ขอนอบน้อมต่อพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
~ ต้องเป็นปัญญาเท่านั้น ที่รู้ว่า มัชฌิมาปฏิปทา คือ อย่างไร?
~ ฟังแล้วให้เข้าใจถึงสิ่งที่มีจริงๆ
~ ตรง คือ รู้ว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อะไร?
~ ถ้ารู้ตามไม่ได้จะทรงแสดงทำไม
~ ความไม่รู้มีนานมาก ความยึดถือ ก็นานมาก
~ ละความต้องการ+มีความเข้าใจ จึงจะเป็นเหตุปัจจัยให้ สติปัฏฐาน เกิด
~ ปัญญาเกิดขึ้นรู้ความจริงตามความเป็นจริงจึงละได้..แม้อนุสัยกิเลสที่รอการแสดงเมื่อเหตุปัจจัยพร้อม และแม้อาสวะกิเลส
~ จะทำสติ จะรู้แข็ง ตรงไม๊? เพราะฉะนั้น ปัญญารู้ แม้อย่างนี้ก็ไม่ตรง
~ เพียร พยายาม รู้เห็น กับ สติ เกิดขึ้นรู้เห็น ต่างกันไหม?
~ หนทางเดียว คือ สติปัฏฐาน
~ ถ้า สติเกิด เป็นปกติ เป็นอนัตตา แม้เพียงเล็กน้อยก็เป็น สติปัฏฐาน
~ ทางสายกลาง คือ ปัญญา
~ แข็ง เป็นโลกหนึ่ง ที่จะทำให้รู้ว่า ไม่ใช่เรา ไม่มีเรา ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใด ในแข็ง
~ ตัตตรมัชชัตตาเจตสิก ทำหน้าที่ เป็นกลางที่จะไม่ตกไปในฝ่ายอกุศล
~ แม้ยังมีอกุศลอยู่ แต่ก็ยังรู้ว่าต้องฟังธรรมของใคร
~ ขณะไหนที่เดือดร้อน ขณะนั้น อวิชชา ปกปิด อนัตตา
~ เป็นไปไม่ได้เลย ที่ปัญญาจะจะนำไปสู่ที่ต่ำ
~ ลูกหลานมาจากไหนรู้ไหมค่ะ?..ไม่รู้..มาจากนกก็ได้, เปรตก็ได้,..เป็นของเราตรงไหน?
~ แล้วก็ลืม เพราะไม่รู้ลักษณะของธรรมะเลย
~ ไม่ใช่เราเป็นผลของการฟังมาก
~ แม้จะคิด ว่าไม่ใช่เรา ก็ยังไม่มี
~ (อ.คำปั่น) บุคคล 4 จำพวก คือ
1. ผู้ที่ทำตนให้เดือดร้อน..คือ ผู้ที่มีความเห็นผิดมีสีลพตปรามาส
2.ผู้ที่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน คือ ล่วงศีล 5 มี ปานาติบาต เป็นต้น
3.ผู้ที่ทำให้ตนเองและผู้อื่นเดือดร้อน คือผู้ที่มีความเห็นผิดและชักชวนผู้อื่นให้เห็นผิดด้วย
4.ผู้ที่ประเสริฐไม่ทำให้ตนและผู้อื่นเดือดร้อน คือ ผู้ที่มีความเห็นถูก
~ สิ่งที่มีจริง เกิดแล้ว ทำอะไรได้ไหม
~ ถ้า ปัญญาไม่เกิด จะมีอะไร รู้อย่างปัญญา ไม๊?
~ ความคิดวันนี้ มาจากสิ่งที่พบเห็นมาในอดีต
~ ผิดเลย ถ้า วางกรอบวางกฎวางเกณฑ์ ไปหาคนชี้แนะ >>> เป็นตัวตน โลภะแยบยลไหมค่ะ
~ พระคุณเจ้า : คำจากพระไตรปิฎก " ปัญญา จะเจริญได้ เพราะการประกอบ"
...ไม่เข้าใจ คืออย่างไร?
ท่าน อ.: หมายความว่า ไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรมะ คือ จิตและเจตสิกที่ประกอบตามเหตุตามปัจจัย
~ พระคุณเจ้าเกิดความกลัวว่าจะเป็นเหมือน บางบุคคลที่ฟังธรรมจากท่าน อ. นานถึง 30 ปี แล้วก็ยังไปที่อื่น ท่าน อ. กล่าวว่า..."พูดถึง เขา ทีไร ไม่สบายทุกที"..."เพราะ มิจฉาทิฏฐิเกิด จึงทำให้คิดผิด ปฏิบัติผิด ไม่ใช่ใคร
~ รู้ว่าอกุศล เยอะกว่า กุศล เพราะ ได้ฟังพระธรรม (ถ้าไม่ได้ฟัง ไม่มีทางรู้เลย)
~ เริ่มเข้าใจ สิ่งที่เกิดแล้ว
~ เป็นเรา เห็นถูก หรือ เห็นผิด
~ ตราบใด ที่ยังเป็นเรา ก็จะกลัวไปเรื่อย (เพราะไม่เข้าใจว่าเป็นธรรมะ)
~ นายช่างคนขยัน สร้างไม่จบ สร้างทุกทาง
~ กำลังอยาก ไม่เห็นอยาก เมื่อไม่รู้หนทางว่าจะหมดอยากได้อย่างไร จึงเดือดร้อน ถ้ารู้หนทางไม่เดือดร้อน
~ ฟังไว้ๆ ๆ ไม่ใช่เรา
~ ไม่ต้องไปทำอะไร แต่ให้ฟังธรรม
@ ความปิติของดิฉันคือ เมื่อได้ยินว่า มีคนเข้าใจว่า ...... ขณะนี้เป็นธรรมะ@
~ บัณฑิตเมื่อรู้ทางสองแพร่ง (หนทางถูกและหนทางผิด) ก็ตั้งตนไว้ ในทางที่ปัญญาจะเจริญ
~ ถ้าไม่มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือ ไม่ทรงแสดงธรรม ก็จะไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
~ คุณลุงมหานิภัทร : นาถกรณธรรม 10 (คือ ธรรมที่มีอุปการมาก เป็นคุณธรรมที่ทำให้ตนเป็นที่พึ่งแก่ตนได้)
1. มีศีล 2. ฟังธรรมมาก 3. ความมีกัลยาณมิตร 4. ความเป็นผู้ว่าง่าย 5. มีน้ำใจเอาใจใส่ช่วยเหลืองานของเพื่อนฝูงพี่น้อง 6. ฝักใฝ่ในธรรม 7. มีความเพียร 8. มีความสันโดษ 9. มีสติ 10. มีปัญญา
กราบขอบพระคุณท่านอ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์ที่เคารพยิ่ง
กราบขอบพระคุณและอนุโมทนาท่าน อ.ดวงเดือน บารมีธรรม ผู้บริจาคที่ดินเพื่อตั้ง มศพ.
กราบขอบพระคุณ คณะ อ.วิทยากรที่เคารพทุกท่าน..และขออนุโมทนาในกุศลจิตทุกดวงค่ะ
~ ตรง คือ รู้ว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อะไร?
~ ถ้ารู้ตามไม่ได้จะทรงแสดงทำไม
~ ความไม่รู้มีนานมาก ความยึดถือ ก็นานมาก
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของ คุณหมอ ด้วยค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบอนุโมทนาสาธุในจิตกุศลของทุกท่านค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
เพียรพยายาม รู้เห็น กับ สติ เกิดขึ้น รู้เห็น ต่างกันไหม?
กราบแทบเท้าท่าน อ. สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพอย่างสูงยิ่ง
กราบอนุโมทนา อ.วิทยากร ทุกท่าน และ คุณหมอ ตลอคจนกุศลจิตทุกท่านค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
สาธุ อนุโมทนา และขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ