ตราบใดที่ยังมีผู้ศึกษาและปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์อยู่ ตราบนั้นโลกก็จะไม่ว่างเว้นพระอรหันต์ เป็นความเข้าใจที่ถูกต้องไหมคับ
เพราะปัจจุบันไม่มีผู้สนใจศึกษาจริงจังแล้ว รังเกียจการศึกษาพระธรรมอีกต่างหาก ขนาดถึงกับกล่าวตู่ ร้อยเรียงใหม่ สนใจแต่คำกวี คำปราชญ์ ต่อว่าพระอภิธรรมซึ่งถือเป็นพระปัญญาคุณของพระพุทธเจ้า ก็ดูเอาเถิด ประโยคที่ท่านยกมา กล่าวไม่ผิดเพราะเหตุนี้แหละค่ะ
มีพระอรหันต์ไหมในยุคปัจจุบัน
[เล่มที่ 37] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้าที่ 554
ข้อความบางตอนจาก อรรถกถาโคตมีสูตร
ก็คำว่า วสฺสสหสฺส นี้ ตรัสโดยมุ่งถึงพระขีณาสพผู้บรรลุปฏิสัมภิทาเท่านั้น แต่เมื่อกล่าวให้ยิ่งไปกว่านั้น ๑,๐๐๐ ปี โดยมุ่งถึงพระขีณาสพผู้สุกขวิปัสสก ๑,๐๐๐ ปี โดยมุ่งถึงพระอนาคามี ๑,๐๐๐ โดยมุ่งถึงพระสกทาคามี ๑,๐๐๐ ปี โดยมุ่งถึงพระโสดาบันปฏิเวธสัทธรรมถูกดำรงอยู่ได้ ๕,๐๐๐ ปี โดยอาการดังกล่าวมานี้แม้พระปริยัติธรรมก็ดำรงอยู่ได้ ๕,๐๐๐ ปีนั้นเหมือนกัน. เพราะเมื่อปริยัติธรรมไม่มี ปฏิเวธธรรมก็มีไม่ได้ แม้เมื่อปริยัติธรรมไม่มี ปฏิเวธธรรมไม่มี ก็เมื่อปริยัติธรรมแม้อันตรธานไปแล้ว เพศ (แห่งบรรพชิต) ก็จักแปรเป็นอย่างอื่นไปแล
หลังพันปีแรก อธิคมยังไม่อันตรธาน แต่เสื่อม จะอันตรธานเมื่อพระโสดาบันคนสุดท้ายสิ้นชีวิต อธิคมจึงอันตรธาน
[เล่มที่ 32] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 167
อธิคมนั้น เมื่อเสื่อม ย่อมเสื่อมไปตั้งแต่ปฏิสัมภิทา. จริงอยู่ นับตั้งแต่พระพุทธเจ้าปรินิพพานได้ ๑๐๐๐ ปีเท่านั้น ภิกษุไม่สามารถจะให้ปฏิสัมภิทาบังเกิดได้ ต่อแต่นั้นก็อภิญญา ๖. แต่นั้นเมื่อไม่สามารถทำอภิญญาให้บังเกิดได้ ย่อมทำวิชชา ๓ ให้บังเกิด. ครั้นกาลล่วงไปๆ เมื่อไม่สามารถจะทำวิชชา ๓ ให้บังเกิด ก็เป็นพระอรหันต์สุขวิปัสสกโดยอุบายนี้เอง ก็เป็นพระอนาคามี พระสกทาคามี และพระโสดาบัน. เมื่อท่านเหล่านั้นยังทรงชีพอยู่ อธิคมชื่อว่ายังไม่เสื่อม อธิคมชื่อว่าย่อมเสื่อมไป เพราะความสิ้นไปแห่งชีวิตของพระอริยบุคคลผู้โสดาบันชั้นต่ำสุดดังกล่าวนี้ ชื่อว่าอันตรธานแห่งอธิคม.
พันปีที่สอง ปฏิบัติยังไม่อันตรธาน เพราะยังมีภิกษุที่รักษาศีล มีอยู่ แม้เป็นพันปีที่ ๓ ก็มีผู้ที่ได้ วิปัสสนา จึงชื่อว่า ปฏิบัติยังไม่อันตรธาน ในพันปีที่สอง พันปีที่สาม ปริยัติยังไม่อันตรธาน ซึ่งปริยัติจะอันตรธาน ก็เมื่อ พระราชาผู้มีศรัทธา
[เล่มที่ 32] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 168
บทว่า ปริยตฺติ ได้แก่ บาลีพร้อมทั้งอรรถกถาในพุทธพจน์คือ พระไตรปิฎก บาลีนั้นยังคงอยู่เพียงใด ปริยัติก็ชื่อว่ายังบริบูรณ์อยู่เพียงนั้น เมื่อเวลาล่วงไปๆ ปริยัติ ย่อมเสื่อม ภิกษุทั้งหลายไม่สามารถจะทรงจำอรรถไว้ได้ ทรงจำไว้ได้แต่พระบาลีเท่านั้น. แต่นั้นเมื่อกาลล่วงไป ก็ไม่สามารถจะทรงบาลีไว้ได้ทั้งสิ้น. อภิธรรมปิฎกย่อมเสื่อมก่อน. เมื่อเสื่อม ก็เสื่อมตั้งแต่ท้ายมา. จริงอยู่ ปัฏฐานมหาปกรณ์ย่อมเสื่อมก่อนทีเดียว เมื่อปัฏฐานมหาปกรณ์เสื่อม ยมก กถาวัตถุ บุคคลบัญญัติ ธาตุกถาธัมมสังคณี ก็เสื่อม เมื่ออภิธรรมปิฎกเสื่อมไปอย่างนี้ สุตตันตปิฎกก็เสื่อมตั้งแต่ท้ายมา อังคุตตรนิกายเสื่อมก่อน ทีฆนิกายเสื่อมตั้งแต่ท้ายมา พระสุตตันตปิฎกชื่อว่าย่อมเสื่อม. ทรงไว้เฉพาะชาดกกับวินัยปิฎกเท่านั้น. ภิกษุผู้เป็นลัชชีเท่านั้นทรงพระวินัยปิฎก. ส่วนภิกษุผู้หวังในลาภ คิดว่า แม้เมื่อกล่าวแต่พระสูตรก็ไม่มีผู้จะกำหนดได้ จึงทรงไว้เฉพาะชาดกเท่านั้น. เมื่อเวลาล่วงไปๆ แม้แค้ชาดกก็ไม่สามารถจะทรงไว้ได้.…. ภิกษุทั้งหลายย่อมทรงไว้เฉพาะพระวินัยปิฎกเท่านั้น. เมื่อกาลล่วงไปๆ ก็ไม่สามารถจะทรงไว้ได้แม้แต่พระวินัยปิฎกแต่นั้นก็เสื่อมตั้งแต่ท้ายมา. คัมภีร์บริวารเสื่อมก่อน ต่อแต่นั้น ขันธกะภิกษุณีวิภังค์ ก็เสื่อม แต่นั้น ก็ทรงไว้เพียงอุโปสถขันธกเท่านั้นตามลำดับ. แม้ในกาลนั้น ปริยัตติก็ชื่อว่ายังไม่เสื่อม ก็คาถา ๔ บาทยังหมุนเวียนอยู่ในหมู่มนุษย์เพียงใด ปริยัตติก็ชื่อว่ายังไม่อันตรธาน เพียงนั้น. ในกาลใด พระราชาผู้มีศรัทธาเลื่อมใสทรงให้ใส่ถุงทรัพย์ หนึ่งแสนลงในผอบทองตั้งบนคอช้าง แล้วให้ตีกลองร้องประกาศไปในพระนครว่า ชนผู้รู้คาถา ๔ บท ที่พระพุทธเจ้าตรัสแล้ว จงถือเอาทรัพย์หนึ่งแสนนี้ไป ก็ไม่ได้คนที่จะรับเอาไป แม้ด้วยการให้เที่ยวตีกลองประกาศคราวเดียว ย่อมมีผู้ได้ยินบ้าง ไม่ได้ยินบ้าง จึงให้เที่ยวตีกลองประกาศไปถึง ๓ ครั้ง ก็ไม่ได้ผู้ที่จะรับเอาไป. ราชบุรุษทั้งหลาย จึงให้ขนถุงทรัพย์ ๑๐๐,๐๐๐ นั้น กลับสู่ราชตระกูลตามเดิม.ในกาลนั้น ปริยัตติ ชื่อว่า ย่อมเสื่อมไป ดังว่านี้ ชื่อว่า การอันตรธานแห่งพระปริยัตติ.
ดังนั้น คาถา 4 บท ยังวนเวียนอยู่ก็ไม่ชื่อว่าอันตรธาน ยุคปัจจุบันจึงยังไม่อันตรธานของปริยัติ ปริยัติอันตรธาน เป็นเหตุแห่งการอันตรธานทั้งหมด
[เล่มที่ 32] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 172
การอันตรธานแห่งปริยัตินั่นแล เป็นมูลแห่งอันตรธาน ๕ อย่างนี้ ชื่อว่า อันตรธานมี ๕ อย่าง คือ อธิคมอันตรธาน อันตรธานเห่งการบรรลุ ๑ ปฏิปัตติอันตรธาน อันตรธานแห่งการปฏิบัติ ๑ ปริยัตติอันตรธาน อันตรธานแห่งปริยัติ ๑ ลิงคอันตรธาน อันตรธานแห่งเพศ ๑ ธาตุอันตรธาน อันตรธานแห่งธาตุ ๑.
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ในศาสนาของพระสมณโคดมพระองค์นี้ ตั้งอยู่ได้ ๕๐๐๐ ปี แล้วค่อยๆ เสื่อมไปตามลำดับค่ะ
ในพันปีแรก มีการบรรลุ มรรค ผล นิพพาน เป็นพระอรหันต์พร้อมด้วยปฏิสัมภิทา และอภิญญา
ในพันปีที่สอง มีการบรรลุ มรรค ผล นิพพาน เป็นพระอรหันต์ที่เป็นสุกขวิปัสสกะ (ไม่ได้ฌาน)
ในพันปีที่สาม มีการบรรลุ มรรค ผล นิพพาน เป็นพระอนาคามี
ในพันปีที่สี่ มีการบรรลุ มรรค ผล นิพพาน เป็นพระสกทาคามี
ในพันปีที่ห้า มีการบรรลุ มรรค ผล นิพพาน เป็นพระโสดาบัน
ค่ะ คำตอบของดิฉันตรงกับความคิดเห็นที่ ๔ พระพุทธองค์ท่านตรัสไว้ว่า ศาสนาของพระพุทธองค์จะคงอยู่ได้น้อย แค่ ๕๐๐๐ ปีเท่านั้น ก่อนเมื่อศาสนานี้จะหมดจะสิ้นเมื่อปี ๔๙๙๙ ปี กับ ๑๑ เดือน ๒๒ วัน พระอัฏฐิฐาติของพระพุทธเจ้าจะเสด็จไปรวมกันด้วยอำนาจอภิญญา ตามที่พระองค์ได้ทรงอธิษฐานไว้ก่อนแต่ปรินิพพาน เป็นองค์พระพุทธเจ้า เทศน์โปรดสอนเทวดาอยู่ใต้ต้นศรีมหาโพชณ์ ๗ วัน ๗ คืน มีเทวดาได้ฟังธรรมประมาณ ๘๔,๐๐๐ องค์
เรียนคุณสุจิตรา กรุณาแสดงที่มาด้วยครับว่า ข้อมูลที่นำมาแสดงมาจากไหน
... เชิญคลิกอ่าน ...
อันตรธานของพระธาตุ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ทุกท่านเป็นสหายธรรม เป็นเพื่อนร่วมในสังสารวัฏฏ์กันทั้งนั้นครับ ดังนั้น มีอะไรก็แลกเปลี่ยนกัน ที่สำคัญ ก็ต้องพิจารณาเหตุผล และเทียบเคียงกับพระไตรปิฎกที่เป็นคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าครับ สนทนาธรรมกันได้ครับ เว็ปนี้ต้อนรับทุกท่านเสมอ ครับ
ขออนุโมทนาในกุศลที่สนใจพระธรรม
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
เรื่อง การพิจารณาธรรมว่าสิ่งใดถูกต้องเทียบเคียงกับพระธรรมวินัย
... เชิญคลิกอ่าน ...
ควรทิ้งคำกล่าวที่ผิดไปจากคำสอนแม้เป็นคำของภิกษุผู้เป็นเถระ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย