ธรรมทั้งปวง ได้แก่ ปรมัตถธรรมทั้ง ๔ คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา คือ ไม่ใช่ตัวตน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของบุคคลใด อย่างเวลาที่มีความโกรธเกิด มีใครบ้างไม่รู้ แม้ไม่เรียนพระอภิธรรมก็รู้ เวลาที่อิจฉาหรือริษยา ต้องเรียนพระอภิธรรมไหมจึงจะรู้ ก็ไม่ต้องเรียน แต่เป็นเราไม่รู้ว่าเป็นสภาพธรรมแต่ละอย่าง
เพราะฉะนั้นโดยนัยของพระอภิธรรม จึงรู้ว่าทั้งหมดไม่ใช่เรา เมื่อโลภะเกิด โทสะเกิด มานะเกิด หรือสนุกสนาน ก็ไม่ใช่เรา เมื่อมีความจำที่มั่นคงในความเป็นอนัตตา ไม่ใช่อนัตตาแบบหลอกๆ ไม่ใช่ทำอะไรก็ได้ เพราะทุกอย่างเป็นอนัตตา นั่นพูดเอาเอง แต่อนัตตาจริงๆ นั้น ปัญญาเข้าถึงความเป็นอนัตตาหรือยัง หรือเพียงพูดตามว่าทุกอย่างเป็นอนัตตา คนที่เพียงเรียนกับคนที่อบรมเจริญปัญญารู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงนั้น ปัญญาผิดกันมาก ซึ่งต้องตรง ถ้าเรารู้ว่าเพียงรู้ชื่อ ก็จะไม่หยุดเพียงรู้ชื่อ ต้องอบรมเจริญปัญญาจนสามารถที่จะรู้ความเป็นอนัตตาจริงๆ สมกับที่เรากล่าวว่า “ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา” มิฉะนั้น ก็เหมือนกับคำอุปมาที่ว่า “ทัพพีไม่รู้รสแกง”
จากหนังสือ บทบาท อ.สุจินต์ ในการเผยแผ่พุทธธรรม
โดย พระธนนาถ นิธิปญฺโญ
สภาพธรรมมีในขณะนี้ แต่ไม่รู้ เปรียบเหมือนเส้นผมบังภูเขา ค่ะ
ขออนุโมทนา
ขออนุโมทนาครับ