๙. นาวาสูตร ว่าด้วยความสิ้น และไม่สิ้นไปแห่งอาสวะ
โดย บ้านธัมมะ  7 ก.ย. 2564
หัวข้อหมายเลข 36865

[เล่มที่ 27] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ - หน้า 347

๙. นาวาสูตร

ว่าด้วยความสิ้น และไม่สิ้นไปแห่งอาสวะ


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 27]



ความคิดเห็น 1    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 1 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ - หน้า 347

๙. นาวาสูตร

ว่าด้วยความสิ้น และไม่สิ้นไปแห่งอาสวะ

[๒๖๐] กรุงสาวัตถี. ฯลฯ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราตถาคต กล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ของภิกษุผู้รู้อยู่ เห็นอยู่ ไม่กล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ของภิกษุผู้ไม่รู้อยู่ ไม่เห็นอยู่ ภิกษุทั้งหลาย เมื่อรู้ เมื่อเห็นอะไร จึงมีความสิ้นอาสวะ? เมื่อบุคคล รู้รูปอย่างนี้ การเกิดขึ้นแห่งรูปอย่างนี้ ความดับสูญไปแห่งรูปอย่างนี้ เวทนาอย่างนี้ ... สัญญาอย่างนี้ ... สังขารอย่างนี้ ... วิญญาณอย่างนี้ ความเกิดขึ้นแห่งวิญญาณอย่างนี้ ความดับสูญไปแห่งวิญญาณอย่างนี้


ความคิดเห็น 2    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 1 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ - หน้า 348

(จึงมีความสิ้นไปแห่งอาสวะ) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลรู้อยู่ เห็นอยู่ อย่างนี้แล จึงมีความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย.

[๒๖๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุไม่ประกอบเนืองๆ ซึ่งภาวนานุโยคอยู่ ถึงจะเกิดความปรารถนาว่า ไฉนหนอ จิตของเราพึงหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลายเพราะไม่ยึดมั่นก็จริง. แต่ที่แท้ จิตของเขาก็ไม่หลุดพ้นจากอาสวะเพราะไม่ยืดมั่นได้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร? ข้อนั้นพึงกล่าวได้ว่าเพราะไม่ได้อบรมแล้ว. เพราะไม่ได้อบรมอะไร? เพราะไม่ได้อบรมสติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ (และ) มรรคมีองค์ ๘. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฟองไข่ของแม่ไก่ ๘ ฟองบ้าง ๑๐ ฟองบ้าง ๑๒ ฟองบ้าง ที่แม่ไก่ไม่ได้นอนทับ ไม่ได้กก ไม่ได้ฟัก ถึงแม่ไก่นั้นจะเกิดความปรารถนาอย่างนี้ขึ้นว่า ไฉนหนอ ลูกของเรา จะพึงใช้ปลายเล็บเท้าหรือจะงอยปาก เจาะกะเปาะฟองออกมาโดยสวัสดี ก็จริงแล แต่ทว่า ไม่ควรที่ลูกไก่เหล่านั้น จะใช้ปลายเล็บเท้าหรือจะงอยปาก เจาะกะเปาะฟองออกมาโดยสวัสดีได้. ข้อนั้นเพราะเหตุไร? ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะว่าฟองไข่ของแม่ไก่ ๘ ฟอง ๑๐ ฟอง หรือ ๑๒ ฟอง แม่ไก่ไม่ได้นอนทับ ไม่ได้กก ไม่ได้ฟักเลย ฉันใด. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุไม่ได้ประกอบเนืองๆ ซึ่งภาวนานุโยคอยู่ ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล ถึงจะเกิดความปรารถนาอย่างนี้ว่า ไฉนหนอ จิตของเราจะพึงพ้นจากอาสวะทั้งหลายเพราะไม่ยึดมั่น ก็จริงแล แต่ที่แท้ จิตของเธอจะไม่หลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลายเพราะไม่ยึดมั่นได้. ข้อนั้นเพราะเหตุไร? ข้อนั้นพึงกล่าวได้ว่าเพราะไม่ได้อบรมแล้ว. เพราะไม่ได้อบรมอะไร? เพราะไม่ได้อบรมสติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ และ มรรคมีองค์ ๘. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุประกอบเนืองๆ ซึ่ง


ความคิดเห็น 3    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 1 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ - หน้า 349

ภาวนานุโยคอยู่ ถึงจะไม่เกิดความปรารถนาขึ้นอย่างนี้ว่า ไฉนหนอ จิตของเราจะพึงพ้นจากอาสวะทั้งหลายเพราะไม่ยึดมั่น ก็จริงแล ถึงกระนั้น จิตของเธอก็จะหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลายเพราะไม่ยึดมั่นได้. ข้อนั้นเพราะเหตุไร? ข้อนั้นพึงกล่าวได้ว่าเพราะได้อบรมแล้ว. เพราะได้อบรมอะไร? เพราะได้อบรมสติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ และ มรรคมีองค์ ๘. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฟองไข่ ๘ ฟอง ๑๐ ฟอง หรือ ๑๒ ฟอง ที่แม่ไก่นอนทับแล้ว กกแล้ว ฟักแล้ว ถึงแม้แม่ไก่นั้นจะไม่พึงเกิดความปรารถนาอย่างนี้ว่า ไฉนหนอ ลูกของเรา จึงจะใช้ปลายเล็บเท้าหรือจะงอยปาก ทำลายกะเปาะฟองออกมาโดยสวัสดี ก็จริงแล แต่ทว่า ลูกไก่เหล่านั้น ควรจะใช้ปลายเล็บเท้าหรือจะงอยปาก ทำลายกะเปาะฟองออกมาโดยสวัสดี. ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะว่าฟองไข่ ๘ ฟอง ๑๐ ฟอง หรือ ๑๒ ฟอง แม่ไก่ได้นอนทับ ได้กก ได้ฟักมาแล้วอย่างนั้น แม้ฉันใด. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุประกอบเนืองๆ ซึ่งภาวนานุโยคอยู่ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะไม่เกิดความปรารถนาขึ้นอย่างนี้ว่า ไฉนหนอ จิตของเราจะพึงพ้นจากอาสวะทั้งหลายเพราะไม่ยึดมั่น ก็จริงแล แต่จิตของเธอก็จะพ้นจากอาสวะทั้งหลายเพราะไม่ยึดมั่น. ข้อนั้นเพราะเหตุไร? ข้อนั้นพึงกล่าวได้ว่าเพราะได้อบรมแล้ว. ถามว่าเพราะได้อบรมอะไร? แก้ว่า เพราะได้อบรมสติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ (และ) มรรคมีองค์ ๘

[๒๖๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย รอยนิ้วมือหรือรอยหัวแม่มือของช่างไม้หรือลูกมือของช่างไม้ ย่อมปรากฏด้ามมีดให้เห็น แต่ว่า ช่างไม้หรือลูกมือของช่างไม้นั้นหารู้ไม่ว่า วันนี้ ด้ามมีดของเรา


ความคิดเห็น 4    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 1 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ - หน้า 350

สึกไปเท่านี้ วานนี้สึกไปเท่านี้ วานซืนนี้สึกไปเท่านี้ มีความรู้แต่เพียงว่าด้ามมีดนั้นสึกๆ แม้ฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบเนืองๆ ซึ่งภาวนานุโยคอยู่ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะไม่มีความรู้อย่างนี้ว่า วันนี้อาสวะทั้งหลายของเราสิ้นไปเท่านี้ วานนี้สิ้นไปเท่านี้ วานซืนนี้สิ้นไปเท่านี้ ก็จริง แต่เธอก็รู้ว่าสิ้นไปแล้วๆ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อเรือเดินสมุทร ที่เขาผูกด้วยเชือกผูกคือหวาย แช่อยู่ในน้ำ ๖ เดือน ในฤดูหนาวลากขึ้นบก เชือกคือหวายที่ถูกลมและแดดพัดเผา ถูกเมฆฝนตกชะรด ก็จะเปื่อยผุไปโดยไม่ยากฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุประกอบเนืองๆ ซึ่งภาวนานุโยคอยู่ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน สัญโญชน์ก็จะเสื่อมสิ้นไปโดยไม่ยากเลย.

จบ นาวาสูตรที่ ๙

อรรถกถานาวาสูตรที่ ๙

พึงทราบวินิจฉัยในนาวาสูตรที่ ๙ ดังต่อไปนี้ :-

บทว่า เสยฺยถาปิ ภิกฺขเว กุกฺกุฏิยา อณฺฑานิ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอุปมา ๒ ข้อนี้ไว้ด้วยอำนาจธรรมที่เป็นฝ่ายดำและฝ่ายขาว (๑) . บรรดาอุปมา ๒ ข้อนั้น อุปมาว่าด้วยธรรมที่เป็นฝ่ายดำยังไม่ให้สำเร็จประโยชน์ (แต่) อุปมาว่าด้วยธรรมที่เป็นฝ่ายขาวนอกนี้ทำให้สำเร็จประโยชน์ได้แล. พึงทราบเนื้อความของอุปมาว่าด้วยธรรมฝ่ายขาว (๒) อย่างนี้.

บทว่า เสยฺยถา เป็นนิบาต ใช้ในความหมายเป็นข้ออุปมา.


(๑) ปาฐะว่า คณฺหปกฺขสุกฺขปกฺขวเสน ฉบับพม่าเป็น กณฺหปกฺขสุกฺกปกฺขวเสน แปลตามฉบับพม่า.

(๒) ปาฐะว่า สุกฺขปกฺขอุปมาย ฉบับพม่าเป็น สุกฺกปกฺขอุปมาย แปลตามฉบับพม่า.


ความคิดเห็น 5    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 1 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ - หน้า 351

บทว่า อปิ (๑) ใช้ในความหมายว่า ส่งเสริม. ด้วยบททั้งสอง พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงแสดงว่า เสยฺยถาปิ นาม ภิกฺขเว.

ก็ในบทนี้ว่า กุกฺกุฏิยา อณฺฑานิ อฏฺ วา ทส วา ทฺวาทส วา มีอธิบายว่า ฟองไข่ของแม่ไก่ ขาดไปบ้าง เกินไปบ้าง จากจำนวนมีประการดังกล่าวแล้วก็จริง ถึงกระนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสไว้อย่างนั้น เพราะด้วยคำสละสลวยดี และด้วยคำที่สละสลวยในโลกก็มีอยู่อย่างนี้.

บทว่า ตานสฺสุ ตัดบทเป็น ตานิ อสฺสุ. (อสฺสุ) คือ ภเวยฺยุํ แปลว่า ฟองไข่เหล่านั้นพึงมี.

บทว่า กุกฺกุฏิยา สมฺมาอธิสยิตานิ ความว่า ฟองไข่เหล่านั้น อันไก่ตัวเมียที่เป็นแม่ กางปีกออกแล้วนอนทับอยู่บนฟองไข่เหล่านั้น ชื่อว่านอนทับด้วยดี.

บทว่า สมฺมาปริเสทิตานิ ความว่า ฟองไข่ทั้งหลายที่แม่ไก่ให้ได้รับไออุ่นตามกาลอันสมควร ชื่อว่ากก คือ ทำให้อบอุ่นด้วยดี คือ ทั่วถึง.

บทว่า สมฺมาปริภาวิตานิ ความว่า ฟองไข่ทั้งหลาย อันแม่ไก่ฟักด้วยดี คือ ทั่วถึงตามกาลอันสมควร อธิบายว่า ให้กลิ่นพ่อไก่จับ.

บทว่า กิญฺจาปิ ตสฺสา กุกฺกุฏิยา ความว่า แม่ไก่ตัวนั้นทำความไม่ประมาทด้วยการทำกิริยา ๓ อย่างนี้แล้ว จะไม่เกิดความปรารถนาอย่างนี้แม้ก็จริง.

บทว่า อถ โข ภพฺพาว เต ความว่า ถึงกระนั้น ลูกไก่เหล่านั้นก็สามารถที่จะเจาะ (ฟองไข่) ออกมาได้โดยสวัสดี ตามนัยที่กล่าวไว้แล้ว.


(๑) ปาฐะว่า ปีติสมฺภาวนตฺเถ ฉบับพม่าเป็น อปีติ สมฺภาวนตฺเถ แปลตามฉบับพม่า.


ความคิดเห็น 6    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 1 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ - หน้า 352

ก็เพราะเหตุที่ฟองไข่เหล่านั้นอันแม่ไก่ตัวนั้นบริบาลอยู่โดยอาการ ๓ อย่าง อย่างนี้จึงไม่เสีย และน้ำเมือกของฟองไข่เหล่านั้นก็เหือดแห้งไป เปลือกไข่บาง ปลายเล็บเท้าและจะงอยปากเริ่มแข็งแก่กล้าไปเอง เพราะเปลือกไข่บางแสงสว่างจากข้างนอกจึงปรากฏเข้าไปถึงข้างใน ฉะนั้น ลูกไก่เหล่านั้นจึงอยากจะออกมา (ข้างนอก) ด้วยคิดว่า เรานอนตัวงออยู่ในที่แคบมานานแล้วหนอ และแสงสว่างข้างนอกนี้ก็ปรากฏอยู่ บัดนี้เราทั้งหลายจักอยู่อย่างสุขสบายในที่นี้แหละ ดังนี้แล้ว เอาเท้ากระเทาะเปลือกไข่ ยื่นคอออกมา ครั้นแล้วเปลือกไข่นั้นก็จะแตกออกเป็น ๒ ซีก ทีนั้น ลูกไก่เหล่านั้นก็จะออกมาสลัดปีก ส่งเสียงร้องเจี๊ยบๆ และครั้นออกมาแล้วก็จะเที่ยว (หากิน) ไป ทำให้คามเขตดูสวยงาม.

บทว่า เอวเมว โข นี้เป็นบทรับรองข้ออุปมา บทรับรองข้ออุปมานั้นพึงทราบเทียบเคียงกับความหมายอย่างนี้. อธิบายว่า เวลาที่ภิกษุนี้ประกอบการบำเพ็ญภาวนา พึงทราบว่า เปรียบเหมือนการที่แม่ไก่นั้นทำกิริยา ๓ อย่างในฟองไข่.

ความที่วิปัสสนาญาณของภิกษุผู้ประกอบการบำเพ็ญภาวนาไม่เสื่อมเพราะทำอนุปัสสนา ๓ อย่างให้ถึงพร้อม พึงทราบว่า เปรียบเหมือนภาวะที่ฟองไข่ไม่เน่าเพราะแม่ไก่ทำกิริยา ๓ อย่างให้ถึงพร้อม

การที่ความสิเนหาคือความใคร่ใจที่ติดอยู่ในภพทั้ง ๓ ของภิกษุนั้นสิ้นไปเพราะทำอนุปัสสนา ๓ อย่างให้ถึงพร้อม พึงทราบว่า เปรียบเหมือนการที่ยางเหนียวของฟองไข่ทั้งหลายสิ้นไปเพราะแม่ไก่นั้นทำกิริยา ๓ อย่าง.

การที่กะเปาะฟองไข่คืออวิชชาของภิกษุบาง พึงทราบว่า


ความคิดเห็น 7    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 1 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ - หน้า 353

เปรียบเหมือนการที่เปลือกฟองไข่บาง

การที่วิปัสสนาญาณของภิกษุกล้าแข็ง ผ่องใส และแกล้วกล้า พึงทราบว่า เปรียบเหมือนการที่ปลายเล็บเท้าและจะงอยปากของลูกไก่ทั้งหลายกล้าแข็ง.

เวลาที่วิปัสสนาญาณของภิกษุแก่กล้า เจริญได้ที่ พึงทราบว่า เปรียบเหมือนเวลาที่ลูกไก่ทั้งหลายเจริญขึ้น.

เวลาที่ภิกษุนั้นถือเอาวิปัสสนาญาณได้แล้ว เที่ยว (จาริก) ไป ได้ฤดูเป็นสัปปายะ โภชนะเป็นสัปปายะ บุคคลเป็นสัปปายะ หรือ การฟังธรรมเป็นสัปปายะ อันเกิดแต่วิปัสสนาญาณนั้น แล้วนั่งอยู่บนอาสนะเดียวนั่นแล เจริญวิปัสสนา ทำลายกะเปาะฟองคืออวิชชาด้วยอรหัตตมรรคที่บรรลุแล้วตามลำดับ ปรบปีกคืออภิญญา แล้วสำเร็จเป็นพระอรหันต์โดยสวัสดี พึงทราบว่า เปรียบเหมือนเวลาลูกไก่เอาปลายเล็บเท้าหรือจะงอยปากกะเทาะกะเปาะฟองไข่ กระพือปีกแหวกออกมาได้โดยสวัสดี.

อนึ่ง เปรียบเหมือนว่า แม่ไก่ทราบว่าลูกไก่เติบโตเต็มที่แล้ว จึงจิกกะเปาะฟองไข่ฉันใด ฝ่ายพระศาสดาก็ฉันนั้น ทรงทราบว่าญาณของภิกษุเห็นปานนั้น แก่เต็มที่แล้ว ก็ทรงแผ่แสงสว่างไป แล้วทำลายกะเปาะฟองไข่คืออวิชชา ด้วยคาถาโดยนัยเป็นต้นว่า :-

จงถอนความเสน่หาของตนขึ้นเสียเถิด ให้เหมือนกับถอนดอกโกมุทที่บานในฤดูสารทกาลด้วยมือของตนฉะนั้น ขอเธอจงเพิ่มพูลทางแห่งสันติเถิด พระนิพพาน พระสุคตเจ้า ทรงแสดงไว้แล้ว.


ความคิดเห็น 8    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 1 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ - หน้า 354

เวลาจบคาถา ภิกษุนั้นทำลายกะเปาะฟองคืออวิชชาแล้ว ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์. ตั้งแต่นั้นมา พระมหาขีณาสพแม้นี้ ก็เข้าผลสมาบัติที่มีนิพพานเป็นอารมณ์ แล้วท่องเที่ยวไป ทำให้สังฆารามงดงาม เปรียบเหมือนลูกไก่เหล่านั้นท่องเที่ยวไป ทำให้คามเขตงดงามฉะนั้น.

บทว่า ผลภณฺฑสฺส ได้แก่ ช่างไม้. จริงอยู่ ช่างไม้นั้น เรียกกันว่า ผลภัณฑะ เพราะตีเส้นบันทัด คือ โอสมนกะ แล้วเปิดปีกไม้ออกไป.

บทว่า วาสิชเฏ ได้แก่ ที่สำหรับจับของมีดที่มีด้าม.

บทว่า เอตฺตกํ วา เม อชฺช อาสวานํ ขีณํ มีอธิบายว่า ก็อาสวะทั้งหลายของบรรพชิตสิ้นอยู่เป็นนิตย์ เพราะอุทเทส เพราะปริปุจฉา เพราะการทำไว้ในใจโดยแยบคาย และเพราะวัตตปฏิบัติโดยสังเขปคือการบรรพชา. และเมื่ออาสวะเหล่านั้นกำลังสิ้นไปอยู่อย่างนี้ ท่านไม่รู้อย่างนี้ดอกว่า วันนี้สิ้นไปเท่านี้ เมื่อวานสิ้นไปเท่านี้ เมื่อวานซืนสิ้นไปเท่านี้. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอานิสงส์ของวิปัสสนาไว้ด้วยอุปมานี้.

บทว่า เหมนฺติเกน ได้แก่ โดยสมัยแห่งเหมันตฤดู.

บทว่า ปฏิปสฺสมฺภนฺติ ได้แก่ เครื่องผูก คือ หวายทั้งหลายย่อมเสื่อมสิ้นไปเพราะชราภาพ.

ในบทว่า เอวเมว โข นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงความที่สังโยชน์หย่อนกำลังลงด้วยอุปมานี้ว่า :-

ศาสนาพึงเห็นว่า เปรียบเหมือนมหาสมุทร พระโยคาวจรพึงเห็นว่า เปรียบเหมือนเรือ.


ความคิดเห็น 9    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 1 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ - หน้า 355

การที่ภิกษุนี้ท่องเที่ยวไปในสำนักอุปัชฌาย์อาจารย์ในเวลาที่มีพรรษายังไม่ครบ ๕ พึงเห็นว่า เปรียบเหมือนการที่เรือลอยวนอยู่ในทะเลหลวง.

ความที่สังโยชน์ทั้งหลายของภิกษุเบาบางลงเพราะอุเทศและปริปุจฉาเป็นต้นนั่นเอง (๑) โดยสังเขปก็ได้แก่บรรพชา พึงเห็นว่า เปรียบเหมือนการที่เชือกผูกเรือถูกน้ำในทะเลหลวงกัดกร่อนจนบาง.

เวลาที่ภิกษุผู้เป็นนิสัยมุตตกะเรียนกรรมฐานแล้ว (ไป) อยู่ในป่า พึงเห็นว่า เปรียบเหมือนเวลาที่เรือถูกยกวางไว้บนบก.

การที่เสน่หาคือตัณหาเหือดแห้งไปเพราะวิปัสสนาญาณ พึงเห็นว่า เปรียบเหมือนเชือกผูกเรือแห้งเพราะถูกลมและแดดในตอนกลางวัน.

การที่จิตชุ่มชื่นเพราะปีติและปราโมทย์อันอาศัยกรรมฐานเกิดขึ้น พึงเห็นว่า เปรียบเหมือนการที่เรือชุ่มชื้นเพราะถูกน้ำอันเกิดจากน้ำค้างในตอนกลางคืน.

การที่ภิกษุได้ฤดูเป็นสัปปายะเป็นต้นในวันหนึ่งในวิปัสสนาญาณกรรมฐาน แล้วมีสังโยชน์เบาบางลงมากมายเพราะปีติและปราโมทย์อันเกิดแต่วิปัสสนาญาณ (๒) พึงเห็นว่า เปรียบเหมือนเครื่องผูก (เรือ) แห้งในตอนกลางวันเพราะถูกลมและแดด และเปียกชื้นในตอนกลางคืนเพราะน้ำเกิดจากน้ำค้าง.

อรหัตตมรรคญาณ พึงเห็นว่า เปรียบเหมือนเมฆฝน.


(๑) ปาฐะว่า เจว น่าจะเป็น เอว.

(๒) ปาฐะว่า เอกา ปีติปามุชฺเชหิ ฉบับพม่าเป็น วิปสฺสนาาณปีติปาโมชฺเชหิ แปลตามฉบับพม่า.


ความคิดเห็น 10    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 1 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ - หน้า 356

การที่ภิกษุผู้เริ่มเรียนวิปัสสนากรรมฐาน แล้วเจริญวิปัสสนาโดยเป็นรูปสัตตกะ (หมวด ๗ แห่งรูป) เป็นต้น เมื่อกรรมฐานแจ่มชัดๆ เข้า วันหนึ่งได้ฤดูเป็นสัปปายะเป็นต้น นั่งขัดสมาธิครั้งเดียว (ไม่ลุกขึ้นอีก) แล้วได้บรรลุอรหัตตผล พึงเห็นว่า เปรียบเหมือนการที่เรือมีน้ำฝนเต็มลำ.

การที่ภิกษุนั้นสิ้นสังโยชน์แล้วสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ยังไม่ได้อนุเคราะห์มหาชน ดำรงอยู่ตราบอายุขัย พึงเห็นว่า เปรียบเหมือนการที่เรือซึ่งมีเชือกผูกเปื่อย แต่ก็ยังจอดอยู่ได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง.

เวลาที่พระขีณาสพปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุโดยการขัดสมาธิครั้งเดียวเพราะอุปาทินนกขันธ์แตกสลายไป (กิเลสสิ้นแล้ว ปรินิพพานทันที) แล้วเข้าถึงความเป็นผู้หาบัญญัติมิได้ พึงเห็นว่า เปรียบเหมือนเวลาที่เรือมีเชือกผูกเปื่อย กร่อน ขาดไปทีละน้อย จนเข้าถึงความเป็นสภาพหาบัญญัติมิได้ (จนเรียกว่าเชือกไม่ได้).

จบ อรรถกถานาวาสูตรที่ ๙