ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๓๓
~ ทุกคนก็มีกาย มีวาจา แต่อาจจะไม่ได้พิจารณากายวาจาของตนเอง ในวันหนึ่งๆ ว่า ขัดเกลาหรือเปล่า หรือว่ายังเหมือนเดิม แม้ว่าจะได้ฟังพระธรรมแล้ว
~ ผู้มีมารยาทงาม เป็นผู้ที่อ่อนน้อม ไม่แสดงความโกรธ ซึ่งจะสังเกตได้ว่า ไม่ทำให้คนอื่นไม่สบายใจโดยหน้าบึ้ง หรือว่าดุร้าย ถมึงทึง แสดงกิริยาอาการหยาบกระด้าง
~ ถ้าเกิดกุศลจิตขณะใด สภาพของกิริยาการกระทำทางกายก็เปลี่ยนด้วย หรือสำหรับการสำรวมวาจา ก็จะต้องสละวาจาที่ไม่ดี เพราะว่าบางคนเป็นคนตรงก็จริง แต่ตรงโดยไม่พูดคำที่ไม่น่าฟังก็ได้ ทั้งๆ ที่ตรง แต่ก็พูดคำที่น่าฟัง แทนที่จะพูดคำที่ไม่น่าฟัง แต่บางคนก็ลืม และก็สะสมมาที่เป็นคนตรงจนพูดคำที่ไม่น่าฟัง เพราะเผลอ และลืมที่จะสำรวมวาจา ลืมที่จะขัดเกลากิเลส ซึ่งขณะใดที่มีทิฏฐุชุกรรม มีความเห็นถูก ว่า ขณะใดเป็นกุศล ขณะใดเป็นอกุศลที่ควรละ ก็จะทำให้สะสมเป็นอุปนิสัยเพิ่มขึ้น
~ ขณะใดที่กุศลจิตเกิด จะต่างกับขณะที่อกุศลจิตเกิด ถ้าอกุศลจิตเกิด ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจไม่น่าดู เป็นไปในอกุศล
~ ถ้าใครก็ตาม เป็นผู้ไม่โกรธ และมีปกติอยู่ด้วยเมตตา ก็แสดงว่าผู้นั้นเป็นผู้เห็นประโยชน์ของการไม่โกรธ เห็นประโยชน์ของการเจริญบารมี เพื่อที่จะขัดเกลากิเลสด้วย
~ คนที่มีเมตตา จะไม่มีโทษใดๆ ทั้งสิ้น และเป็นผู้ประเสริฐด้วยในขณะที่มีเมตตาต่อคนอื่น
~ สำหรับเมตตาที่จะต้องเข้าใจให้ถูก ก็คือเป็นสภาพของจิตที่มีความเป็นมิตร เพราะฉะนั้นไม่เกี่ยวกับการท่อง หรือไม่เกี่ยวกับการแผ่เมตตา แต่เป็นขณะที่มีสัตว์ มีบุคคล ไม่ว่าจะเป็น ณ สถานที่ใดก็ตาม และบุคคลนั้นจะเป็นใครก็ตาม ถ้าเป็นผู้มีปกติอยู่ด้วยเมตตา ก็จะเป็นผู้ที่พร้อมจะเกื้อกูลบุคคลนั้น
~ แล้วแต่เหตุการณ์ แล้วแต่โอกาส เมื่อมีเหตุการณ์ใดที่ควรจะให้ ก็ให้ เพื่อเป็นอุปนิสัย แต่ไม่ใช่กังวลเรื่องอยากจะมีทานกุศลทุกๆ วัน และสำหรับในเรื่องของจาคะ การสละกิเลส ควรพิจารณาแม้ในเรื่องการให้ คือ ไม่ให้เพื่อหวังผลตอบแทนเพราะเหตุว่าบารมีทุกบารมีมีโลภะเป็นปฏิปักษ์ (ข้าศึก) มีโลภะเป็นข้าศึก ถ้ามีโลภะ มีความผูกพัน หรือมีการหวังผลใดๆ ตอบแทน ขณะนั้นเป็นปฏิปักษ์ต่อการเจริญบารมี
~ ถ้าทราบว่าเป็นผู้ที่ยังมีโมหะมาก ที่จะต้องขัดเกลา ก็จะทำให้ไม่ละเลยการฟังพระธรรม แล้วก็ไม่ละเลยการเจริญกุศลทุกประการด้วย
~ ไม่ว่าศึกษาส่วนใดในพระไตรปิฎก ศึกษาน้อยหรือมากก็ตาม แต่เพื่อเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เช่น ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เพียงเท่านี้ เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏจริงๆ อย่างนี้หรือยัง กำลังเห็นเป็นอนัตตาอย่างไร กำลังได้ยิน กำลังได้กลิ่น กำลังลิ้มรส กำลังคิดนึก กำลังกระทบสัมผัส กำลังสุข กำลังทุกข์เป็นอนัตตาอย่างไร ถ้ายังไม่เข้าใจ ก็ศึกษา คือฟังเรื่องการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส การคิดนึกต่างๆ เพิ่มความเข้าใจในลักษณะที่เป็นอนัตตาของสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏยิ่งขึ้น
~ ขณะนี้เป็นธรรม ไม่ลืมว่า ธรรมคือเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องไปแสวงหาที่อื่น เพราะขณะนี้เป็นธรรม
~ เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดประกอบกับจิต) ดวงสุดท้ายของโสภณเจตสิก (เจตสิกที่ดีงาม) คือ ปัญญา หรือ ปัญญินทรีย์ (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่ คือ ปัญญา) เป็นเจตสิกที่ยากที่จะเกิด ที่ควรจะอบรมให้มี เพราะเหตุว่าเป็นธรรมที่สามารถรู้แจ้งลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง และไม่ใช่ธรรมที่เกิดง่ายเหมือนอย่างผัสสเจตสิก หรือ ธรรมฝ่ายอกุศล ซึ่งได้แก่ โมหเจตสิก อหิริกเจตสิก (ความไม่ละอาย) อโนตตัปปเจตสิก (ความไม่เกรงกลัว) อุทธัจจเจตสิก (ความฟุ้งซ่าน ไม่สงบ) โลภเจตสิก โทสเจตสิก เหล่านั้น แต่ปัญญาเป็นสิ่งจะต้องอบรม และปัญญามีระดับขั้นต่างๆ กัน ตั้งแต่ขั้นเล็กๆ น้อยๆ จนถึงขั้นที่สามารถดับกิเลสเป็นสมุจเฉท (ถอนขึ้นได้อย่างเด็ดขาด)
~ คิดดูว่า อยู่ในสังสารวัฏฏ์มานานถึงแสนโกฏิกัปป์ แต่ก็สามารถออกจากสังสารวัฏฏ์ได้ด้วยโสภณเจตสิกดวงสุดท้าย คือ ปัญญินทรีย์ หรือปัญญาเจตสิก
~ ก่อนนี้ไม่ได้มีปัญญา คือ ความสว่างเลย ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมและไม่ได้อบรมจนกระทั่งรู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริง
~ ถ้าปัญญาไม่เกิด ก็อยู่ในความมืด เพราะเหตุว่าไม่เห็นนามธรรมและรูปธรรมซึ่งกำลังเกิดดับ ตามปกติ ตามความเป็นจริง จนกว่าเมื่อใดปัญญาเกิด เมื่อนั้นจะเป็นความสว่างที่สามารถรู้แจ้งลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงได้
~ ทุกท่านมีอกุศล แล้วอกุศลบางครั้งก็รุนแรง จนกระทั่งทำให้รู้สึกว่า กระสับกระส่าย เดือดร้อนใจ แต่เป็นความจริง เป็นสภาพธรรมชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน
~ ลักษณะของความยินดี ปรารถนา พอใจ เกิดขึ้นในขณะใด ขณะนั้นให้ทราบว่า ไม่สงบ เพราะฉะนั้นท่านที่ไปสู่สถานที่ที่รื่นรมย์ จะเป็นป่าเขาลำเนาไพรที่ไหนก็ตาม แล้วก็มีความพอใจในสถานที่เหล่านั้น ควรจะทราบว่า ในขณะนั้นจิตไม่สงบที่กำลังพอใจ เพราะว่าประกอบด้วยอุทธัจจเจตสิก โมหเจตสิก อหิริกเจตสิก อโนตตัปปเจตสิก และโลภเจตสิก ที่ทำให้ยินดี พอใจในสถานที่ที่รื่นรมย์นั้น ไม่ใช่กุศลจิต จึงไม่สงบ
~ ถ้าตราบใดที่ยังมีโลภะอยู่ ไม่มีวันที่จะพ้นไปจากสังสารวัฏฏ์ได้ จะต้องมีการตายแล้วเกิดอีก ตายแล้วเกิดอีก อย่างนี้อยู่เรื่อยๆ
~ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ทุกอย่าง มีเหตุปัจจัยจึงได้เกิดขึ้น แต่ควรจะเข้าใจถึงสภาพธรรมะที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ซึ่งเป็นเหตุอันแท้จริง เพราะเหตุว่านามธรรม คือ จิต เป็นเหตุ จิตที่ดีเป็นกุศล ย่อมเป็นเหตุให้ได้รับกุศลวิบาก จิตที่ไม่ดีเป็นอกุศล ย่อมเป็นเหตุให้ได้รับอกุศลวิบาก แล้วก็เป็นผู้มั่นคงในเรื่องกรรม แล้วก็ตัดเรื่องอื่นออกไป จะทำให้เป็นผู้ไม่สนใจ ไม่โน้มเอียงที่จะยึดถือมงคลตื่นข่าว
~ ความเห็นผิด ก็ทำให้วนเวียนอยู่ในความเห็นผิด หลงอยู่ในความเห็นผิด ไม่สามารถจะพบเหตุและผลจริงๆ ที่จะทำให้ออกจากความเห็นผิดได้
~ ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรม ไม่ทำให้เกิดเป็นมนุษย์หรือเกิดเป็นเทวดา แต่ทำให้เกิดในอบายภูมิเท่านั้น
~ ปัญหาทุกอย่างมาจากจิตที่เป็นอกุศล
~ โกรธเมื่อไหร่ ไม่มีเมตตาเมื่อนั้น
~ กิเลสที่สะสมมาอย่างมากในสังสารวัฏฏ์ สามารถหมดสิ้นไปได้เพราะ (อาศัย) คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ พระธรรมทั้งหมด เป็นไปเพื่อปัญญา ถ้าไม่มีการเริ่มฟัง แล้วจะเพิ่มพูนปัญญาได้อย่างไร
~ ฟังไว้ เข้าใจไว้ ว่า ทุกอย่างเป็นธรรม
~ กุศลเกิดเมื่อไหร่ ว่าง่ายเมื่อนั้น.
ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๓๒
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
สาธุ กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบอนุโมทนาขอบพระคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ
เป็นหัวข้อที่ควรศึกษาอย่างละเอียดและเป็นประโยชน์มาก ครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของ อ.คำปั่น อักษรวิลัย เป็นอย่างยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อ.คำปั่นเป็นอย่างยิ่งค่ะ
~ ปัญหาทุกอย่างมาจากจิตที่เป็นอกุศล
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ชีวิตจะเป็นอย่างไร ถ้าไม่เข้าใจพระธรรม เต็มไปด้วยอกุศล มากมาย เกิดอีก ตายอีก ทุกข์อีกศึกษาพระธรรม เพื่อละความไม่รู้ เป็นหนทางเดียวแห่งการเริ่มต้นจริงๆ ค่ะ
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ