดี๋ยวนี้เอง ก็เป็นธรรมะแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง
เพราะฉะนั้น ไม่ใช่สถานที่ แต่ต้องเป็นพระพุทธพจน์ คำที่ได้ตรัสไว้ดีแล้ว เท่านั้น!! ซึ่ง เดี๋ยวนี้ เราอยู่ที่ไหน? อยู่เป็นหมู่ เป็นคณะ ฟังธรรมะ ไม่ใช่สำนักปฏิบัติ แต่เป็นที่ ที่จะได้ยิน ได้ฟังธรรมะ เพื่อที่จะเข้าใจธรรมะ
เพราะฉะนั้น ถ้าเราไปอยู่ที่อื่น เงียบสงบดี นั่งนิ่งๆ ไม่เข้าใจคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้เลย นั่นหรือสำนักอะไร? เพราะไม่เข้าใจคำว่าปฏิบัติคืออะไร ถ้าจะเข้าใจว่า ปฏิ-ปัตติ , "ปฏิปัตติ" ไม่ใช่เรา เป็นธรรมะ แล้วอะไรปฏิบัติ? "ไม่ใช่เรา" อีกเหมือนกัน ทุกอย่างเป็นสิ่งที่มีจริง จนกว่าจะรู้ทั่วว่า ไม่ใช่เรา เมื่อนั้นจึงจะค่อยๆ เห็นความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่จำกัดเวลา สถานที่ ว่าต้องไปฟังที่นั่น ที่นี่ ที่โน่น อยู่คนเดียวก็ฟังได้ เข้าใจได้ เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ข้อที่ควรจะเชื่อตาม ว่าต้องไปสู่ที่หนึ่งที่ใด แล้วจึงจะปฏิบัติธรรมะ โดยที่ว่า ไม่ได้เข้าใจธรรมะอะไรเลย
อ.อรรณพ ท่านอาจารย์ครับ ที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า คำไม่จริง ทำลายคำจริง อย่างคำที่สอนกันว่า ต้องไปสำนักปฏิบัติ ซึ่งก็ต้องทำลายคำจริงว่า การรู้ความจริง ได้ทุกที่ สติปัฏฐานเป็นประโยชน์ในที่ทั้งปวง ท่านก็มีแสดงไว้เช่นนี้
ท่านอาจารย์ "ต้องไป" ถูกหรือผิด? เป็นอัตตา หรือเป็น อนัตตา? ตั้งแต่เริ่ม ที่จะคิด!!!
อ.อรรณพ ท่านอาจารย์ครับ อย่างคนที่เขาได้ยินได้ฟังมาหลากหลายแนวทาง เขาก็จะมีเหตุมีผล ที่ดูเหมือนจะแนบเนียนว่า ทุกอย่างก็เป็นไปตามเหตุปัจจัย เขาก็มีเหตุปัจจัยของเขาที่จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น หรือเจริญธรรมะขึ้น ในรูปแบบของเขา ที่เป็นอย่างนี้ ที่แนบเนียนก็คือ เขาก็มีการแสดงธรรม แล้วก็มีข้อความพระไตรปิฎก คำในพระไตรปิฎกมาด้วย อย่างที่เรียนท่านอาจารย์ไปแล้ว แล้วก็คิดว่า ขณะนี้อะไรกำลังมี ก็ค่อยๆ รู้ไปตรงนั้น
ท่านอาจารย์ ก็ตรงนี้ไง ปรกติ ไม่เห็นต้องไปตรงไหน? เพราะฉะนั้น คำพูดค้านกันไม่ได้!! ถ้าบอกว่า "ต้องไป" ก็แสดงว่าตรงนี้รู้ไม่ได้ ใช่ไหม? ชักชวนกันไปเพราะอะไร? เพราะคิดว่าเมื่อไปแล้วจะรู้ แล้วรู้อะไร? ถ้าตราบใดที่ไม่รู้สิ่งที่มีจริงๆ ที่เกิดแล้วอย่างเดี๋ยวนี้ ก็ผิด!! ปัญญาไม่สามารถที่จะรู้สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้หรือ? ปัญญาต้องสามารถที่จะรู้ได้ทุกอย่าง จนกระทั่งสามารถที่จะประจักษ์แจ้งความจริง รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ที่ไหนก็ได้!! ในครัวก็ได้!! ในครัวเป็นสำนักปฏิบัติหรือเปล่า? ([เล่มที่ 54] พระสุตตันตปิฎกขุททกนิกายเถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้าที่ 1 อัญญตราเถรีคาถา)
อ.อรรณพ ไม่ใช่ครับ
ท่านอาจารย์ กำลังล้างเท้า เป็นสำนักปฏิบัติหรือเปล่า? ([เล่มที่ 41] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ หน้าที่ 489 เรื่อง นางปฏาจารา)
อ.อรรณพ ไม่ใช่ครับ
ท่านอาจารย์ แล้วทำไมถึงจะมีคำ ที่ทำลายคำของพระพุทธเจ้า โดยการที่พระองค์ตรัสว่า ทุกอย่างเป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา มีจริงๆ ปัญญาสามารถที่จะอบรม จนกระทั่งประจักษ์แจ้ง สิ่งที่กำลังปรากฏ เมื่อถึงเวลาที่ปัญญา อบรมแล้ว เจริญแล้ว ที่จะรู้ความจริงเมื่อไหร่ ก็รู้ความจริงเมื่อนั้น!!
ท่านพระสารีบุตร ไม่เคยรู้มาก่อนเลย ว่าจะพบท่านพระอัสสชิ ได้ฟังธรรมะ แล้วก็รู้แจ้งธรรมะ ที่กำลังปรากฏในขณะนั้นเอง!!! ไม่ใช่ต้องไปที่ไหนเลยทั้งสิ้น!! ท่านพระอัสสชิก็ไม่ได้บอกท่านพระสารีบุตรว่า ไปสำนักปฏิบัติก่อน แล้วก็จะไปรู้แจ้งอริยสัจจธรรมที่นั่น แต่ที่ไหนก็ได้!!! ที่ได้ยิน "คำ" ที่สามารถทำให้เข้าใจสิ่งที่มีจริง ในขณะนั้นได้ เหมือนเดี๋ยวนี้เลย!!! ถ้าเป็นปัญญาที่อบรมแล้ว ก็สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม เดี๋ยวนี้ ที่นี่ได้ นี่จึงจะเป็นอนัตตา ไม่ใช่อัตตา!!
เพราะฉะนั้น ก็เริ่มเป็นอัตตา ตั้งแต่เริ่มคิด ที่จะให้คนอื่นไปที่สำนักปฏิบัติ โดยที่ไม่รู้ว่า ปฏิบัติคืออะไร? ไม่ใช่เขาเลย ไม่ใช่คนนั้น ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่อัตตา ที่จะปฏิบัติ และไปแล้ว ทำอะไร? ที่สำคัญที่สุด ไปแล้วทำอะไร?
คุณพัฒน์นรี ท่านอาจารย์ขา หนูขอร่วมสนทนานิดหนึ่ง คือ สำหรับผู้ที่มาใหม่ เขาอาจจะคิดว่า ตอนนี้เรากำลังโจมตีสำนักปฏิบัติ ซึ่งเกิดขึ้นทั่วประเทศไทยอยู่ค่ะ
ท่านอาจารย์ ค่ะ เวลาที่พูดธรรมะ จะชัดเจนมาก ถ้าเราพูดทีละคำ "โจมตี" คือ อะไร? ถ้าเราพูดสิ่งที่ถูกต้อง เป็นประโยชน์ หรือ ไม่เป็นประโยชน์? เราควรจะไม่พูด? ในเมื่อคนอื่น ไม่สามารถที่จะรู้ว่า ความจริง คือ อะไร พระพุทธพจน์แต่ละคำ คือ อะไร? ธรรมะ คือ อะไร? ปฏิบัติ คือ อะไร?
เราไม่ใช่บอกว่า ผิด โดยที่ว่าไม่ได้ชี้แจงว่า ผิดตรงไหน แต่ผิดตรงนั้น ผิดตรงนี้ เพื่ออะไร? เพื่อให้รู้ว่า ถูก คือ อย่างไร? การที่สามารถที่จะทำให้คนอื่นเข้าใจถูกต้องได้ ผิดหรือ? และเป็นการโจมตีใคร? ไปโจมตีความเห็นผิด หรืออย่างไร? หรือไปโจมตีความเห็นถูก? หรือไปโจมตีอะไร? แต่ "คำที่จริง" ตรงกันข้ามกัน คำจริง เป็นอย่างหนึ่ง คำไม่จริง เป็นอีกอย่างหนึ่ง
เพราะฉะนั้น ผู้ฟัง ไม่ใช่คิดว่า โจมตี เพราะเหตุว่า มีคำ ที่กล่าวถึงแต่ละคำ ให้เข้าใจถูกต้อง ชัดเจนขึ้น แล้วจะโจมตีอะไร? มิฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็โจมตีพวกเดียรถีย์ สมัยโน้นมีครู อาจารย์ ที่มีชื่อเสียง ๖ ท่าน ล้วนแต่มีลูกศิษย์ ลูกหา มากมาย แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมะ ตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น พระองค์โจมตีความเห็นอื่นๆ ซึ่งเป็นความเห็นผิด ซึ่งพระองค์รู้แน่ ว่าความเห็นผิด ไม่ใช่ความเห็นถูก ตราบใดที่เขายังไม่ได้ฟังความเห็นถูก คำจริง เมื่อนั้น เขาก็หลงผิด
เพราะฉะนั้น ประโยชน์อะไร? ที่ทรงบำเพ็ญพระบารมี นานแสนนาน ก่อนที่จะได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าทีปังกร ก็ทรงมีพระมหากรุณาที่รู้ว่าธรรมะนี้ ยาก ลึกซึ้ง แค่สองคำนี้ คิดหรือเปล่า? ธรรมะ ยาก!!! ลึกซึ้ง!!! แต่คนอื่นบอก ธรรมะง่าย ไม่ต้องเรียนก็ได้ ไม่ต้องฟังพระพุทธพจน์ก็ได้ แล้วพระพุทธศาสนา คือ อะไร? ศาสนา คือ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าพระองค์ตรัสรู้ แล้วไม่แสดงธรรมะเลย สัตว์โลกจะเข้าใจความจริงได้ไหม?
เพราะฉะนั้น คำจริง ทุกคำ เป็นการโจมตีหรือเปล่า? หรือว่า เป็นการแสดงความถูกต้อง ให้คนที่สามารถพิจารณา ได้มีความเข้าใจที่ถูกต้องด้วย ประโยชน์อะไรล่ะคะ? จะต้องเสียเวลาพูดถึงสิ่งที่มีจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพื่อประโยชน์ที่จะให้คนอื่นได้เข้าใจถูกต้อง ไม่ว่าใคร ไม่ว่าจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือว่า พระสาวกทั้งหลาย เพราะเห็นประโยชน์ของผู้ที่มีโอกาสจะรู้ความจริง จึงได้กล่าว "คำจริง"
เพราะฉะนั้น เป็นการโจมตีหรือเปล่า? แต่ละคำ ต้องพิจารณา ไม่ใช่พูดตามๆ กัน หรือ คิดเอาเอง แต่ต้องรู้ว่า คิดอย่างไรว่าโจมตี? ในเมื่อแต่ละคำที่กล่าว เป็นสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้วทั้งนั้น ผู้ที่กล่าวตามที่พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว โจมตีใคร? แต่ถ้าเป็นคำไม่จริง โจมตีคำจริง!!!
อ.อรรณพ ผมขออนุญาตอัญเชิญข้อความในพระไตรปิฎก ที่แสดงเรื่องการว่าโจมตีไหม? ก็มีคำว่า ข่มขี่ อันนี้ท่านใช้คำว่า ข่มขี่อัญเดียรถีย์ ปริพาชก
ท่านอาจารย์ ได้ยินคำว่า ข่มขี่ ฟังธรรมดารู้สึกอย่างไร? (มีคนตอบว่ารุนแรง) เห็นไหม? พระพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างนี้ เป็นคำของพระองค์
อ.อรรณพ ใช่ครับ ยิ่งกว่าโจมตี เป็นการข่มขี่ด้วยดี โดยชอบธรรม อย่างไร? ซึ่งจะดีมาก เพราะว่า ท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดีท่านก็เป็นคฤหัสถ์ เป็นอุบาสก ไม่ใช่เพียงแค่พระภิกษุ ซึ่งท่านก็ได้เข้าไปในอารามของอัญเดียรถีย์ปริพาชก แล้วก็มีการแสดงความเห็นกัน แล้วท่านก็ได้กล่าว คือ พูดสรุป แต่ว่าจุดประสงค์คือจะพูดถึงว่า การข่มขี่ด้วยดี ท่านก็ได้แสดงข้อความต่างๆ ซึ่งคัดค้านคำกล่าวของเดียรถีย์ ในความเห็นผิดของเดียรถีย์ เดียรถีย์เขาก็กล่าวไปตามความเห็นผิดของเขาเยอะแยะ เรื่องโลกเที่ยง โลกไม่เที่ยง อะไรทั้งหลาย
แล้วท่านก็กล่าวถึงสิ่งที่เป็นธรรมะ ซึ่งเดียรถีย์เหล่านั้นก็บอกว่า ท่านก็ว่าของท่านถูก พวกเดียรถีย์ก็ว่าของเขาถูก และเขาก็ว่าท่านอนาถะก็ยึดความเห็นของตัวเองเหมือนกัน เพราะท่านอนาถะบอกว่าพวกท่านกำลังยึดถือความเห็นผิด ท่านก็บอกว่า ท่าน "เข้าใจด้วยปัญญาอันยิ่ง" ไม่ใช่ด้วยการยึดถืออย่างนั้น อัญเดียรถีย์เหล่านั้นก็อึ้งไป แล้วท่านก็มากราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงแสดงว่า นี้เป็นการข่มขี่ด้วยดี โดยกาลอันสมควร โดยชอบธรรม...พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกับภิกษุทั้งหลายหลังจากที่ท่านอนาถบิณฑิกได้ไปแล้วว่า...ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุใดแลเป็นผู้มีธรรมะอันไม่หวั่นไหวในธรรมวินัยตลอดกาลนาน ภิกษุแม้นั้น พึงข่มขี่อัญเดียรถีย์ ปริพาชกเหล่านั้น ให้เป็นการข่มขี่ด้วยดี โดยชอบธรรมอย่างนี้ เหมือนท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดี ข่มขี่แล้ว ฉะนั้น...
ครับท่านอาจารย์ คือ ไม่ได้เป็นการไปทำด้วยโทสะ หรือต้องการมีความสำคัญตนอะไร ก็ต้องกราบเรียนท่านอาจารย์ว่า ทำไมพระองค์ท่านก็ทรงใช้ข้อความที่ดูว่า ชัดเจน แล้วก็อาจจะคิดว่ารุนแรง "กล่าวข่มขี่ด้วยดี โดยชอบธรรม" ครับ
ท่านอาจารย์ โดยชอบธรรม คือ ด้วยความหวังดี ใช่ไหม? ให้เข้าใจถูกต้อง เพราะฉะนั้น คำจริง ต้องข่มขี่ คำไม่จริง แน่นอน โดยคำนั้นเอง!!
"อัตตา" กับ "อนัตตา" ใครจะบอกว่าต้องทำอย่างนี้ ไปสำนักปฏิบัติ แล้วอนัตตาอยู่ที่ไหน? เดี๋ยวนี้ก็มีธรรมะ แล้วธรรมะก็เป็นอนัตตา ทุกธรรมะ!!! ธรรมะทั้งหลาย ทั้งหมด ทั้งปวง "เห็น" ขณะนี้ ก็เป็นธรรมะ แล้วเมื่อไหร่จะเข้าใจ ว่า "เห็น" ไม่ใช่เรา ต้องฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อีกนานเท่าไหร่? ไม่ใช่แค่คำเดียว คำที่ได้ตรัสไว้ดีแล้ว ๔๕ พรรษา คำใดที่จะทำให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้นในสิ่งที่มี ซึ่งคนอื่นกล่าวถึงเรื่องนี้หรือเปล่า? ให้รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีจริงๆ โดยการฟัง จนกว่าจะเข้าใจ
แล้วก็ไม่ใช่คิดเองด้วย และ ไม่ใช่คำของตนเองด้วย!! แต่เป็นคำที่ ผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ คำว่าตรัสรู้หมายความว่าอะไร? ไม่ใช่รู้อย่างธรรมดาที่เรารู้ แต่สามารถที่จะเป็น "อภิสมัย" ยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยมีมาเลยในสังสารวัฏฏ์ ที่สามารถที่จะเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตาม
แล้วอย่างนี้ จะไม่ให้คนอื่นเข้าใจถูกต้องหรือ? ว่าเดี๋ยวนี้ มีธรรมะ แต่เคยเข้าใจว่า "เป็นเรา" คือ "อัตตา" แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า เป็น "อนัตตา" เพราะฉะนั้น กว่าจะคล้อยตาม มั่นคง ว่าเห็นเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่เรา ต้องฟังเรื่องอะไรคะ? เรื่องสิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้น เป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับ เป็นธรรมดา พิสูจน์ได้เลย!!!
เพราะฉะนั้น ในภาษาบาลีใช้คำว่า ขัณฑ หรือ ขันธ ซึ่งคนไทยก็พูดง่ายๆ ว่า ขันธ์ , ขันธ์ ๕ ทำไมทรงจำแนกธรรมะ เป็นขันธ์ ๕ เพราะว่า บอกว่า "เห็น" ไม่ใช่เรา "ได้ยิน" ไม่ใช่เรา เกิดขึ้น ดับไป ไม่พอ เพราะอุปาทาน ความยึดมั่น ในสิ่งที่มี ในความเป็นตัวตน เหนียวแน่นมาก เพราะไม่ใช่เพิ่งจะยึดมั่นชาตินี้ชาติเดียว นานแสนนานมาแล้ว สภาพธรรมะก็เกิดดับ แต่เมื่อไม่มีการได้ฟังพระธรรม ใครจะมาบอก ว่าเห็นเดี๋ยวนี้ ที่กำลังเห็น ต้องเกิด เพราะเหตุปัจจัย ไม่มีใครไปทำให้เห็นเกิดขึ้นได้เลย แล้วเห็นที่เกิดขึ้น ก็ต้องดับด้วย ไปยับยั้งไม่ให้เห็นดับก็ไม่ได้ ทรงแสดงความจริงของสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ โดยละเอียดยิ่ง โดยประการทั้งปวง ว่าขณะนั้น เป็นสภาพธรรมะอะไรบ้าง แล้วอย่างนี้ ไม่ฟังปริยัติ ไม่ฟังพระพุทธพจน์ ไม่ศึกษาคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วไปปฏิบัติอะไร? ใครปฏิบัติ? "ตัวเรา" ปฏิบัติ!! แล้วทุกคำต้องค้านกับคำที่ได้ตรัสแล้ว แม้แต่เพียงว่า ธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา
"ชาวพุทธ" แค่คำนี้คำเดียว หมายความถึงใคร? คนที่ไม่ฟังพระธรรมเลยหรือ? เป็นชาวพุทธได้ไหม? ชาวพุทธไหน? ที่ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ฟังพระธรรม แล้วบอกว่าตัวเองเป็นชาวพุทธ พูดได้อย่างไร? หรือว่า เขาว่าฉันเป็นชาวพุทธ ฉันก็เป็นชาวพุทธ โดยไม่รู้ว่าชาวพุทธคือใคร?
เพราะฉะนั้น ไม่รู้ทั้งหมด ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ละคำ เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นความจริง แม้ไม่เรียกว่าชาวพุทธ ไม่เรียกนะคะ แต่มีความเคารพในคำจริง เวลาที่ได้ยินคำที่จริง รู้ได้เลย ใครกล่าวคำนี้ เพราะฉะนั้น ผู้ที่กล่าวคำจริง ควรเป็นผู้ที่ทุกคนเคารพไหม? ถ้ารู้สึกอย่างนี้ เป็นชาวพุทธหรือเปล่า? ต่อเมื่อได้รู้ว่าคำจริง เป็นคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อตรัสรู้แล้ว ทรงแสดงให้คนอื่นได้รู้ความจริงที่พระองค์ได้ตรัสรู้ด้วย
เพราะฉะนั้น ทรงแสดงอะไร ก็แสดงเรื่องสิ่งที่มีจริง ซึ่งคนอื่นไม่เคยรู้มาก่อน ให้คนอื่นได้เริ่มเข้าใจถูกต้อง ในแต่ละคำ ซึ่งเป็นคำที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง และความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งเข้าใจได้
เพราะฉะนั้น การจะเริ่มฟังพระธรรม ต้องไปเตรียมตัวไหม? ไปนุ่งขาว ใส่ขาวมา แล้วมาฟังพระธรรม อย่างนั้นหรือเปล่า? ไม่ใช่เลยทั้งสิ้น!! เพราะฉะนั้น ไปนุ่งขาว ใส่ขาว กันทำไม? พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสให้ใครนุ่งขาว ใส่ขาวหรือเปล่า?
เพราะฉะนั้น เห็นได้เลย คำไม่จริงทั้งหมด ทำลายคำจริง เพราะไม่มีเหตุผล!!!
[เล่มที่ 26] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้าที่ 737
ข้อความบางตอนจาก อาณีตสูตร
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุ ในอนาคต เมื่อเขากล่าวพระสูตรที่ตถาคตกล่าวแล้ว อันลึก มีอรรถ อันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรมอยู่ จักไม่ปรารถนาฟังจักไม่เข้าไปตั้งจิตเพื่อรู้ และจักไม่สำคัญธรรมเหล่านั้น ว่าควรเล่าเรียนว่าควรศึกษา แต่ว่าเมื่อเขากล่าวพระสูตรอันนักปราชญ์รจนาไว้ อันนักปราชญ์ร้อยกรองไว้ มีอักษรอันวิจิตร มีพยัญชนะอันวิจิตร เป็นของภายนอก เป็นสาวกภาษิตอยู่ จักปรารถนาฟังด้วยดี จักเงี่ยโสตลงสดับ จักเข้าไปตั้งไว้ซึ่งจิตเพื่อรู้ และจักสำคัญธรรมเหล่านั้น ว่าควรเรียนควรศึกษา.
[๖๗๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระสูตรเหล่านั้น ที่ตถาคตกล่าวแล้วอันลึก มีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรม จักอันตรธานฉันนั้นเหมือนกัน เพราะเหตุดังนี้นั้น เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เมื่อเขากล่าวพระสูตรที่ตถาคตกล่าวแล้ว อันลึก มีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรมอยู่ พวกเราจักฟังด้วยดี จักเงี่ยโสตลงสดับ จักเข้าไปตั้งไว้ซึ่งจิตเพื่อรู้ และจักสำคัญธรรมเหล่านั้นว่าควรเรียน ควรศึกษา ดังนี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แหละ.
ข้อความบางตอนจากอรรถกถา อาณีตสูตร
บทว่า ตสฺมา ความว่า เพราะเหตุนั้น พระสูตรทั้งหลายที่เป็นตถาคตภาษิต เมื่อพวกเราไม่ศึกษา ย่อมอันตรธานไป.
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณพรรณิภา วิมุกตานนท์ คุณพัฒน์นรี เปรมะรัตน์ และ คุณสัมพันธ์- คุณนวรัตน์ พงษ์พรรณากูล
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
🌼กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์และกราบอนุโมทนาขอบพระคุณด้วยความเคารพยิ่ง
🌺กราบอนุโมทนาขอบพระคุณท่านอาจารย์วิทยากรทุกท่าน
🌹ขออนุโมทนาขอบพระคุณท่านเจ้าภาพอันประกอบด้วยคุณพรรณิภา วิมุกตานนท์ คุณพัฒน์นรี เปรมะรัตน์ และ คุณสัมพันธ์ - คุณนวรัตน์ พงษ์พรรณากูล ท่านผู้ที่ได้มีโอกาสฟังการสนทนาธรรมและเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องทุกท่าน
🌷ขออนุโมทนาขอบพระคุณ คุณวันชัย ภู่งามในความเพียรพยายามเรียงร้อยภาพ ถ้อยคำและเสียงถ่ายทอดการสนทนาธรรมรวมทั้งมีการค้นพระสูตรต่างๆ มารวมไว้ให้ผู้สนใจค้นศึกษาด้วย อันมีส่วนทำให้การอ่าน ฟังเป็นไปด้วยความเบิกบานใจยิ่ง
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของท่านเจ้าภาพทุกๆ ท่านครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ภู่งาม เป็นอย่างยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ