จริงๆ แล้วการทำกุศลทุกอย่างควรหวังอานิสงส์หรือไม่ ประการใด
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การหวังผล หวังอานิสงส์ ผลบุญ ก็ด้วยโลภะ อกุศลที่เกิดขึ้น หากถามว่า ควรหวังผล หวังอานิสงส์หรือไม่ ก็ไม่ควร เพราะ อกุศล มีโลภะ เป็นต้น ไม่ควรโดยประการทั้งปวง เพราะ เป็นสภาพธรรมที่ไม่ดี แต่ ในความเป็นจริง สภาพธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา คือ บังคับบัญชาไม่ได้ เมื่อมีเหตุปัจจัย ก็เกิดขึ้น แม้แต่ความหวังผล หวังอานิสงส์ ผลบุญ ก็เป็นธรรมดาของปุถุชนที่ยังจะต้องเกิดขึ้น เป็นธรรมดา เพราะ สะสมโลภะมามาก พอใจติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รส สิ่งที่กระทบสัมผัสที่น่าพอใจ เมื่อรู้ว่า บุญย่อมนำสุขมาให้ ก็ทำบุญ เพราะอยากได้ความสุข เพราะ ติดข้องใน ความสุขที่ได้ นั่นเอง
นี่ก็แสดงถึงความเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น แม้จะกล่าวว่าไม่ควรหวัง แต่ก็หวังเกิดได้ และก็เกิดแล้ว เกิดบ่อยๆ หนทางที่ถูก คือ ไม่ใช่เมื่อบอกว่า อย่าหวัง เพราะ โลภะไม่ดี นั่นไม่ใช่หนทางละกิเลส เพราะ กิเลส ไม่ได้ เป็นไปตามความตั้งใจ ของผู้ไม่ได้สะสมปัญญามามาก กิเลส มีเหตุปัจจัยก็เกิดขึ้น ดังนั้นหนทางที่ถูกในความเข้าใจ ในเรื่องของความหวังที่เกิดขึ้น คือ เข้าใจว่า ต้องเกิดเป็นธรรมดา แม้จะรู้ว่าไม่ควร ไม่ดี แต่ก็ต้องเกิด เพราะอำนาจของกิเลส
หนทาง คือ การเข้าใจความหวังว่าเป็นธรรมไม่ใช่เราที่หวัง ความหวังผลบุญมีจริงเกิดแล้ว ไม่ใช่เราที่จะไปหวัง แต่เป็นธรรมที่เป็นโลภะ ความติดข้อง เมื่อเข้าใจแม้ขั้นการฟังอย่างนี้ ก็จะเป็นประโยชน์อย่างมาก ที่จะเกื้อกูลในการดับกิเลส เพราะเข้าใจตัวกิเลสที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง เมื่อรู้จักกิเลส ย่อมละกิเลสได้ครับ
ซึ่งหนทางก็คือ อาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมไปเรื่อยๆ และก็ค่อยๆ อยู่กับกิเลส อยู่กับความหวังที่จะต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดาด้วยความเข้าใจ ก็จะเบาสบาย เพราะเข้าใจว่าเป็นธรรมและเป็นธรรมดา ครับ
บุญ เกิดขึ้น ผลย่อมมี แม้จะหวัง หรือ ไม่หวังก็ตาม ประโยชน์ คือ เข้าใจบุญว่าอย่างไร ในขณะที่เกิดขึ้น และ เข้าใจความหวังผลบุญว่าอย่างไรในขณะที่เกิดขึ้น ครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เป็นธรรมดาของผู้ที่ยังละโลภะยังไม่ได้ ย่อมมีความหวังผลของกุศลเป็นธรรมดา แต่ไม่ใช่เรา เป็นแต่เพียงธรรมอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้น แสดงให้เห็นถึงความเป็นจริงของสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุ ปัจจัยจริงๆ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น
การเจริญกุศลประการต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ถ้าเป็นไปเพื่อหวังผลหรือต้องการสิ่งหนึ่งสิ่งใดตอบแทนนั้น เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะในขณะนั้นเป็นไปกับด้วยอกุศล เป็นการสะสมโลภะเพิ่มขึ้น ไม่เป็นไปเพื่อการขัดเกลากิเลส ยังเป็นไปในวัฏฏะ แต่ถ้าเมื่อใดก็ตาม ที่มีโอกาสได้ฟังพระธรรม ได้ศึกษาพระธรรม สะสมความเข้าใจเพิ่มขึ้น ก็จะเข้าใจว่า การเจริญกุศลทุกอย่างทุกประการ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของทาน ศีล และ ภาวนา ล้วนเป็นไปเพื่อการขัดเกลากิเลสทั้งสิ้น ที่จะเป็นไปเพื่อเพิ่มกิเลส เพิ่มโลภะ โทสะ โมหะ ให้มากๆ นั้น ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ในชีวิตประจำวัน ควรอย่างยิ่งที่จะได้เจริญกุศลประการต่างๆ ที่พอจะเป็นไปได้ เพราะเหตุว่าถ้ากุศลจิตไม่เกิดแล้ว จิตก็เป็นอกุศล ไหลไปด้วยอำนาจของกิเลส ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ ซึ่งเป็นโทษกับตนเองโดยส่วนเดียว อกุศลธรรมทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องที่จะต้องละ เป็นเรื่องที่จะต้องดับให้หมดสิ้น แต่ก็จะต้องเป็นเรื่องของความเข้าใจถูกเห็นถูกเท่านั้น ไม่ใช่ด้วยความต้องการ หรือไปทำอะไรด้วยความไม่รู้ ด้วยความเป็นตัวตน ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
เท่าที่เราเห็นเกือบทุกคนที่ทำบุญก็ต้องมีความหวังกันทุกคน บางคนทำบุญเพื่อหวังให้ตนเองมีความร่ำรวย ต้องการให้ตัวเองมีความเลิศในเรื่องต่างๆ แต่จะมีสักกี่คนนะที่ทำบุญเพื่อหวังให้ผู้อื่นมีความสุข และ มีความสุขกายสุขใจบ้าง ถ้าเขาทำได้อย่างนั้น เรารู้สึกว่าชื่นชมเขามากๆ เลยนะ (แต่บุคคลเช่นนี้หายากนะ แต่ คิดว่าน่าจะมีบ้าง)
... เมื่อรู้จักกิเลส ย่อมละกิเลสได้ ...
... อกุศลธรรมทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องที่จะต้องละ ...
ขออนุโมทนาค่ะ