ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๐๘  
โดย khampan.a  16 ก.ค. 2560
หัวข้อหมายเลข 28997

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๐๘

~ ผลที่ดีต้องมาจากเหตุที่ดี ถ้ามั่นคงอย่างนี้จริงๆ จะทำชั่วไหม? ก็ต้องทำแต่สิ่งที่ดี แต่บังคับไม่ได้ เพราะยังมีกิเลส (เครื่องเศร้าหมองของจิต) เพราะฉะนั้น กิเลสก็ต้องเกิด

~ ถ้าทั้งชาตินี้ ไม่มีโอกาสได้เข้าใจธรรม ชาติไหนจะได้ฟังและเข้าใจ เพราะชาตินี้มีโอกาสแล้ว มีคำ (ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า) ซึ่งสามารถจะได้ฟังแล้วเข้าใจ ยังไม่ฟัง ฟังแล้วก็ยังเผิน ไม่เข้าใจ แล้วเมื่อไหร่จะเข้าใจได้

~ ถ้ามีความเข้าใจถูกและมีความเป็นมิตรที่ดี ที่จะให้คนอื่นเข้าใจถูกด้วย เป็นบารมี (คุณความดีที่ทำให้ถึงฝั่งของการดับกิเลส) ไหม? เป็นเมตตาบารมี ไม่หวังร้ายต่อใครเลยทั้งสิ้น พูดคำจริงเพื่อประโยชน์ เพื่อเขาจะได้ไม่เป็นบาป เพื่อจะได้ไม่ชักชวนกันทำบาปทั่วประเทศเพราะว่าไม่ได้เข้าใจความจริงเลย

~ ถ้าเป็นอกุศล ก็ไม่ใช่บุญ ถ้าเป็นกุศล (ดีงาม) ก็ชำระจิตที่ไม่ดีงาม เพราะขณะนั้น เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดประกอบพร้อมกับจิต) ที่ดีงาม เกิดขึ้น ทำให้จิตสะอาดปราศจากอกุศล

~ ถ้าเข้าใจจริงๆ จะมีสำนักปฎิบัติไหม? มีสำนักปฏิบัติไม่ได้เลย เพราะไม่มีในสมัยพุทธกาล ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ท่านก็เป็นมหาเศรษฐี ท่านก็ไม่ได้สร้างสำนักปฎิบัติ แต่สร้างพระวิหารต่างๆ เช่น พระวิหารเชตวัน สร้างเป็นที่อยู่ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระภิกษุทั้งหลาย

~ สำนักปฎิบัติ เป็นที่อยู่ของใคร? เป็นที่อยู่ของผู้ไม่รู้แน่นอน ผู้หลงเข้าใจผิด และทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย

~ ทุกท่านที่สนใจในธรรม ถ้าไม่เคยสะสมการศึกษา การฟัง ศรัทธาและกุศลอื่นในอดีตมา ย่อมไม่มีโอกาสที่จะได้ฟัง หรือว่าเมื่อได้ฟังแล้วก็ไม่สนใจ นี่เป็นสิ่งซึ่งในอดีตชาติของแต่ละท่าน ไม่มีใครสามารถจะรู้ได้เลยว่า ได้เคยกระทำกรรมอย่างไรแล้ว แต่ชาติในปัจจุบันนี้เองจะส่องไปถึงอดีตชาติ แม้ว่าไม่เคยทราบในชาตินี้ว่า ก่อนนั้นเป็นใคร เคยฟังพระธรรมที่ไหน เคยสนใจมากน้อยอย่างไร แต่ว่าในเมื่อปัจจุบันชาตินี้มีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้น ก็แสดงว่าได้สะสมมาแล้วในอดีต

~ ทุกอย่างเป็นกุศลในชีวิตประจำวันซึ่งทำแล้วหรือยัง หรือว่าทำไม่ได้ ถ้าชาตินี้ทำไม่ได้ ชาติต่อไปก็เป็นอย่างไร คิดว่าชาติต่อไปจะทำได้หรือ ถ้าชาตินี้ทำไม่ได้ ในเมื่อชาตินี้ยังยาก ชาติหน้าย่อมยิ่งยากขึ้นไปอีก

~ ต้องเป็นผู้ที่ตรง เห็นว่าอกุศลเป็นอกุศล แล้วเริ่มขัดเกลาจริงๆ

~ โลภะ (ความติดข้อง) ที่มีอยู่ในจิตใจของแต่ละคน ก็เป็นพืชเชื้อที่จะทำให้มีการเกิดอีกๆ เรื่อยๆ จนถึงกาลข้างหน้า ซึ่งนับไม่ได้เลย

~ พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงทั้งหมด เป็นไปเพื่อเกื้อกูลให้ทุกท่านรู้ตัวว่า ยังมีกิเลสอยู่มากๆ อย่าหลงผิดว่า ลดน้อยลงไปเยอะแล้ว เพราะเหตุว่าถ้าไม่ใช่ปัญญาจริงๆ กิเลสจะลดไม่ได้ และถ้าไม่มีการกระทำทางกาย ทางวาจา กิเลสก็คงยังไม่ปรากฏให้รู้ได้ว่า ขณะนั้นสะสมอกุศลไว้มากมายเพียงไร

~ ใครเห็นโทษของกิเลส อะไรเห็นโทษของกิเลส ก็ต้องปัญญา คำตอบก็อยู่ที่ปัญญา ก็ต้องเจริญปัญญาขึ้น เมื่อปัญญาเพิ่มขึ้นก็ต้องเห็นโทษของกิเลส แต่ถ้าปัญญายังไม่เกิด แล้วจะบอกว่าเห็นโทษของกิเลสก็ยาก

~ พุทธบริษัทฟังพระธรรม เพราะรู้ว่าผู้มีปัญญาตรัสรู้ธรรม ทรงแสดงให้คนที่ไม่รู้ฟัง เพราะฉะนั้น ทุกคนที่ฟังพระธรรม ต้องรู้ว่าก่อนฟัง เป็นคนที่ไม่รู้อะไร ไม่เข้าใจอะไร เพราะฉะนั้น ฟัง เพื่อให้รู้

~ ผู้ที่เจริญจริงๆ ต้องเป็นผู้เจริญทางจิตใจ ทางกุศล เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสรู้เป็นพระอริยเจ้า คือ เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และได้ทรงแสดงธรรมแล้ว สาวกทั้งหลายที่ได้อบรมเจริญบารมีมา ก็ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม เพราะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม คือ ธรรมที่เป็นความจริงที่ทำให้ผู้รู้แจ้งเป็นพระอริยบุคคล คือ เป็นผู้ประเสริฐ ถึงขั้นดับกิเลสเป็นสมุจเฉท (ถอนขึ้นได้อย่างเด็ดขาด) ได้ตามลำดับ เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจว่า “อริยะ” ว่า หมายถึง เป็นผู้เจริญจนกระทั่งดับกิเลสได้

~ ให้ทานไปแล้ว แล้วก็รู้สึกว่าเราเป็นคนดีมากที่ให้ทาน และหวังผลว่าที่ให้ทาน จะทำให้เราเกิดบนสวรรค์ หรือมีรูปร่างสวยงาม มีทรัพย์สมบัติมากมาย ขณะนั้นสละกิเลสหรือเปล่า?
~ ถ้าทุกคนในโลกนี้ทำดีเพื่อหวังผล คือหวังที่จะได้สิ่งตอบแทนที่ดี ในขณะที่หวังจะได้สิ่งตอบแทนที่ดี ขณะนั้นไม่ใช่กุศลจิตแน่ เพราะเหตุว่ายังเต็มไปด้วยความหวัง ความติด ความต้องการ

~ เมตตา คือ การคิดถึงบุคคลอื่นด้วยความเป็นมิตร แล้วพร้อมที่จะทำประโยชน์ให้คนนั้น

~ จิตใจของคน ส่วนใหญ่แล้วอกุศลทั้งนั้น ทั้งวัน โอกาสของกุศลน้อยมาก เพราะฉะนั้นผู้ที่มีอธิษฐานบารมี (คุณความดีที่ทำให้ถึงฝั่งของการดับกิเลส คือ ความตั้งใจมั่น) ก็เป็นผู้รู้ตัวว่า กิเลสยังเยอะ เพราะฉะนั้น ยังจะต้องอาศัยความตั้งใจมั่นจริงๆ ในการเจริญกุศล มิฉะนั้นแล้วก็จะพลาดให้อกุศลทุกที
~ จุติจิต คือ จิตดวงสุดท้ายของชาตินี้ ที่ชื่อว่า “จุติ” เพราะเหตุว่าทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ หมายความถึงสิ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้โดยสิ้นเชิง ก่อนที่จุติจิตจะเกิด ไม่มีใครสามารถรู้ล่วงหน้าเลย เหมือนกับเดี๋ยวนี้ก็ไม่มีใครรู้ว่า ขณะต่อไปอะไรจะเกิด

~ ถ้าเป็นพุทธบริษัทผู้ไม่ประมาท ก็จะพิจารณาได้ว่า ถ้ามีความเห็นผิดประการใดต้องรีบทิ้ง ต้องรีบเปลี่ยนและแก้ให้เป็นความเห็นถูกขึ้น
~ ถ้าไม่มีความเข้าใจในพระธรรม และคบหาสมาคมกับความเห็นผิด ก็ย่อมจะต้องเห็นผิดตามไปด้วย

~ ขณะใดที่จิตเป็นกุศล (จากที่) เคยเป็นอกุศลวิตก (ตรึกไปด้วยอกุศล) และเมื่อได้ฟังพระธรรมก็น้อมประพฤติปฏิบัติตาม ขณะนั้น ก็เป็นการบูชาที่พระผู้มีพระภาคทรงมีพระประสงค์มากกว่าที่จะให้บูชาด้วยดอกไม้ธูปเทียน หรือ เครื่องหอมต่างๆ เพราะเหตุว่า พระองค์เป็นผู้ที่ทรงดับกิเลสหมดแล้ว ไม่มีความใยดี เยื่อใยต้องการในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย)

~ การขัดเกลากิเลสเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก เพราะเหตุว่า จะต้องเข้าใจเรื่องของสภาพธรรมโดยละเอียด โดยถูกต้อง ถ้าใครศึกษาพระธรรมโดยไม่รอบคอบ หรือมีการเข้าใจผิดในพระธรรม การขัดเกลากิเลสก็ย่อมจะเป็นไปไม่ได้

~ เดี๋ยวนี้ ทั้งหมดเป็นธรรม แต่ไม่เคยรู้เลย จนกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงตรัสรู้ และกว่าจะเข้าใจได้ว่าไม่มีเราแต่เป็นธรรมทั้งหมด ก็ต้องอาศัยการฟังพระธรรมเทศนา ไตร่ตรองจนกระทั่งเข้าใจ ว่า ไม่ว่าจะเป็นคำอะไรทั้งหมดที่ได้ฟัง คือ เดี๋ยวนี้

~ ถ้าได้กล่าวคำจริง ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้คนอื่นได้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง เป็นที่ปีติยินดีของทุกคนไหม ที่เขาได้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้น แต่ละคำๆ ก็จะทำให้ผู้ฟัง ไตร่ตรองเห็นประโยชน์และเป็นผู้ที่ตรง ถ้าไม่เป็นอย่างนี้พระพุทธศาสนาก็ไม่รุ่งเรืองถ้าไม่มีคนเข้าใจคำสอนและเข้าใจผิด

~ ขณะนี้เป็นขณะที่สะสมความเห็นถูก สำคัญอย่างยิ่งที่จะไม่เข้าใจผิด เพราะเหตุว่าถ้าเข้าใจผิดก็หันหลังให้พระสัทธรรม

~ ไม่รู้อะไรเลย จะเป็นชาวพุทธ ไม่ได้

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๐๗

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และ อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...



ความคิดเห็น 1    โดย panasda  วันที่ 16 ก.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 2    โดย tinq305  วันที่ 16 ก.ค. 2560

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 3    โดย มกร  วันที่ 16 ก.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 4    โดย chatchai.k  วันที่ 16 ก.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 5    โดย jirat wen  วันที่ 16 ก.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 6    โดย meenalovechoompoo  วันที่ 16 ก.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 7    โดย napapongsumran  วันที่ 16 ก.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 8    โดย thilda  วันที่ 16 ก.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 9    โดย worrasak  วันที่ 16 ก.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 11    โดย kullawat  วันที่ 17 ก.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 12    โดย siraya  วันที่ 17 ก.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 13    โดย jaturong  วันที่ 17 ก.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 14    โดย j.jim  วันที่ 17 ก.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 15    โดย s_sophon  วันที่ 18 ก.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 16    โดย p.methanawingmai  วันที่ 19 ก.ค. 2560

กราบอนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 17    โดย ํํญาณินทร์  วันที่ 21 ก.ค. 2560

สาธุ สาธุ สาธุ ขออนุโมทนาครับ