ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๙๓
~ แต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาจากพระปัญญา ซึ่งรู้ว่าสัตว์โลกไม่รู้ เพราะฉะนั้น ความรู้จะไม่มีเลยถ้าพระองค์ไม่ทรงแสดงธรรม เพราะฉะนั้น แต่ละคำ ฟังไว้ เพื่อที่จะค่อยๆ เข้าใจจนกระทั่งสามารถที่จะรู้ความจริงได้ตามลำดับ
~ แต่ละคำทั้งหมดของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มาจากการที่ทรงบำเพ็ญพระบารมีถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะอนุเคราะห์สัตว์โลกโดยไม่เลือกหน้าเลย ไม่ว่าในกาลที่พระองค์ยังไม่ปรินิพพาน หรือแม้ปรินิพพานแล้ว ก็ไม่มีใครเป็นศาสดาแทนพระองค์ เพราะว่าพระธรรมที่ได้ตรัสไว้ดีแล้วเป็นศาสดา เพราะฉะนั้น เพราะรู้คุณของพระธรรมที่ยังมีให้เราได้ยินได้ฟัง ให้เราได้ศึกษา ทุกคนจึงได้ฟังต่อไป เรียนต่อไป ค่อยๆ เข้าใจต่อไป
~ ต่อไปนี้ สำหรับผู้ที่เข้าใจในเหตุในผลแล้ว ถ้ามีใครมาขอพรกับท่าน ท่านจะให้อะไรกับผู้นั้น? ที่ถูกแล้วควรจะเป็น ขอให้เขาเจริญกุศลทุกประการ นี้แหละเป็นพร คือ เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดในชีวิต
~ น่ากลัวมากทีเดียวสำหรับอบายภูมิ เพราะเหตุว่าใกล้ ไม่ไกล ถ้ารู้สึกว่าไกล ก็ไม่ค่อยกลัว แต่ถ้าคิดว่าใกล้ อาจจะเป็นวันนี้ พรุ่งนี้ เดือนนี้ ปีนี้ ก็อาจจะเห็นโทษของอกุศลแล้วก็เจริญกุศลยิ่งขึ้น
~ อีกไม่นาน ไม่มีใครทราบได้ว่า ใครจะหายไปจากโลกนี้ก่อนใคร
~ จุดประสงค์ในชีวิต นั้น ก็ควรจะเป็นการอบรมเจริญปัญญา เพื่อจะรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง เพราะมิฉะนั้นแล้ว ถ้าพลาดจากสุคติภูมิไปสู่อบายภูมิแล้ว ย่อมหมดโอกาสที่จะเจริญปัญญาจนกระทั่งจะให้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้
~ ถ้ามีสิ่งที่พอใจเกิดขึ้นขณะใด ให้ทราบว่าเป็นเหตุที่จะให้เกิดทุกข์ข้างหน้า ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่มีชีวิตหรือสิ่งที่ไม่มีชีวิต ก็ตาม ถ้าพลัดพรากจากสิ่งนั้น ขณะนั้นย่อมเป็นทุกข์ เพราะเหตุว่า ถ้ามีความพอใจ แสวงหาอารมณ์นั้น ก็ไม่ต้องการที่จะให้อารมณ์นั้นพลัดพรากจากไป เมื่อความพอใจมีอยู่ในที่ใด ย่อมมีทุกข์ซึ่งจะเกิดเพราะสิ่งนั้นในภายหลัง
~ ชีวิตประจำวัน เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า ความเข้าใจธรรม มีแค่ไหน เพราะเหตุว่า ถ้ายังร้ายเหมือนเดิม แล้วประโยชน์ที่ได้ฟังพระธรรมมีบ้างไหม แต่ว่า เคยร้าย แต่พอระลึกถึงพระธรรมเท่านั้น ขณะนั้น ละ แม้แต่คำร้ายๆ ที่จะพูด ก็สามารถที่จะรู้ได้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะมีหรือไม่ควรจะสะสมอีกต่อไป
~ สิ่งที่ประเสริฐที่สุดในบรรดาสิ่งทั้งหมดที่เกิดขึ้นในโลก ปัญญาประเสริฐที่สุด เพราะเหตุว่า ไม่ว่าจะยากไร้เจ็บไข้ได้ป่วย แต่ถ้ามีปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูก ขณะนั้น ไม่เดือดร้อน แต่ถึงแม้ว่าจะมั่งมีมากมาย มีชื่อเสียง มีคำสรรเสริญ มีคำยกย่อง มีลาภ ยศ แต่ถ้าขณะนั้น ไม่เข้าใจ จิตใจก็เป็นทุกข์ได้
~ ไม่รั้งรอที่จะกระทำความดีเท่าที่สามารถจะกระทำได้ เพราะเหตุว่าแม้ว่าจะกระทำความดีสักเท่าไรก็ยังไม่พออยู่นั่นเอง ตราบใดที่เมื่อไม่กระทำความดี จิตก็ต้องเป็นอกุศล เพราะฉะนั้น ก็ควรที่จะเจริญกุศลทุกประการ ด้วยการที่จะอบรมตนเองให้เป็นผู้ที่มีความอดทน แล้วก็คิดถึงคนอื่น แทนที่จะคิดถึงตนเองเสมอๆ ถ้าเป็นอย่างนี้ได้ ก็มีโอกาสที่กุศลจิตจะเกิดมากกว่าอกุศล
~ สะสมการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมไว้ เพื่อเข้าใจ เมื่อได้ฟังต่ออีก ความเข้าใจก็มีมากขึ้น
~ วัตถุทานหรืออามิสทาน สำเร็จได้ด้วยการมีอามิส มีวัตถุสิ่งของที่จะให้ ถ้าไม่มีสิ่งของ ก็ให้ไม่ได้
~ อภัยทาน (ให้ความไม่มีภัย) สำเร็จได้ด้วยศีล ถ้ามีศีล ความประพฤติที่ดีงาม ไม่ประทุษร้ายเบียดเบียนผู้อื่น ก็ย่อมเป็นการให้ความปลอดภัย ให้ความไม่มีภัยแก่ผู้อื่น
~ ธรรมทาน (ให้ความเข้าใจธรรม) สำเร็จได้ด้วยปัญญา เพราะมีปัญญา จึงสามารถเกื้อกูลให้ผู้อื่นได้เข้าใจธรรมตามความเป็นจริง ตรงตามพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง แต่ถ้าไม่มีปัญญา ก็ไม่สามารถให้ความเข้าใจถูกเห็นถูกแก่ผู้อื่นได้เลย
~ ไม่มีใครทำให้กิเลสของเราเกิดได้ นอกจากกิเลสของเราเอง
~ บางท่าน ก็อาจจะไม่ได้พิจารณาโดยละเอียดว่า ในการศึกษาธรรม มีตัณหาแอบแฝงอยู่หรือไม่ เพราะเหตุว่าบางคนอาจจะพอใจที่เป็นผู้รู้ธรรมหรือว่าเป็นผู้ที่เก่ง แทนที่จะรู้เพื่อขัดเกลา ยิ่งรู้ก็ยิ่งละ นี้จึงจะเป็นการศึกษาธรรมที่ถูกต้อง
~ ผู้ที่มีพระรัตนตรัยเป็นสรณะ เป็นที่พึ่งอย่างแท้จริง คือ เป็นที่พึ่งให้เกิดปัญญาของตนเอง เพื่อละคลายและดับกิเลสของตนเอง
~ ชีวิตประจำวัน จำเป็นต้องพูดหลายเรื่อง แต่ควรที่จะมีหิริ โอตตัปปะ ระลึกได้ว่าจิตในขณะที่พูดนั้นเป็นกุศลหรืออกุศล ถ้าเป็นกุศลแล้ว ย่อมเป็นการพูดที่เป็นประโยชน์
~ ธรรม ยาก ถ้าไม่เริ่มฟัง แล้วเมื่อไหร่จะเข้าใจ
~ เราไม่อยากได้ยินคำที่ไม่น่าฟัง แล้วเราพูดคำอย่างนั้นออกไปทำไม
~ ไหนๆ ก็จะตายอยู่แล้ว การเป็นคนดีและฟังพระธรรมให้เข้าใจ จะไม่ควรกว่าหรือ?
~ ความรักตัวมีมาก และเหนียวแน่นเหลือเกิน เพราะฉะนั้น การอบรมเจริญธรรมที่จะสละความยึดถือสิ่งที่เคยยึดถือว่าเป็นตัวเรา หรือว่าเป็นตัวตน เป็นสิ่งที่จะต้องอบรมเจริญ จนกว่าปัญญาสามารถที่จะรู้ชัด และละการยึดถือความเป็นตัวตนได้จริงๆ
~ ต้องเป็นผู้ที่กล้า และรู้จักตัวเองตามความเป็นจริง จึงจะได้ประโยชน์จากความรู้นั้น ถ้าเห็นว่าตัวเองดีแล้ว ก็ไม่มีทางที่จะทำอะไรอีกต่อไป เพราะว่าดีแล้ว แต่เมื่อใดก็ตามที่รู้ว่าตัวเองไม่ดี เมื่อนั้น เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะว่าคนอื่นไม่สามารถละความไม่ดีนั้นได้ นอกจากปัญญาของตัวเอง
~ ปัญหามาจากกิเลส ถ้าไม่มีกิเลส ไม่มีปัญหา ถ้าเป็นกุศล ก็ไม่มีปัญหา เพราะฉะนั้น ก็รู้ว่า จริงๆ แล้ว ปัญหาก็เป็นอกุศล ซึ่งเกิดเพราะความไม่รู้ แล้วหมดไปไม่ได้เลย ถ้ายังคงไม่รู้อยู่ ก็ยังต้องเป็นอย่างนี้
~ การศึกษาธรรม ก็จะทำให้เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง เป็นปกติในชีวิตประจำวัน เพราะเหตุว่าการไม่รู้สภาพความจริงของธรรม แล้วการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรามากมาย ไม่ใช่เฉพาะชาตินี้ชาติเดียว ไม่ใช่เฉพาะทางตาที่เห็น แม้กำลังได้ยิน แม้กำลังคิดนึกทั้งหมด เป็นธรรม ซึ่งถ้าไม่มีพื้นฐานความเข้าใจที่ถูกต้องมั่นคง ไม่มีทางที่จะเห็นถูกต้อง และละความเห็นผิดได้ เพราะเหตุว่ายังคงมีเรา ไม่สิ่งนั้นก็สิ่งนี้ ก็ยังเป็นเราอยู่
~ เวลาที่ฟังคำว่า “ละชั่ว” ไม่ได้หมายความว่าให้ไปละ แล้วทำได้ แต่ต้องเป็นการเข้าใจถูกเห็นถูกว่า อะไรชั่ว ชั่วจริงหรือเปล่า ดีต่างกับชั่วอย่างไร ขณะที่รู้อย่างนั้นไม่ใช่เราเลย แต่เป็นปัญญาซึ่งทำหน้าที่ละความไม่รู้ในขณะนั้นเอง
~ การศึกษาธรรม โดยที่ไม่รู้ว่า ขณะนี้เป็นธรรม จะไม่นำมาซึ่งประโยชน์ เพราะเหตุว่าเป็นแต่เพียงชื่อ ทั้งๆ ที่ขณะนี้ตัวธรรมก็มี แต่ไปจำชื่อ แต่ไม่รู้ลักษณะจริงๆ ของสภาพธรรม เพราะฉะนั้นการฟังธรรมก็ต้องละเอียดที่จะรู้จุดประสงค์ว่า ไม่ว่าจะศึกษาเมื่อไร ชาติไหน ได้ยินได้ฟังพระธรรมมาแล้ว และกำลังได้ยินได้ฟังอีก และจะได้ยินต่อไปก็เพื่อจะได้มีความเห็นถูก เข้าใจถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นธรรม
~ สิ่งที่มีจริงที่ใช้คำว่าเป็นธรรม หรือว่าเป็นธาตุ ธาตุ ธา-ตุ หมายความว่า เป็นสิ่งที่มีโดยที่ไม่มีใครสร้าง ไม่มีใครเป็นเจ้าของ แต่ว่าสิ่งนี้มีปัจจัยก็เกิดขึ้น ถ้าไม่มีปัจจัยก็ไม่เกิด ขณะนี้ใครโกรธบ้าง มีไหม มีหรือไม่มี? มี เพราะฉะนั้น นี่ก็แสดงว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงๆ ในขณะนี้จะเกิดปรากฏว่ามี ต่อเมื่อมีเหตุหรือมีปัจจัยที่ทำให้เกิดขึ้น จึงเป็นธรรม และก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร
~ ลองคิดดู ใครก็ตามที่มีเกียรติยศใหญ่ มีชื่อเสียงมาก มีเงินทองมหาศาล ก็เป็นที่ติเตียนในความประพฤติที่ไม่ดี ทางกายวาจา และรวมไปถึงใจด้วย ถ้าเป็นผู้ที่โหดร้าย แต่ว่าผู้ที่เป็นผู้ที่ดี เป็นกุศล ถึงจะไม่มีลาภ ยศ สรรเสริญ สุขอย่างนั้น แต่ก็ไม่มีใครไปติเตียน
~ เกิดมา เป็นคนนี้ ไม่นานแน่นอนก็จะหมดความเป็นบุคคลนี้ แต่คนต่อไปที่จะเกิดต่อจากการเป็นบุคคลนี้จะเป็นอย่างไรแล้วแต่ชาตินี้ด้วย ที่เป็นส่วนประกอบที่จะทำให้บุคคลนั้นเป็นอย่างที่เคยเป็นหรือเคยสะสมมาแล้ว ถ้าไม่เคยเห็นประโยชน์ของการฟังธรรมเลย กี่ชาติให้ฟังธรรม แสดงประโยชน์ เขาก็ไม่ฟัง
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๙๒
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง กราบขอบพระคุณอ.คำปั่นและกราบอนุโมทนาในกุศลทุกๆ ท่านค่ะ
กราบอนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
เมื่อยังมีชีวิตอยู่ มีโอกาสได้เจริญกุศล และอบรมปัญญา ด้วยการศึกษาพระธรรมจากคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คุ้มค่าที่สุดของเวลาที่ยังมีลมหายใจในแต่ละวัน
กราบบูชาพระคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง
กราบขอบพระคุณ อ.คำปั่นและยินดีในกุศลด้วยค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบอนุโมทนาครับ
อนุโมทนาค่ะ
กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
อนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ