ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๕๐
เวลานี้กระแสของอะไรกำลังเป็นไป? โลภะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง สติเกิดขณะใด ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนั้น จึงจะกั้นกระแสของโลภะ โทสะ โมหะได้
มิจฉามรรคก็เป็นการปฏิบัติผิด คลาดเคลื่อนไป ไม่ใช่การระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้
เห็นความน่ากลัวในการที่จะติดในข่ายของกาม ซึ่งยากที่จะสลัดให้หลุดออกได้ ไม่ว่าจะเป็นความพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เพราะฉะนั้น ถ้ามีมากๆ ก็ติดอย่างมากๆ ทีเดียว และยิ่งได้มากเท่าไร ก็ยิ่งไม่พอ
ทุกคนมีโทษมาก มีข้อที่ควรตำหนิมาก แต่ผู้ที่จะชี้โทษให้เห็นตามความเป็นจริง ไม่มีใครที่สามารถจะทำได้มากเท่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น เมื่อได้ฟังพระธรรมแล้วพิจารณา ก็ย่อมเห็นโทษของกิเลส ซึ่งทุกคนยังมีอยู่มากทีเดียว
ชีวิตความเป็นอยู่ที่ต่างกันระหว่างบรรพชิตและคฤหัสถ์ ถ้าบรรพชิตใด มีความเป็นอยู่ไม่ต่างกับคฤหัสถ์ ก็ย่อมไม่มีสิ่งใดที่เป็นที่ควรแก่การที่จะสรรเสริญและเคารพกราบไหว้มากกว่าคฤหัสถ์
เราสะสมอกุศลและอวิชชาไว้มาก แล้ว วันนี้เราจะเอาสิ่งที่เราสะสมมาแสนโกฏิกัปป์ออกไปได้อย่างไร นอกจากสะสมใหม่ที่จะค่อยๆ เข้าใจลักษณะของสภาพธรรม แต่ว่าน่าอุ่นใจที่ว่าได้สะสมมาที่จะได้ฟังพระธรรมและพิจารณาจนกระทั่งเป็นความเข้าใจของเราแม้ทีละเล็กทีละน้อย แต่ก็มีพืชเชื้อที่จะเจริญเติบโตได้ในเมื่อเป็นความเห็นถูก เริ่มต้นที่ตรงนี้ คือ ทุกชาติไปที่มีโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรมและก็ค่อยๆ สะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูก
ประโยชน์คือสามารถเริ่มเห็นถูก เข้าใจถูก เห็นถูกในลักษณะนั้นว่าเป็นสิ่งที่มีจริง และเป็นสภาพธรรมที่ใครก็บังคับบัญชาไม่ได้ เกิดแล้วจึงปรากฏ ค่อยๆ เข้าใจไปเรื่อยๆ ทีละเล็กทีละน้อย นี่คือขันติ ขณะนี้ก็กำลังเป็นบารมีที่สามารถจะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมได้ในวันหนึ่ง
เวลาที่โทสะเกิดเพราะความคลุกคลีก็คงจะเห็นในชีวิตประจำวัน ในยุคนี้คือ เด็กนักเรียนตีกัน ก็เพราะเหตุว่าคลุกคลีและก็มีการคิดว่าสมควรที่จะทำอย่างนั้นก็ชักชวนกันทำ นี่ก็แสดงให้เห็นว่าถ้าลำพังคนเดียวก็อาจจะไม่คิดอย่างนั้น แต่เวลาที่มีเพื่อนฝูงและมีความคิดเห็นอย่างนั้นก็ชักชวนกันไปในทางที่พยาบาท ประทุษร้ายกัน
ถ้าเป็นผู้ที่เข้าใจเรื่องกรรมและผลของกรรม จะไม่รีรอการทำกุศลทุกประการทุกขณะด้วย ทำให้เราเจริญทางฝ่ายกุศลยิ่งขึ้น เพราะว่าเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราจะไม่อยู่โลกนี้ในวันไหน อาจจะเป็นขณะต่อไปพรุ่งนี้หรือเดือนนี้ก็ได้
การให้อภัย ก็ทำให้บุคคลอื่นมีความสุข เขาไม่ต้องเดือดร้อนเพราะความโกรธของเราหรือเพราะความคิดเบียดเบียนของเรา
ถ้ารู้ว่าเป็นธรรม จะโกรธอะไร? ธรรมมีปัจจัยก็เกิดแล้วก็ดับไป แต่เพราะยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเราก็ทำให้มีอกุศลประเภทต่างๆ เกิดขึ้น
โกรธเมื่อไหร่ก็คือโทสะ ลักษณะนั้นเป็นสิ่งที่มีจริง ไม่ว่าจะมากจะน้อย สิ่งที่เคยผ่านไปแล้วในอดีต คิดขึ้นมาอีก จิตขุ่นขณะใด ขณะนั้นก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริง
เราไม่รู้ชีวิตข้างหน้าของเราว่าจะเป็นแบบไหน แต่ว่าถ้ามีปัญญามีโอกาสได้ฟังพระธรรมไตร่ตรองพระธรรม ถึงกาลที่จะค่อยๆ เข้าใจพระธรรมยิ่งขึ้น ก็จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น
ไม่ศึกษาพระพุทธศาสนา จะรักษาพระพุทธศาสนาไว้ได้อย่างไร มีแต่พากันกระทำในสิ่งที่ผิด ปฏิบัติผิด นั่น คือ บ่อนทำลายพระพุทธศาสนา
ถ้าไม่ฟังพระธรรม มีใครเป็นที่พึ่ง? มีคนอื่นเป็นที่พึ่ง แต่ไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง
มีคนทำในสิ่งที่ผิดเยอะมาก เราจะทำผิดตามเขาไหม ต้องเป็นผู้ตรง?
ไม่ได้ไปเกิดในสวรรค์หรอก ถ้ากระทำอกุศลกรรม มีแต่จะทำให้ไปเกิดในนรก หรือในอบายภูมิ อื่น เกิดเป็นเปรตบ้าง เกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉานบ้าง
ความเป็นผู้ตรง จะนำไปสู่ความเข้าใจที่ถูกที่ตรงตามความเป็นจริงของธรรม
การกระทำที่เป็นทุจริตกรรมประการต่างๆ มาจากความไม่รู้
คำสอนในพระพุทธศาสนา ทุกคำ ไม่ใช่เป็นไปเพื่อไม่รู้ แต่เป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกโดยตลอด
วิปัสสนา เป็นปัญญาที่เห็นอย่างแจ่มแจ้งในสภาพธรรม
ไม่มีทางถึงได้ด้วยความไม่รู้
ความเข้าใจพระธรรม จะทำให้มีการอารักขา คือ รักษาไม่ให้ตกไปในฝ่าย
อกุศล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่กระทำอกุศลกรรม
เป็นบุญที่สุด ที่เกิดมาในชาติหนึ่งซึ่งกำลังเป็นไป แล้วได้รู้ความจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ
ต้องฟังพระธรรม ถ้าไม่ฟังพระธรรม ใครจะรู้ และฟังให้เข้าใจจริงๆ ด้วย เพื่อการละ ไม่ใช่เพื่อการต้องการที่จะรู้มากๆ แต่ว่าเพื่อละความไม่รู้ ละความติดข้องไปเรื่อยๆ .
ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
https://www.dhammahome.com/webboard/topic/25040ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๔๙
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตร่วมปันธรรมด้วย ครับ
@ เพื่อให้เข้าใจอย่างเดียวค่ะ ไม่มีอย่างอื่น และไม่ใช่เพียงแค่ การรู้เรื่องราวของสภาพ
ธรรม หรือรู้ตามตำรา แต่ที่สำคัญคือ เข้าใจและรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมนั้นๆ ที่
กำลังปรากฎ ให้รู้จริง ให้รู้ยิ่ง ให้รู้ทั่ว ทั้ง ๖ ทวาร
@ จุดประสงค์ในการฟังที่สำคัญ คือเพื่อให้เข้าใจถูกในเบื้องต้นว่าเป็นธรรม ไม่ว่า
พระสูตรไหน คำใด ก็คือสภาพธัมมะที่มีจริงในขณะนี้เอง ไม่พ้นไปจากธัมมะ ดังนั้น
ผู้ที่ฟังแม้น้อย แต่เข้าใจถูกต้องว่า ก็คือ สิ่งที่มีจริงในขณะนี้และเป็นธรรม ย่อมเกิด
ปัญญาและบรรลุธรรมได้ เพราะเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงนั่นเอง
@ ไม่ว่าจะได้รับกระทบจากบุคคลหนึ่งบุคคลใดที่เป็นคนเลว คนปานกลาง หรือว่า
คนชั้นสูง ถ้าเป็นผู้มีปัญญาแล้ว ย่อมจะอดกลั้นคำดูหมิ่นได้ทั้งหมด ไม่ว่าจากใครก็
ตามไม่ใช่เฉพาะบางบุคคลแต่ต้องทั่วไปหมด เพราะเหตุว่าบางคนอาจจะคิดว่าถ้าเป็น
คนชั้นสูงก็อดกลั้นได้ แต่ถ้าเป็นคนชั้นต่ำหรือเป็นคนเลวก็อดกลั้นคำพูดของบุคคล
เหล่านั้น
@ เรื่องความโกรธกับความไม่โกรธนั้น ถ้าสะสมปัญญามา ก็จะรู้ว่า “ไม่โกรธดี
กว่า” แต่ถ้าไม่ได้สะสมปัญญามาก็คิดว่าต้องโกรธ..ต้องโกรธตอบ แต่จะให้คิด
เท่าไรก็คิดไม่ออกว่าไม่โกรธดีกว่าโกรธ ฉะนั้นจึงต้องพิจารณาให้เห็นโทษของ
อกุศล และเห็นประโยชน์ของกุศล แล้วอบรมเจริญกุศลเพิ่มมากขึ้น
@ การเข้าใจธรรมไม่ใช่เพียงเข้าใจเล็กน้อย แล้วอยากดับกิเลส เป็นไปได้อย่างไร
ต้องเป็นปัญญา ที่ละเอียดและรู้จริง การอบรมเจริญอริยมัคค มีองค์ ๘ สามารถที่จะ
รู้ยิ่งในสภาพธรรมที่ปรากฎทั้งหมดว่า เป็นธรรมะตามความเป็นจริง จึงจะดับอนุสัย
กิเลสที่เกิดยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ เพราะ ความจริงไม่ใช่สิ่งหนึ่ง
สิ่งใดเลย เพียงแค่ปรากฎก็หมดแล้ว
@ การศึกษาธรรมที่ถูกต้อง คือ ต้องสอดคล้องกัน ทั้ง 3 ปิฎก ถ้าไม่เข้าใจอภิธรรม
ในเบื้องต้น ก็เข้าใจพระสูตรและพระวินัยผิดได้ โดยเฉพาะในเรื่องการเจริญสติปัฏฐาน
(วิปัสสนา) ง่ายๆ ถ้าไม่ได้ศึกษาเข้าใจอภิธรรม ก็คิดว่ามีตัวตน มีเราที่ทำได้ บังคับ
ได้ เลือกเวลาที่จะทำวิปัสสนา แต่เมื่ออภิธรรมแสดงว่า ทุกอย่างเป็นธรรม ไม่มีเรา มี
เหตุปัจจัยจึงเกิด แม้สติและปัญญาที่เป็นวิปัสสนาก็ต้องมีเหตุปัจจัยจึงเกิดได้ จึงไม่มี
ตัวตนที่จะบังคับให้วิปัสสนาเกิดครับ ดังนั้น การศึกษาธรรมที่ถูกคือต้องสอดคล้องทั้ง
3 ปิฎก ย่อมนำไปสู่การปฏิบัติที่ถูกต้องด้วย
@ เมื่อปราศจากลมหายใจ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยยึดถือว่าเป็นของเราก็หมดสิ้นลง
ความยิ่งใหญ่และความสำคัญในสิ่งใดๆ ทั้งความรักและความชังนั้น ก็เป็นเพียงความ
คิดนึกในขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่เท่านั้นเอง
@ ทนความชั่วร้ายของบุคคลอื่นด้วยความเบิกบานใจ มีความเมตตาในผู้นั้น ระลึก
ถึงความดีของเขา ให้อภัยและสงสารที่ตัวเขานั่นเองจะได้รับผลกรรมที่เขากระทำ
นั้น สัตว์แสดงความไม่ดีออกมาตรงๆ แต่คนเรามีการซ่อนเร้นปกปิด คิดลึก แสร้งทำ
เป็นไม่รู้ จิตไม่ผ่องใสใครจะรู้ แต่เมื่อมีสติก็จะรู้ได้ว่าเป็นกิเลสซึ่งตนเองเท่านั้นที่รู้ได้
และสอนใจตนเอง มิฉะนั้น แล้วกิเลสนั้นก็จะสะสมเป็นอุปนิสัยหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ
@ การพูดถ้อยคำที่ไม่นึกถึงคนฟัง ซึ่งถ้าเราเป็นคนฟังก็จะมีความรู้สึกว่า "ไม่ชอบฟัง"
คำพูดอย่างนี้เลยแต่เมื่อเป็นคนพูด กลับลืมคิด และไม่รู้ด้วยว่าขณะนั้นก็เป็นอกุศล
นั้นไม่ได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วทุกบุคคลควรเป็นสิ่งที่ทำให้ขันติบารมีเจริญขึ้น
ขออนุโมทนา
ขอบพระคุณ และ ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณคำปั่น อักษรวิลัย และ
คุณเผดิม ยี่สมบุญ เป็นอย่างยิ่ง ครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ด้วยความเคารพ จาก ธิดารัตน์ เดื่อมขันมณี
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาคะ
..กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ