นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส
พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ
ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ
••• ... ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย ... ..•••
... สนทนาธรรมที่ ...
มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา (มศพ.)
... นำสนทนาโดย ...
อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และคณะวิทยากร
พระสูตร ที่จะนำมาสนทนาที่มูลนิธิฯ วันเสาร์ที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๖๑ เวลา ๐๙.๐๐ - ๑๒.๐๐ น. คือ
[เล่มที่ 35] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้าที่ ๑๐
๕. อนุโสตสูตร
(ว่าด้วยบุคคล ๔ ปรากฏในโลก)
[๕] ดูกร ภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ นี้มีปรากฏอยู่ในโลก บุคคล ๔ คือใคร คือบุคคลไปตามกระแส ๑ บุคคลไปทวนกระแส ๑ บุคคลตั้งตัวได้แล้ว (ไม่ตามและไม่ทวนกระแส) ๑ บุคคลข้ามถึงฝั่งขึ้นอยู่บนบกเป็นพราหมณ์ ๑
บุคคลไปตามกระแส เป็นอย่างไร บุคคลบางคนในโลกนี้เสพกามด้วย ทำบาปกรรมด้วย นี้เรียกว่า บุคคลไปตามกระแส
บุคคลไปทวนกระแส เป็นอย่างไร บุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่เสพกาม และไม่ทำบาปกรรม แม้ทั้งทุกข์กายทั้งทุกข์ใจ กระทั่งร้องไห้ น้ำตานองหน้า ก็ยังประพฤติพรหมจรรย์ให้บริบูรณ์บริสุทธิ์อยู่ได้ นี้เรียกว่า บุคคลไปทวนกระแส
บุคคลตั้งตัวได้แล้ว เป็นอย่างไร บุคคลบางคนในโลกนี้ เพราะสิ้นสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ เป็นโอปปาติกะ ปรินิพพานในโลกที่เกิดนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา นี้เรียกว่า บุคคลตั้งตัวได้แล้ว
บุคคลข้ามถึงฝั่งขึ้นบนบกเป็นพราหมณ์ เป็นอย่างไร บุคคลบางคนในโลกนี้ เพราะสิ้นอาสวะทั้งหลาย กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเอง สำเร็จอยู่ในปัจจุบันนี้ นี้เรียกว่า บุคคลข้ามถึงฝั่งขึ้นอยู่บนบกเป็นพราหมณ์
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย นี้แลบุคคล ๔ มีปรากฏอยู่ในโลก
(พระคาถา)
ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ไม่สำรวมในกาม ยังไม่สิ้นราคะ เป็นกามโภคี ในโลกนี้ ชนเหล่านั้น ชื่อว่า ผู้ไปตามกระแส ถูกตัณหาครอบงำไว้ ต้องเกิดและแก่ บ่อยๆ เพราะฉะนั้นแหละ ผู้เป็นปราชญ์ ในโลกนี้ ตั้งสติ ไม่เสพกามและไม่ทำบาป แม้ทั้งทุกข์กายใจ ก็ละกามและบาปได้ ท่านเรียกบุคคลนั้นว่า ผู้ไปทวนกระแส คนใดละกิเลส ๕ ประการ (คือ สังโยชน์เบื้องต่ำ) ได้แล้ว เป็นพระเสขะ บริบูรณ์ มีอันไม่เสื่อมคลายเป็นธรรมดา ได้ความสำเร็จทางใจ มีอินทรีย์อันมั่นคง คนนั้นท่านเรียกว่า ผู้ตั้งตัวได้แล้ว เพราะได้ ตรัสรู้แล้ว
ธรรมทั้งหลายทั้งยิ่งและหย่อน ของบุคคลใด สิ้นไป ดับไป ไม่มีอยู่ บุคคลนั้น เป็นผู้บรรลุซึ่งยอดความรู้ สำเร็จพรหมจรรย์ ถึงที่สุดโลก เรียกว่าผู้ ถึงฝั่งแล้ว
จบอนุโสตสูตรที่ ๕
อรรถกถาอนุโสตสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในอนุโสตสูตรที่ ๕ ดังต่อไปนี้ :-
บุคคลชื่อว่า อนุโสตคามี เพราะไปตามกระแส. ชื่อว่าปฏิโสตคามี เพราะไปทวนกระแสของกระแสคือกิเลส โดยการปฏิบัติที่เป็นข้าศึก
บทว่า ฐิตตฺโต คือมีภาวะตั้งตนได้แล้ว
บทว่า ติณฺโณ ได้แก่ ข้ามโอฆะตั้งอยู่แล้ว
บทว่า ปารคโต ได้แก่ ถึงฝั่งอื่น
บทว่า ถเล ติฏฺฐติ ได้แก่อยู่บนบก คือ นิพพาน
บทว่า พฺราหฺมโณ ได้แก่ เป็นผู้ประเสริฐ หาโทษมิได้
บทว่า อิธ แปลว่า ในโลกนี้
บทว่า กาเม จ ปฏิเสวติ ได้แก่ส้องเสพวัตถุกามด้วยกิเลสกาม
บทว่า ปาปญฺจ กมฺมํ กโรติ ได้แก่ย่อมทำกรรมมีปาณาติบาตเป็นต้น อันเป็นบาป
บทว่า ปาปญฺจ กมฺมํ น กโรติ ได้แก่ ไม่ทำกรรมคือเวร ๕
บทว่า อยํ วุจฺจติ ภิกฺขเว ฐิตตฺโต ความว่า อนาคามีบุคคลนี้ ชื่อว่า ตั้งตนได้แล้ว ด้วยอำนาจการไม่กลับมาจากโลกนั้น โดยถือปฏิสนธิอีก
บทว่า ตณฺหาธิปนฺนา ความว่า เหล่าชนที่ถูกตัณหาครอบงำ คือครอบไว้หรือ เข้าถึง คือ หยั่งลงสู่ตัณหา
บทว่า ปริปุณฺณเสกฺโข ได้แก่ ตั้งอยู่ในความบริบูรณ์ด้วยสิกขา
บทว่า อปริหานธมฺโม ได้แก่ มีอันไม่เสื่อมเป็นสภาวะ
บทว่า เจโตวสิปฺปตฺโต ได้แก่ เป็นผู้ชำนาญทางจิต. บุคคลเห็นปานนี้ ย่อมเป็นพระขีณาสพ. แต่ในข้อนี้ ตรัสแต่อนาคามีบุคคล
บทว่า สมาหิตินฺทฺริโย ได้แก่ ผู้มีอินทรีย์หกมั่นคงแล้ว
บทว่า ปโรปรา ได้แก่ ธรรมอย่างสูงและอย่างเลว อธิบายว่า กุศลธรรมและอกุศลธรรม
บทว่า สเมจฺจ ได้แก่ มาพร้อมกันด้วยญาณ
บทว่า วิธูปิตา ได้แก่ อันท่านกำจัดหรือเผาเสียแล้ว
บทว่า วุสิตพฺรหฺมจริโย ความว่า อยู่จบมรรคพรหมจรรย์
บทว่า โลกนฺตคู ความว่า ถึงที่สุดแห่งโลกทั้งสาม
บทว่า ปารคโต ความว่า ผู้ถึงฝั่งด้วยอาการ ๖. ในข้อนี้ตรัสแต่พระขีณาสพเท่านั้น แต่วัฏฏะและวิวัฏฏะ (โลกิยะและโลกุตระ) ตรัสไว้ทั้งในพระสูตร ทั้งในคาถาด้วยประการฉะนี้
จบอรรถกถาอนุโสตสูตรที่ ๕
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ข้อความโดยสรุป
อนุโสตสูตร
(ว่าด้วยบุคคล ๔ มีปรากฏในโลก)
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง บุคคล ๔ จำพวก ได้แก่
๑. บุคคลผู้ไปตามกระแส (ไปตามกระแสของกิเลส ถูกกิเลสครอบงำ ทำบาป)
๒. บุคคลผู้ทวนกระแส (ทวนกระแสของกิเลส ไม่ไปตามกระแสของกิเลส แม้จะยังมีความทุกข์ ความเดือดร้อนต่างๆ แต่ก็สามารถที่อบรมเจริญปัญญา เข้าใจความจริงบรรลุถึงความเป็นพระอริยบุคคลขั้นพระโสดาบัน และพระสกทาคามีได้ [ตามข้อความในพระอภิธรรมปิฎก ปุคคลบัญญัติ แสดงไว้ว่า พระโสดาบัน และพระสกทาคามี เป็นบุคคลผู้ทวนกระแส] )
๓. บุคคลผู้ตั้งตนได้ (แสดงถึงความเป็นพระอนาคามีบุคคล ผู้ละสังโยชน์ (กิเลสที่ผูกมัดหมู่สัตว์ไว้ในวัฏฏะ) เบื้องต่ำ ๕ ได้ คือ สักกาทิฏฐิ (ความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน) วิจิกิจฉา (ความลังเลสงสัยในสภาพธรรม) สีลัพพตปรามาส (การลูบคลำยึดถือข้อวัตรปฏิบัติที่ผิด) กามราคะ (ความยินดีพอใจในกาม) และ ปฏิฆะ (โทสะ ความกระทบกระทั่งแห่งจิต)
๔. บุคคลผู้ข้ามถึงฝั่ง (แสดงถึงความเป็นพระอรหันต์ ดับกิเลสได้หมดสิ้น)
ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ
กิเลสตัณหา
การละสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ [โอรัมภาคิยสูตร]
สงสัยสำรวมอินทรีย์
พระขีณาสพ หมายถึงใคร?
กามราคะ
ภัยเวร ๕ ประการ [เวรสูตร]
ตัวอย่างชัดๆ ของสีลัพพตปรามาสกายคันถะ
สักกายทิฏฐิเป็นความเห็นผิดแบบไหนครับ
ฝั่งนี้ กับ ฝั่งโน้น
... อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบอนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น