" ก่อนที่จะเลื่อมใส ... ได้ฟังพระธรรมจากบุคคลนั้นแล้วหรือยัง ซึ่งขอกล่าวถึงข้อควรพิจารณา บางท่านไม่ได้ฟังพระธรรมจากผู้ที่ตนเลื่อมใส แต่ก็ยังเลื่อมใสในบุคคลนั้น โดยที่ยังไม่ได้ฟังพระธรรมจากบุคคลนั้นเลยนะคะ เช่น เลื่อมใสในความเป็นผู้อยู่ง่าย กินง่าย ของบุคคลนั้น แม้ว่าบุคคลนั้นจะเป็นผู้ที่ใช้คำพูดที่เป็นคำหยาบคาย ก็เป็นผู้ที่เข้าใจ (ผิด) ว่า ตนเองเป็นผู้ที่มีทิฏฐิมาก สมควรที่ผู้ที่ตนเลื่อมใสนั้น จะใช้คำหยาบคายนั้น เป็นการทรมานทิฏฐิกิเลสของตน นี่ก็เป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องนะคะ เพราะว่าธรรมนี้เป็นของจริง เป็นสัจธรรม ไม่ต้องใช้คำหยาบคายใดๆ เลย ก็สามารถที่จะทำให้ผู้ฟัง น้อมพิจารณาสภาพธรรมนั้น แล้วก็เกิดความเข้าใจถูก แล้วก็เห็นจริงถูกต้อง ตามลักษณะของสภาพธรรมนั้นๆ ได้ ซึ่งในวันนี้นะคะ ขอกล่าวถึง ข้อความในคัมภีร์ สุโพธาลังการ ซึ่งรจนาโดยพระสังฆรักขิตสานิ ปริเฉทต่างๆ ซึ่งทั้งหมดด้วยกัน มี ๕ ปริเฉท
ในปริเฉทที่ ๔ ข้อ ๒๘๖ มีข้อความว่า ข้าแต่พระจอมมุณี พระดำรัสของพระองค์ แข็ง ก็หามิได้ กระด้างหรือเล่า ก็หามิได้ แม้เช่นนั้น ก็ขุดได้อย่างหนักหน่วง ซึ่งความเบาของกลุ่มชนจนหมดรากเหง้า
ความเบา ก็คือความเขลาของบุคคลนะคะ โดยที่ไม่ต้องใช้คำหยาบคายใดๆ เลย เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะเลื่อมใสในบุคคลใดนี่ค่ะ ควรจะพิจารณาจริงๆ ว่า ได้ฟังพระธรรมจากบุคคลนั้นแล้วหรือยัง ก่อนที่จะเลื่อมใส แต่ถ้ายังไม่ได้ฟังเลยนะคะ ก็ชื่อว่ายังไม่ได้เลื่อมใสในพระธรรมจริงๆ เพียงแต่ว่ามีความเลื่อมใสในชีวิตความเป็นอยู่ ของบางบุคคลเท่านั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าบุคคลนั้นจะเข้าใจถูกต้องในพระธรรม ถ้ายังไม่ได้แสดงพระธรรมโดยถูกต้อง
บรรยายโดย ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ถอดเสียงจาก ชุดเทปวิทยุครั้งที่ ๑๓๙๘
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
การไม่ฟังพระสัทธรรมและฟังแต่อสัทธรรม เป็นปัจจัยให้เกิดมิจฉาทิฏฐิ ถ้าประมาท
ขออนุโมทนาครับ