สนทนาพื้นฐานพระอภิธรรม ที่มูลนิธิฯ
วันอาทิตย์ที่ ๒๕ ม.ค. ๒๕๕๒
อร. ที่..คุณนิรันด์บอกว่า ความรักเป็นทุกข์ ก็เลยไม่รักใคร พอไม่รัก ชีวิตก็แห้งแล้ง เซ็งๆ ท่าน อ.จ. พร่ำสอนเราว่า การฟังธรรมเพื่อให้เข้าใจสิ่งที่มีในชีวิตประจำวัน และเป็นปกติไม่ต้องไปทำอะไร ธรรมก็มีปรากฎอยู่แล้ว เช่น เห็น ได้ยิน พอใจ ไม่พอใจ ซึ่งก็แล้วแต่การสะสม เมื่อไรที่ผิดปกติไปจากชีวิตประจำวัน อันนั้นก็คือ ไม่ใช่หนทาง แล้ว คำถามที่ฟังจากในเทป เมื่อไรจะ ไม่เห็นเป็นดอกไม้ เป็นท่าน อ.จ. คำถามนี้ดูเหมือนจะเต็มไปด้วย ความผิดปกติ ซึ่งท่าน อ.จ. ก็จะย้ำกับพวกเราว่า เป็นปกติอย่างนี้แหละ สิ่งที่ต่างไปเมื่อมีปัญญาก็คือ ว่า รู้ความจริงว่า เป็นธรรม ถ้าไม่รู้ความจริงก็จะคิดว่าเป็นเรา มีเรา เป็นตัวตน สัตว์ บุคคล คือเข้าใจว่าธรรมเป็นเรา ตัวตน สัตว์ บุคคล แต่เมื่อรู้ความจริง ก็คือรู้เช่นนี้แหละ ไม่ใช่รู้ผิดปกติไปจากความเป็นจริง ฟังจากคำถามและจากในเทป ดูเหมือนจะไม่เข้าใจกันตรงนี้ จึงขอเรียนให้ท่าน อ.จ. ช่วยขยายความตรงนี้ เป็นปกติ ไม่ผิดปกติไปจากชีวิตประจำวัน
อ.จ. ก็..เป็นปกติของทุกคนตามการสะสม เดี๋ยวนี้ค่ะ เวลาฟังธรรม แล้วไม่เข้าใจคำว่า "ปกติ" เดี๋ยวนี้ค่ะ เป็นปกติอย่างนี้แหละ เกิดแล้ว เป็นอย่างนี้แล้ว ไม่เป็นอย่างอื่น
อ.ธิดารัตน์ เพราะ..ฉะนั้น ปกติอกุศลเยอะ ก็เลยไม่ค่อยเข้าใจ แล้วปกติ ที่จะค่อยๆ เข้าใจธรรม เป็นปกติได้ยังไง
อ.จ. จิตตา..นุปัสสนา ข้อที่ ๑ ประการที่ ๑ คืออะไร ลักษณะที่ ๑ จิตที่เป็น "สราคจิต" จะไปรู้จิตอื่นได้ไหม ซึ่งในขณะที่กำลังติดข้อง แล้วไม่รู้ว่ากำลังติดข้อง เมื่อไม่รู้แล้วจะละได้อย่างไร หรือจิตหมวดแรกก็คือ กุศลจิต ไม่ใช่ ใช่ไหมค่ะ เพราะฉะนั้น "เห็น" จริง ดับแล้วโลภะ ความติดข้องเกิดแน่นอน ใครไม่เกิดบ้าง ไม่มี..ใครจะให้ใครทำอะไรได้เลย แต่สภาพธรรมที่มีที่จะปรากฏที่สติสัมปชัญญะจะเกิด จะระลึกได้เป็นอนัตตา ไม่มีใครจะบังคับบัญชาได้เลย แต่ในการที่จะ ละโลภะ ต้องรู้โลภะ ถ้ามิฉะนั้นก็ ละไม่ได้ เพราะว่าสภาพธรรมเกิด เพราะยังมีโลภะ เพราะยังมีอวิชชา จึงต้องมีการเห็น มีการได้ยิน สัมผัส..... ต้องการทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ปรากฎให้เห็น ให้ได้ยิน กระทบสัมผัส...... นี่เป็นปกติ ใช่ไหมค่ะ เพราะว่าจะหมดสภาพธรรมที่มีปัจจัย เกิดแล้วดับ ได้อย่างไร ถ้าไม่รู้ว่าสภาพธรรมทั้งหลายในขณะนี้ เกิดมีได้เพราะยังมีอวิชชาและโลภะ เพราะว่า..การที่จะรู้จักว่า "ทุกข์" จริงๆ คืออะไร? "ทุกข์ " จริงๆ คือ ไม่มีใครที่สามารถจะไปยับยั้ง การเกิดดับของสภาพธรรมได้เลย แล้วก็ยังมีความเห็นผิด ที่ไปยึดถือสภาพธรรมนั้นว่าเป็นเราด้วย เพราะว่าการดับทุกข์ ก็ต้องตามลำดับของปัญญา คือมีความเห็นถูก ว่าขณะนี้เป็นธรรมก่อนค่ะ ในสิ่งที่ปรากฎ ก็จะไม่ยึดถือสภาพธรรมนั้น ว่าเป็นสิ่ง ๑ สิ่งใด ด้วยเหตุนี้กว่าจะหมดเยื่อใย การต้องการสิ่งที่ปรากฎ ซึ่งเป็นสังขารขันธ์ หรือสังขารธรรม จนกระทั่งสามารถที่จะทิ้งไม่ต้องการอีกต่อไป จิตจึงจะน้อมไปสู่ สภาพธรรมซึ่งไม่เกิดไม่ดับได้ เพราะการอบรมเจริญปัญญา เพื่อที่จะละความไม่ดีทั้งหมด....
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนา ค่ะ
ละโลภะ ต้องรู้โลภะ ถ้ามิฉะนั้นก็ ละไม่ได้ เพราะว่าสภาพธรรมเกิด เพราะยังมีโลภะ เพราะยังมีอวิชชา จึงต้องมีการเห็น มีการได้ยิน สัมผัส.... ต้องการทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฎให้เห็น ให้ได้ยิน กระทบสัมผัส...... นี่เป็นปกติ ใช่ไหมค่ะ เพราะว่า จะหมดสภาพธรรมที่มีปัจจัย เกิดแล้วดับ ได้อย่างไร ถ้าไม่รู้ว่าสภาพธรรมทั้งหลายในขณะนี้ เกิดมีได้เพราะยังมี อวิชชา และ โลภะ
ที่ว่าความรักเป็นทุกข์.....ก็เลยไม่รักใคร...พอไม่รัก ชีวิตก็แห้งแล้ง เซ็งๆ หมายความว่า...ความรักเป็นทุกข์.....ไม่จริง ขณะที่กำลังติดข้อง แล้วไม่รู้ว่ากำลังติดข้อง เมื่อไม่รู้แล้วจะละได้อย่างไร
ขออนุโมทนาคะ
ท่านอาจารย์ครับ ก็ยึดอยู่ดีแหละครับ
ก็ทุกข์นัก จะหมดไปได้อย่างไรครับอาจารย์
ขออนุโมทนา
ขออนุโมทนาครับ