เคยได้ยินเรื่องพระน้านางของพระพุทธเจ้าเป็นโรคเกี่ยวกับผิวหนัง แล้วพระพุทธเจ้า
แนะนำให้ไปทำความสะอาดลานวัดลานเจดีย์ แล้วทำให้โรคที่เป็นเกี่ยวกับโรคผิวหนัง
หาย ดังนั้นทราบว่าเรื่องที่ที่ได้ยินมามีข้อมูลหรือไม่ จึงขอเรียนถามดังนี้ครับ
1. ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวนี้อยู่ในพระไตรปิฏกเล่มไหน โปรด Link ข้อมูลด้วยครับ
2. โรคผิวหนังที่หายเกิดจากผลของกุศลที่ได้ไปทำความสะอาดลานวัดลานเจดีย์ ไป
เบียดเบียนผลของอกุศลกรรมใช่หรือไม่
3. แล้วสาเหตุอะไรที่ทำให้โรคผิวหนังของพระน้านางของพระพุทธเจ้าหายครับ
อนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย จากเรื่องที่คุณ ที่พึ่งที่ระลึก กล่าวมานั้น ไม่ใช่พระน้านางของพระพุทธเจ้า แต่เป็นเรื่องของ เจ้าหญิงโรหิณี ซึ่งเป็นพระน้องนางของท่านพระอนุรุทธะครับ
กระผมขอเล่าเรื่องนี้ เพื่อเป็นประโยชน์และเป็นเรื่องที่ดี ควรแก่การศึกษาครับ
สมัยหนึ่งท่าพระอนุรุทธะ กลับไปที่เมืองกบิลพัสดุ์ เมื่อพระญาติทั้งหลายทราบว่า
ท่านพระอนุรุทธะมาก็พากันมาหาท่านพระอนุรุทธะ เว้น แต่เจ้าหญิงโรหิณี ซึ่งเป็นน้อง
ของท่านพระอนุรุทธะ ท่านพระอนุรุทธะ จึงถามญาติท่านว่า นางไปไหน พระญาติก็
กล่าวกับพระเถระว่า เจ้าหญิงละอายไม่กล้ามา เพราะเป็นโรคผิวหนัง ท่านพระอนุรุทธะ
ก็บอกกลับพระญาติให้พานางมา เมื่อเจ้าหญิงโรหิณีมาพบท่านแล้ว เจ้าหญิงก็บอก
เหตุผลที่ไม่กล้ามาเพราะละอายที่เป็นโรคผิวหนัง ท่านพระอนุรุทธะจึงแนะว่า การทำ
บุญไม่ควรหรือ เจ้าหญิงก็ถามว่าทำบุญอะไร ท่านก็แนะว่า สร้างโรงฉัน และเจ้าหญิง
โรหิณีก็ขายเครื่องประดับที่มีอยู่ ได้หนึ่งหมื่น และก็สร้างโรงฉัน สองชั้น และตัวเจ้า
หญิงเอง ก็เริ่มกวาดโรงฉันที่ชั้นแรก ให้เรียบร้อย ขณะที่กวาดโรงฉัอยู่นั่นเอง โรคผิว
หนังได้หายไปแล้ว เมื่อโรงฉันเสร็จ พระนางก็นิมนต์ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็น
ประมุข ถวายโรงฉันและภัตตาหาร เมื่อเสร็จภัตกิจแล้วพระพุทธเจ้าจึงถามว่า นี้เป็น
ทานของใคร ซึ่งคนเหล่านั้นก็กราบทูลว่า เป็นทานของพระนางโรหิณี พระพุทธเจ้า
จึงให้คนไปตามพระนางมา และก็ได้ตรัสว่า เธอรู้ไหม ที่เธอเป็นโรคผิวหนังเพราะเป็น
อดีตกรรมของเธอ เมื่อครั้งที่เธอ เป็นอัครมเหสี โกรธในหญิงฟ้อนรำ เอาหมามุ้ย โปรย
ใส่นาง จนนางคันเป็นแผลพุพองและพระพุทธเจ้าตรัสเล่าจบก็ตรัสกับพระนางโรหิณีว่า
ความโกรธและริษยาเล็กน้อยไม่ดีเลย และพระองค์ก็กล่าวธรรม จบพระธรรมเทศนา
ชนเป็นอันมาก บรรลุเป็นพระโสดาบัน รวมทั้งพระนางโรหิณีด้วยก็ได้บรรลุป็นพระ
โสดาบัน เมื่อเจ้าหญิงโรหิณีเป็นพระโสดาบันแล้ว วรรณะ ผิวพรรณก็เป็นประดุจทอง
ขอเล่าเพียงสังเขปเท่านี้ครับ
-----------------------------------------------------------------------
1. ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวนี้อยู่ในพระไตรปิฏกเล่มไหน โปรด Link ข้อมูลด้วยครับ
เรื่องเจ้าหญิงโรหิณี อยู่ในพระสูตร คาถาธรรมบท เล่มที่ 42 ฉบับบมหามกุฎราช
วิทยาลัย หน้า 426 ครับ หรือ คลิกที่ลิ้งข้างล่างนี้อ่านก็ไ้ด้ครับ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓ - หน้าที่ 426
จากคำถามที่ว่า
โรคผิวหนังที่หายเกิดจากผลของกุศลที่ได้ไปทำความสะอาดลานวัดลานเจดีย์ไป
เบียดเบียนผลของอกุศลกรรมใช่หรือไม่
-------------------------------------------------------------------------
จากที่เจ้าของกระทู้กล่าว ถูกต้องครับ เพราะกรรมที่ทำในปัจจุบัน ที่เป็นการกวาดลาน
โรงฉันและการถวายโรงฉัน กรรมที่เป็นกุศลกรรมเบียดเบียน กรรมที่เป็นอกุศลกรรม
คือ โรคผิวหนังอันเป็นกรรมอดีตไม่ให้ผลอีกต่อไป คือไม่เป็นโรคผิวหนังครับ อันเป็น
เพราะกรรมดีที่มีกำลังเบียดเบียน อกุศลกรรมในอดีตครับ ที่เป็นอุปปีฬกกรรม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓- หน้าที่ 130
อธิบายอุปปีฬกกรรม
ในอุปปีฬกกรรมนั้น มีนัยดังต่อไปนี้. เมื่อกุศลกรรมกำลังให้ผล
อกุศลกรรมจะเป็นอุปปีฬกกรรมไม่ให้ (โอกาส) กุศลกรรมนั้นให้ผล. แม้เมื่อ
อกุศลกรรมนั้นกำลังให้ผลอยู่ กุศลกรรมจะเป็นอุปปีฬกกรรมไม่ให้ (โอกาส)
อกุศลกรรมนั้นให้ผล. ต้นไม้ กอไม้ หรือเถาวัลย์ ที่กำลังเจริญงอกงาม
ใครคนใดคนหนึ่งเอาไม้มาทุบ หรือเอาศาสตรามาตัด เมื่อเป็นเช่นนั้น
ต้นไม้กอไม้หรือเถาวัลย์นั้นจะต้องไม่เจริญงอกงามขึ้นฉันใด กุศลกรรมก็
ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อกำลังให้ผล (แต่ถูก) อกุศลกรรมเบียดเบียน หรือว่า
อกุศลกรรมกำลังให้ผล (แต่ถูก) กุศลกรรมบีบคั้นจะไม่สามารถให้ผลได้
----------------------------------------------------------------
จากคำถามที่ว่า
แล้วสาเหตุอะไรที่ทำให้โรคผิวหนังของพระน้านางของพระพุทธเจ้าหายครับ
สาเหตุที่เจ้าหญิงโรหิณี ทีเป็นพระน้องนางของท่านพระอนุรุทธะ หายจากโรค
ผิวหนัง ก็ต้องเป็นเพราะผลของบุญที่ทำคือการถวายโรงฉันและมีการทำกุศลคือกวาด
โรงฉันนั่นเองครับ กุศลกรรมเท่านั้นที่จะเบียดเบียนอกุศลกรรมที่ให้ผลเป็นโรคผิวหนัง
ไม่ให้เป็นโรคผิวหนัง เพราะกุศลกรรมเบียดเบียน อกุศลกรรมไม่ให้ผลนั่นเองครับ
หรือ การไม่เป็นโรคผิวหนังอีก เพราะหมดอกุศลกรรมที่จะให้ผล ดังนั้น การหายจากโรค
ผิวหนัง จึงหายได้เพราะอกุศลกรรมหมดกำลัง คือไม่ให้ผลอีก และอีกเหตุผลหนึ่งที่จะ
หายโรคผิวหนัง เพราะกุศลกรรมให้ผลเบียดเบียน ที่เป็นอุปปีฬกกรรม หรือ กุศลกรรม
บางอย่างที่ตัดรอน อกุศกรรมไม่ให้ผลและกุศลกรรมให้ผลแทน ที่เป็นอุปฆาตกรรม
ซึ่งในกรณีของเจ้าหญิงโรหิณี เป็นประการที่สอง คือ กุศลกรรมในปัจจุบันที่มีกำลังเบียดเบียนอกุศลกรรมที่ให้ผลอยู่ที่เป็นโรคผิวหนัง เมื่อกุศลกรรมเบียดเบียน
อกุศลกรรม อกุศลกรรมก็ไม่ให้ผลอีกท่านก็ไม่เป็นโรคผิวหนังอีกครับ อันเป็นผล
ของบุญนั่นเองครับ ที่ทำให้หายโรคผิวหนัง ซึ่งท่านพระอนุรุทธะท่านก็ได้แนะน้อง
สาวของท่านตั้งแต่แรกว่า ให้เจ้าหญิงโรหิณีทำบุญ มีการถวายโรงฉัน นั่นเองครับ
ซึ่งหากได้อ่านพระไตรปิฎก ก็จะเห็นตัวอย่างหลายตัวอย่างที่แสดงถึง กรรมดี ที่
เป็นกุศลกรรมตัดรอน อกุศลกรรมไม่ให้อกุศลกรรมนั้นให้ผลอีก เช่น สูจิโลมยักษ์ มี
ผิวพรรณทราม น่าเกลียด แต่เมื่อได้ฟังพระธรรมที่พระพุทธเจ้าแสดงจบ ได้บรรลุเป็น
พระโสดาบันแล้ว กุศลกรรมใหญ่คือความเป็นพระโสดาบัน ตัดรอนไม่ให้อกุศลกรรม
ที่มีรูปร่างน่าเกลียด ผิวหนังหยาบ น่าเกลียด ให้หายทันที และกลับมีผิวพรรณดุจ
ทองทันที นี่แสดงให้เห็นกุศลกรรมใหญ่คือความเป็นพระโสดาบัน ตัดรอนอกุศกลรรมที่
ให้ผล ไม่ให้ผลอีก กุศลกรรมให้ผลแทนที่ครับ เช่นเดียวกับ เรื่องเจ้าหญิงโรหิณี ที่
กวาดลานโรงฉัน ท่านก็หายโรคผิวหนัง รวมทั้งเมื่อเจ้าหญิงฟังธรรมจบ บรรลุเป็นพระ
โสดาบัน ผิวพรรณท่านก็เป็นดุจทองขึ้นมาทันทีเพราะกุศลกรรมใหญ่ มีความเป็นพระ
โสดาบันให้ผลนั่นเองครับ
เรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงความเป็นเหตุปัจจัยของการให้ผลของกุศลกรรมและอกุศลกรรม
ว่ามีเหตุปัจจัยหลายประการ อันเป็นพระปัญญาคุณของพระพุทธเจ้า ประโยชน์ที่ได้
จากเรื่องนี้ จึงควรเห็นประโยชน์ของการเจริญกุศลทุกประการ เพราะขณะที่ไม่ใช่กุศล
ก็ส่วนใหญ่เป็นอกุศลนั่นเอง และที่สำคัญการศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรมย่อมทำให้
เป็นผู้เห็นถูก มีปัญญาและกุศลประการต่างๆ ก็เจริญขึ้นตามปัญญา อันเกิดจากการ
ศึกษาพระธรรมครับ ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนาครับ
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
เรียนความเห็นที่ 4 ครับ
กรรมดีที่มีกำลัง คือ กรรมดีที่เป็นกุศล ประกอบด้วยปัญญา เช่น สมถภาวนาหรือ
วิปัสสนาภาวนา นี่เป็นกรรมดีที่มีกำลัง เพราะเป็นกุศลที่ประกอบด้วยปัญญานั่นเอง
อีกนัยหนึ่ง กุศลที่มีกำลังเพราะเป็นกุศลที่ประกอบด้วยปัญญาและถวายหรือทำกับ
วัตถุที่เลิศ คือ ทำกับพระพุทธเจ้า เป็นต้นและประกอบด้วยจิตที่ผ่องใสและมีปัญญา
ในขณะนั้น ผลบุญก็มาก ทำให้พระนางโรหิณี หายจากโรคผิวหนังได้ ดังนั้นกุศลที่ดี
มีกำลังจึงด้วยหลายเหตุปัจจัย คือ เป็นกุศลที่ประกอบด้วยปัญญา รวมทั้งถ้าเป็นเรื่อง
ของทานก็คือถวายกับวัตถุที่เลิศ มีพระพุทธเจ้าและสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า เป็นต้น
ในพระวินัยปิฏก เล่ม 7 หน้า 94 แสดงไว้ว่า นางสุปปิยา ให้สาวใช้ไปหาเนื้อ
วันนั้นไม่มีเนื้อขาย นางสุปปิยา ก็ตัดเนื้อขาของตัวเอง มาต้มถวายให้กับพระภิกษุที่
อาพาธ พอนางได้แข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ด้วยอนุภาพของพระพุทธเจ้าและกุศลที่นาง
ได้ทำมา ทำให้เนื้อขางอกขึ้นหายเป็นปกติเหมือนเดิมค่ะ
ขอนอบน้อมแ่ด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ประโยชน์ของการฟัง การศึกษาพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง ก็เพื่อเข้าใจธรรมตามความเป็นจริง และธรรมก็ไม่ได้อยู่ในหนังสือ แต่มีจริงทุกขณะ แม้แต่ในเรื่องกรรม และ ผลของกรรม ก็เป็นธรรม ไม่พ้นจากธรรมเลย เพราะกรรม เป็นเจตนาเป็นความจงใจตั้งใจขวนขวายที่จะกระทำ ซึ่งที่เข้าใจกัน มีทั้งกระทำกรรมดี และ กระทำกรรมไม่ดี เป็นเหตุที่จะำำำทำให้ได้รับผลข้างหน้า ตามเหตุตามปัจจัย [แต่ละเอียดยิ่งไปกว่านั้น คือ เจตนา เป็นเจตสิกที่เกิดกับจิตทุกประเภท] ส่วนผลของกรรม มี ๒ อย่าง คือ เป็นนามธรรม กับ รูปธรรม นามธรรม ได้แก่ วิบากจิต และ เจตสิกที่เกิดร่วมด้วย ส่วนรูป ที่เป็นผลของกรรม ได้แก่ กัมมชรูป เช่น ตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นต้น เป็นรูปที่เกิดจากกรรม
เมื่อได้ศึกษาในเรื่องกรรมและผลของกรรมแล้ว ก็จะเป็นเครื่องเตือนทีดีในการดำเินินชีวิตในปัจจุบัน เพราะในอดีตชาติเราก็เคยได้กระทำกรรมมาแล้ว ทั้งดี ทั้งไม่ดี โดยเฉพาะในส่วนที่ไม่ดี นั้น เราไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขหรือทำอะไรได้ แต่ในขณะนี้ ก็สามารถสะสมในสิ่งที่ดีงามต่อไปได้ ด้วยความเป็นผู้ไม่ประมาท ไม่ประมาทในการสะสมความดีประการต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นการสะสมเหตุทีดี ที่จะเป็นเหตุให้ได้รับผลที่ดีในอนาคตข้างหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ การฟังพระธรรมศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา สะสมความเห็นที่ถูกต้องตรงตามพระธรรม เมื่อมีความเ้ข้าใจธรรมมากๆ ขึ้น ก็จะเป็นเครื่องอุปการะให้มีความประพฤติเป็นไปทางกายทางวาจา และทางใจ ดีขึ้น ทำให้เป็นผู้ถอยกลับจากอกุศลไปตามลำดับ ความดีที่ได้สะสมไว้นี้ ไม่สูญหายไปไหน สะสมสืบต่ออยู่ในจิตทุกขณะ และ ความดี ย่อมนำมาซึ่งสิ่งที่ดี ไม่เคยนำความทุกข์ ความเดือดร้อนมาให้เลยแม้แต่น้อย, เราไม่สามารถรู้ได้ว่า กรรมใด จะให้ผลเมื่อใด ทางที่ดีที่สุด คือ สะสมความดี ต่อไป ส่วน สิ่งที่ไม่ดี ไม่ควรสะสมให้มีมากขึ้น ครับ ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ