นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส
พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ
ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ
••• ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย •••
พระสูตร ที่นำมาสนทนาที่มูลนิธิฯ
วันเสาร์ที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๔๙
เวลา ๐๙:๐๐ - ๑๒:๐๐ น.
อาทิตตปริยายสูตร
ว่าด้วยอาทิตตปริยายและธรรมปริยาย
จาก พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้าที่ 357
นำการสนทนาโดย
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และคณะวิทยากร
ขอเชิญท่านอ่านพระสูตรนี้ได้ในกรอบต่อไปนะครับ ...
[เล่มที่ 28] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้าที่ 357
อาทิตตปริยายสูตร ว่าด้วยอาทิตตปริยายและธรรมปริยาย
[๓๐๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงอาทิตตปริยายและธรรมปริยายแก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อาทิตตปริยาย และ ธรรมปริยาย เป็นไฉน.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลแทงจักขุนทรีย์ด้วยหลาวเหล็กอันร้อนไฟติดลุกโพลงแล้ว ยังดีกว่าการถือนิมิตโดยอนุพยัญชนะในรูป อันจักขุวิญญาณพึงรู้แจ้ง จะดีอะไร วิญญาณอันตะกรามด้วยความยินดีในนิมิต หรือตะกรามด้วยความยินดีในอนุพยัญชนะ เมื่อตั้งอยู่ก็พึงตั้งอยู่ได้ ถ้าบุคคลพึงทำกาลกิริยาเสียในสมัยนั้นไซร้ ข้อที่บุคคลจะพึงเข้าถึงคติ ๒ อย่าง คือ นรกหรือกำเนิดสัตว์เดียรฉานอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็เป็นฐานะที่จะมีได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเราเห็นโทษอันนี้ จึงกล่าวอย่างนี้
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลเกี่ยวโสตินทรีย์ด้วยขอเหล็กอันคม ไฟติดลุกโพลงแล้ว ยังดีกว่า การถือนิมิตโดยอนุพยัญชนะในเสียงอันโสตวิญญาณพึงรู้แจ้ง จะดีอะไร วิญญาณนิมิตโดยอนุพยัญชนะในเสียง อันนิมิตหรือตะกรามด้วยความยินดีในอนุพยัญชนะเมื่อตั้งอยู่ก็พึงตั้งอยู่ได้ ถ้าบุคคลพึงทำกาลกิริยาเสียในสมัยนั้นไซร้ ข้อที่บุคคลจะพึงเข้าถึงคติ ๒ อย่าง คือ นรกหรือกำเนิดสัตว์เดียรฉานอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็เป็นฐานะจะมีได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราเห็นโทษอันนี้ จึงได้กล่าวอย่างนี้.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลคว้านฆานินทรีย์ด้วยมีดตัดเล็บอันคม ไฟติดลุกโพลงแล้ว ยังดีกว่าการถือนิมิตโดยอนุพยัญชนะในกลิ่นอันฆานวิญญาณพึงรู้แจ้ง จะดีอะไร วิญญาณอันตะกรามด้วยความยินดีในนิมิต หรือตะกรามด้วยความยินดีในอนุพยัญชนะ เมื่อตั้งอยู่ก็พึงตั้งอยู่ได้ ถ้าบุคคลพึงทำกาลกิริยาเสียในสมัยนั้นไซร้ ข้อที่บุคคลจะพึงเข้าถึงคติ ๒ อย่าง คือ นรกหรือกำเนิดสัตว์เดียรฉานอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็เป็นฐานะที่จะมีได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราเห็นโทษอันนี้ จึงได้กล่าวอย่างนี้.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลเฉือนชิวหินทรีย์ด้วยมีดโกนอันคม ไฟติดลุกโพลงแล้ว ยังดีกว่า การถือนิมิตโดยอนุพยัญชนะในรส อันชิวหาวิญญาณพึงรู้แจ้ง จะดีอะไร วิญญาณอันตะกรามด้วยความยินดีในนิมิต หรือตะกรามด้วยความยินดีในอนุพยัญชนะ เมื่อตั้งอยู่ก็พึงตั้งอยู่ได้ ถ้าบุคคลพึงทำกาลกิริยาเสียในสมัยนั้นไซร้ ข้อที่บุคคลจะพึงเข้าถึงคติ ๒ อย่าง คือนรกหรือกำเนิดสัตว์เดียรฉานอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็เป็นฐานะที่จะมีได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราเห็นโทษอันนี้ จึงได้กล่าวอย่างนี้.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลแทงกาอินทรีย์ด้วยหอกอันคม ไฟติดลุกโพลงแล้ว ยังดีกว่า การถือนิมิตโดยอนุพยัญชนะในโผฏฐัพพะ อันกายวิญญาณพึงรู้แจ้ง จะดีอะไร วิญญาณอันตะกรามด้วยความยินดีในนิมิตหรือตะกรามด้วยความยินดีในอนุพยัญชนะ เมื่อตั้งอยู่ก็พึงตั้งอยู่ได้ ถ้าบุคคลทำกาลกิริยาในสมัยนั้นไซร้ ข้อที่บุคคลจะพึงเข้าถึงคติ ๒ อย่าง คือ นรกหรือกำเนิดสัตว์เดียรฉานอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ขึ้นฐานะที่จะมีได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราเห็นโทษอันนี้ จึงได้กล่าวอย่างนี้.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความหลับยังดีกว่า แต่เรากล่าวความหลับว่า เป็นหมันไร้ผล เป็นความงมงายของคนที่เป็นอยู่ ตนลุอำนาจของวิตกเช่นใดแล้ว พึงทำลายหมู่ให้แตกกันได้ ก็ไม่ควรตรึกถึงวิตกเช่นนั้นเลย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราเห็นความเป็นหมันอันนี้แลว่า เป็นอาทีนพของคนที่เป็นอยู่ จึงกล่าวอย่างนี้.
[๓๐๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในข้อนั้น อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า จักขุนทรีย์ที่บุคคลแทงด้วยหลาวเหล็กอันร้อนไฟติดลุกโพลงแล้ว จงพักไว้ก่อน ผิฉะนั้น เราจะทำไว้ในใจอย่างนี้ว่า จักษุไม่เที่ยง รูปไม่เที่ยง จักษุวิญญาณไม่เที่ยง จักษุสัมผัสไม่เที่ยง แม้สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัยไม่เที่ยง โสตินทรีย์ที่บุคคลเกี่ยวด้วยขอเหล็กอันคม ไฟติดลุกโพลงแล้ว จงพักไว้ก่อน ผิฉะนั้น เราจะทำไว้ในใจอย่างนี้ว่า โสตไม่เที่ยง สัททะเสียงไม่เที่ยง โสตวิญญาณไม่เที่ยง โสตสัมผัสไม่เที่ยง แม้สุขเวทนา ทุกขเวทนาหรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะโสตสัมผัสเป็นปัจจัยไม่เที่ยง ฆานินทรีย์ที่บุคคลคว้านด้วยมีดตัดเล็บอันคม ไฟติดลุกโพลงแล้ว จงพักไว้ก่อน ผิฉะนั้น เราจะทำไว้ในใจอย่างนี้ว่า ฆานะจมูกไม่เที่ยง คันธะกลิ่นไม่เที่ยง ฆานวิญญาณไม่เที่ยง ฆานสัมผัสไม่เที่ยง แม้สุขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะฆานสัมผัสเป็นปัจจัยก็ไม่เที่ยง ชิวหินทรีย์ที่บุคคลเฉือนด้วยมีดโกนอันคม ไฟติดลุกโพลงแล้ว จงพักไว้ก่อน ผิฉะนั้น เราจะทำไว้ในใจอย่างนี้ว่า ชิวหาลิ้นไม่เที่ยง รสไม่เที่ยง ชิวหาวิญญาณไม่เที่ยง ชิวหาสัมผัสไม่เที่ยง แม้สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะชิวหาสัมผัสเป็นปัจจัยก็ไม่เที่ยง กายินทรีย์ที่บุคคลแทงด้วยหอกอันคม ไฟติดลุกโพลงแล้ว จงพักไว้ก่อน ผิฉะนั้น เราจะทำไว้ในใจอย่างนี้ว่า กายไม่เที่ยง โผฏฐัพพะไม่เที่ยง กายวิญญาณไม่เที่ยง กายสัมผัสไม่เที่ยง แม้สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะกายสัมผัสเป็นปัจจัยก็ไม่เที่ยง ความหลับ จงพักไว้ก่อน ผิฉะนั้น เราจะทำไว้ในใจอย่างนี้ว่า มนะใจไม่เที่ยง ธรรมารมณ์ไม่เที่ยง มโนวิญญาณไม่เที่ยง มโนสัมผัสไม่เที่ยง สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัยไม่เที่ยง
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในจักษุ แม้ในรูป แม้ในจักษุวิญญาณ แม้ในจักษุสัมผัส แม้ในสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในใจ แม้ในธรรมารมณ์ แม้ในมโนวิญญาณ แม้ในมโนสัมผัส แม้ในสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย เมื่อเบื่อหน่ายย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด จึงหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้แลเรียกว่า อาทิตตปริยาย และธรรมปริยาย ฉะนี้แล
จบ อาทิตตปริยายสูตรที่ ๘
อรรถกถาอาทิตตปริยายสูตรที่ ๘
ในอาทิตตปริยายสูตรที่ ๘ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า อนุพฺยญฺชโส นิมิตฺตคฺคาโห ความว่า ถือเอาโดยนิมิต โดยแยกถือเป็นส่วนๆ อย่างนี้ว่า มืองาม เท้างาม ดังนี้.
ก็บทว่า นิมิตฺตคฺคาโห ได้แก่ รวมถือเอา
บทว่า อนุพฺยญฺชคฺคาโห ได้แก่ แยกถือเอา การถือเอาโดยนิมิต ก็เช่นเดียวกับร่างจระเข้ ย่อมถือเอาทั้งหมดทีเดียว. การถือเอาโดยอนุพยัญชนะแยกถือเอาส่วนนั้นๆ บรรดาส่วนทั้งหลายมีมือและเท้าเป็นต้น. ก็การถือเอานิมิตทั้ง ๒ อย่างนี้ ย่อมได้แม้ในชวนะวาระเดียว ในชาวนะวาระต่างๆ ไม่จำต้องกล่าวถึง
บทว่า นิมิตฺตสฺสาเทคธิตํ ได้แก่ เจริญ คือ ติดพันด้วยความยินดีในนิมิต.
บทว่า วิญฺญาณํ ได้แก่ กรรมวิญญาณ.
บทว่า ตสฺมึ เจ สมเย กาลํ กเรยฺย ความว่า ใครๆ ที่ชื่อว่า กำลังกระทำกาละด้วยจิตอันเศร้าหมอง มีอยู่หามิได้. ด้วยว่าสัตว์ทั้งปวง ย่อมทำกาละด้วยจิตประเภทเดียวกับภวังคจิตนั่นแล. แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงแสดงภัยแห่งกิเลส จึงตรัสอย่างนั้น
อนึ่ง พระองค์ตรัสอย่างนั้น ด้วยอำนาจแห่งสมัย จริงอยู่เมื่ออารมณ์ มาปรากฏในจักขุทวาร ราคจิตจิตที่กำหนัด ทุฏฐจิต จิตขัดเคืองหรือมุฬหจิตจิตที่ลุ่มหลง ย่อมเสวยรสแห่งอารมณ์หยั่งลงสู่จิตประเภทเดียวกับภวังคจิต อยู่ในจิตประเภทเดียวกับภวังคจิตแล้ว ย่อมกระทำกาลกิริยา ในสมัยนั้น บุคคลผู้ทำกาละ พึงหวังคติเป็นสอง คำนั้น ตรัสด้วยอำนาจสมัยอันนี้
บทว่า อิมํ ขฺวาหํ ภิกฺขเว อาทีนวํ ความว่า เราพิจารณาเห็น ทุกข์อันสัตว์พึงเสวยในนรก หลายแสนปีนี้ จึงได้กล่าวอย่างนี้ว่า เราประสงค์เอาการใช้ซี่เหล็กอันร้อนทะลวงนัยน์ตา. พึงทราบอรรถในบททั้งปวงโดยนัยนี้
บทว่า อโยสํกุนา ได้แก่ หลาวเหล็ก. บทว่า สมฺปลิมฏฺฐํ
ความว่า โสตินทรีย์ ชื่อว่า อันภิกษุยอนแล้ว ด้วยอำนาจแทงช่องหูทั้ง ๒ แล้วตอกลงที่แผ่นดิน
ในวารที่ ๓ (ฆานินทรีย์) มีวินิจฉัย ดังต่อไปนี้ บทว่า สมฺปลิมฏฺฐํ (ฆานินทรีย์) อันภิกษุคว้านแล้ว โดยสอดมีดตัดเล็บเข้าไปแล้วงัดขึ้นให้หลุดตกไปพร้อมด้วยตั้งจมูก
ในวาระที่ ๔ (ชิวหินทรีย์) มีวินิจฉัย ดังต่อไปนี้ บทว่า สมฺปลิมฏฺฐํ ความว่า (ชิวหินทรีย์) อันภิกษุตัดแล้ว โดยตัดโคนลิ้นที่ต่อให้ตกไป
ในวาระที่ ๕ (กายินทรีย์) มีวินิจฉัย ดังต่อไปนี้ บทว่า สมฺปลิมฏฺฐํ ความว่า (กายินทรีย์) อันภิกษุแทงแล้ว โดยใช้มีดอันคมกริบชำแหละกายประสาทขึ้นแล้วให้ตกไป
ในบทว่า สตฺติยา นี้ บัณฑิต พึงทราบว่ามีดมีด้ามเล่มใหญ่
บทว่า โสตฺตํ ได้แก่ นอนหลับ
ด้วยบทว่า ยถารูปานํ วิตกฺกานํ วสงฺคโต สงฺฆํ ภินฺเทยฺย ผู้ลุอำนาจวิตกเห็นปานใด พึงทำลายสงฆ์นี้ พระองค์ทรงแสดงว่าวิตกทั้งหลาย นำมาซึ่งบาปกรรมตลอดจนถึงสังฆเภท
คำที่เหลือในพระสูตรนี้ง่ายทั้งนั้น
จบ อรรถกถาอาทิตตปริยายสูตรที่ ๘
"ใครๆ ที่ชื่อว่า กำลังกระทำกาละ ด้วยจิตอันเศร้าหมอง มีอยู่หามิได้. ด้วยว่าสัตว์ทั้งปวง ย่อมทำกาละด้วยจิตประเภทเดียวกันกับภวังคจิตนั่นแล" ชวนจิตสุดท้าย ไม่ใช่ภวังคจิต Please explain this statement.
Thank you !
ขอถามว่า ก็การถือเอานิมิตทั้ง ๒ อย่างนี้ ย่อมได้แม้ในชวนะวาระเดียว. ในชวนวาระต่างๆ ไม่จำต้องกล่าวถึง. หมายความว่า นิมิตอนุพยัญชนะ ที่เกิดขึ้นปรากฏสืบต่อในชวนจิต แม้ในชวนจิตวาระ หลังๆ ก็คงปรากฏเสมอ เข้าใจเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่ ช่วยชี้แนะเพิ่มเติมด้วย
ขออนุโมทนา
ต้องหมายถึงชวนวาระต่อกันเท่านั้น ชวนวาระหลังๆ อาจเป็นกุศลได้
ขอช่วยอธิบายเพิ่มเติมว่าชวนวาระหลังๆ อาจเป็นกุศลได้ ตามที่เข้าใจคือเมื่อมีรูปชนิดหนึ่งที่สามารถปรากฏได้ทางตา ตามความเป็นจริงก็มีเห็นแต่ก็ไม่ปรากฏการเกิดดับสืบต่อ แต่ปรากฏเป็นรูปประเภทหนึ่งซึ่งสามารถปรากฏทางตาได้ เป็นนิมิตอนุพยัญชนะแล้ว ถูกต้องหรือไม่ ขอคำอธิบายเพิ่มเติมอีก
ขออนุโมทนา
ชวนวาระหลัง หมายถึง ชวนะทางมโนทวารที่เกิดหลังจากมโนทวารวาระแรก
ขอบคุณและอนุโมทนานะคะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น