เรียนอาจารย์ทั้งสองท่าน
การนอนไม่หลับก็เป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ แล้วถ้านอนไม่หลับก็กินยานอนหลับให้หลับ กระผมยังงงอยู่ในข้อนี้ ขอความอนุเคราะห์ด้วยครับ ขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขณะที่หลับสนิทจริงๆ ที่เป็นผลของกรรม คือ ขณะที่เป็นภวังคจิตเกิดดับสืบต่อกันไปซึ่ง สภาพธรมทั้งหายเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่ใช่เฉพาะขณะที่จะนอนหลับ หรือไม่หลับ แม้แต่สภาพธรรมที่มีจริงในขณะที่ เห็น ได้ยิน คิดนึก ล้วนแล้วแต่เป็นธรรม และ เป็นอนัตตา ไม่สามารถบังคับให้เกิด หรือ ไม่เกิดไม่ได้เลย แม้แต่ การทานยานอนหลับ กินแล้วหลับ ก็ไม่ใช่กินแล้วหลับทันที และที่สำคัญ แม้กินยานอนหลับ ขณะที่สำคัญว่าหลับ ก็ไม่ใช่หลับก็ได้ เช่น ขณะที่ฝัน ชาวโลกก็สำคัญว่าหลับ แท้ที่จริง เมื่อกินยานอนหลับ แล้วฝัน ฝันก็ไมไ่ด้หลับแล้ว เพราะขณะนั้น กำลังคิดนึกทางใจอยู่ คิดเป็นเรื่องราวต่างๆ ทางใจ ซึ่งขณะที่หลับ เป็นภวังคจิต ไม่รู้อารมณ์ในโลกนี้เลย ไม่รู้อารมณ์ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ จึงชื่อว่า หลับจริงๆ ครับ
จะเห็นนะครับว่า ที่คิดว่าบังคับบัญชาได้ กินยานอนหลับ แล้วหลับแท้ที่จริงก็ไม่หลับก็ได้ ก็ฝันโดยมาก และ หลับเพียงเล็กน้อย และ แม้ไม่ทานยานอนหลับ แต่ก็หลับ ที่เรียกว่า หลับลึก เพราะผลของกรรมให้ผลในขณะนั้น เกิดภวังคจิตได้นานกว่า ที่ไม่ทานยา ฝันน้อยกว่า คือ เกิดวิถีจิตน้อยกว่าก็ได้ นี่แสงงถึงความละเอียดของธรรม และ เป็นอนัตตา ครับ ตราบใดที่ยังยึดถือ มีความเห็นผิด ที่ยังไม่ได้ดับ ก็ย่อมเป็นธรรมดาที่จะเกิดความสงสัย และยึดถือ ว่าเป็นเราที่สามารถบังคับได้ เพราะเหตุว่า คุ้นเคยสะสมกับกิเลส มีความไม่รู้ และ ความเห็นผิดมานาน เพราะฉะนั้น ก็แสดงถึงความเป็นอนัตตาอีกเช่นกัน ที่จะเกิดความสงสัย เพราะ ยังมีเหตุปัจจัยให้เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น หนทางที่ถูกต้อง คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ย่อมจะทำให้เกิดปัญญา ความเห็นถูกค่อยๆ เข้าใจ ตามพระธรรมที่พระุพุทธเจ้าทรงแสด และ ค่อยๆ ละกิเลส จนหมดสิ้นได้ในที่สุด ครับ
เชิญคลิกอ่านที่นี่ ครับ
ทำไมทานยานอนหลับแล้วหลับได้นาน ฯลฯ
ขออนุโมทนา
เรียนอาจานย์ทั้งสองท่าน
กระผมจำไม่ได้ว่า อาจารญประเชิญบรรยายไว้ตอนกระทู้ไหน แต่อาจารย์บอกว่าการนอนไม่หลับเกิดจากเศษของกรรมที่ผิดศีลข้อ๓ ขอความอนุเคราห์อาจารย์ช่วยให้ปัญญาด้วยครับ ขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ธรรม คือ สิ่งที่มีจริงนั้น เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นในขณะหลับ หรือตื่น ก็ไม่พ้นไปจากความเกิดขึ้นเป็นไปของธรรม มีแต่ธรรมเท่านั้้นจริงๆ ขณะที่หลับสนิท จิตเป็นภวังค์ แต่ถ้าไม่ใช่หลับสนิทแล้ว ที่บอกว่า ตื่น ก็มีจิตประเภทอื่นเกิดขึั้นเป็นไป มีเห็น มีได้ยิน มีการคิดนึก ซึ่งก็คือ ธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย เป็นต้น ในประเด็นเรื่องนอนไม่หลับ สำหรับผู้ที่เห็นประโยชน์ของพระธรรมแล้ว ส่วนใหญ่ มักจะได้ยิน ว่า ดีเลย จะได้มีโอกาส ฟังพระธรรมเพิ่มขึ้น ครับ
ขอออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
ยาเป็นส่วนหนึ่งทำให้หลับได้เพราะยาไปกดประสาท อย่างหมอจะทำการผ่าตัด ก็ต้องวางยาสลบ ค่ะ
เรียนอาจารย์ทั้งสองท่าน
กระผมได้อ่านคำบรรยายของวงสบอาจารย์ทั้งสองท่านและบทความที่ต้องคลิกอ่านแล้ว ขอเรึยนถามว่านอนหลัน่าจะเป็นสิ่งหนึ่งที่อยู่ในศีลข้อ5เพราะน่าจะจัดอยู่ในสารเสพติด แต่ที่พระพุทธองค์มิได้ทรงบัญญัติเพราะสมัยก่อนยังไม่มีสิ่งดังกล่าว ใช่ไหม ครับ ขออนุโมทนาครับ
เรียนความเห็นที่ 5 ครับ
ยานอนหลับ ไม่ใช่ สิ่งเสพติด เพราะไม่ทำให้ให้เมาจนไม่รู้เรื่อง และเป็นเหตุให้ ไม่รู้ตัว ทำให้ผิดศีลข้ออื่นได้ ต่างจากสุราของเมาที่ทำให้ไม่รู้เรื่อง และล่วงศีลข้ออื่นได้ จากการดื่มสุราเมรัย เป็นเหตุ ครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอถามต่อเรื่องการสลบ หมอให้ยาสลบคนก็สลบจากยา ยาทำให้จิตเป็นไปจากความรู้สึกตัวไปอยู่ในสภาพสลบได้ และยาก็กันไม่ให้ร่างกายเกิดกายวิญญาณเจ็บปวดขณะที่กำลังผ่าตัดได้ด้วย อยากทราบว่าการสลบจิตเป็นอย่างไรตามหลักเรื่องจิตทางพระพุทธศาสนาครับ
ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ