ธรรมที่ต้องละเหล่าอื่นอีกและอุบายเป็นเครื่องละ
โดย เมตตา  18 พ.ย. 2557
หัวข้อหมายเลข 25794

[เล่มที่ 17] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 252

ข้อความบางตอนจาก

อรรถกถาแห่งธรรมทายาทสูตร

ธรรมที่ต้องละเหล่าอื่นอีก

ครั้นแสดงโลภะ โทสะ และอุบายเป็นเครื่องละโลภะและโทสะนั้น ในจำนวนธรรมทั้งหลายที่ต้องละอย่างนี้แล้ว บัดนี้ พระสารีบุตรเถระ เมื่อจะแสดงธรรมที่ต้องละเหล่าอื่นอีกและอุบายเป็นเครื่องละธรรมเหล่านั้น จึงกล่าวคำว่า ตตฺราวุโสโกโธดังนี้เป็นต้น บรรดาธรรมที่ต้องละเหล่านั้น.

(๑) โกธะ มีลักษณะ (เฉพาะ) คือความเดือดดาลหรือความดุร้าย มีหน้าที่คือผูกอาฆาต (และ) ผลที่ปรากฏออกมาคือ ความประทุษร้าย

(๒) อุปนาหะ มีลักษณะ (เฉพาะ) คือความผูกโกรธ มีหน้าที่ คือไม่ยอมสลัดทิ้งการจองเวร (และ) ผลที่ปรากฏออกมาคือ โกรธติดต่อเรื่อยไป สมด้วยคำที่พระโบราณาจารย์กล่าวไว้อย่างนี้ว่า โกธะเกิด ก่อน อุปนาหะจึงเกิดภายหลัง เป็นต้น.

(๓) มักขะ มีลักษณะ (เฉพาะ) คือ ลบหลู่คนอื่น หีหน้าที่ คือทำคุณของคนอื่นนั้นให้พินาศ (และ) ผลที่ปรากฏออกมาคือ การปกปิดคุณของคนอื่นนั้น.

(๔) ปฬาสะ มีลักษณะ (เฉพาะ) คือการถือเป็นคู่แข็ง (ตีเสมอ) มีหน้าที่คือการทำคุณของตนให้เสมอกับคุณของคนอื่น (และ) ผลที่ปรากฏออกมาคือความปรากฏโดยการชอบประมาณ (ตีค่า) เทียบคุณของคนอื่น.

(๕) อิสสา มีลักษณะ (เฉพาะ) คือความริษยาต่อสมบัติของ คนอื่น หรือไม่ก็ทนไม่ได้ต่อสมบัติของคนอื่นนั้น มีหน้าที่คือความไม่ ยินดียิ่ง ในสมบัติของคนอื่นนั้น (และ) ผลที่ปรากฏออกมาคือ ความเบือนหน้าหนีจากสมบัติของคนอื่นนั้น.

(๖) มัจเฉระ มีลักษณะ (เฉพาะ) คือการซ่อนเร้นสมบัติ ของตน มีหน้าที่คือความไม่สบายใจ เมื่อสมบัติของตนมีคนอื่นร่วมใช้ สอยด้วย (และ) ผลที่ปรากฏออกมาคือ ความเคืองแค้น.

(๗) มายา มีลักษณะ (เฉพาะ) คือปกปิดบาปที่ตนเองกระทำ แล้ว หน้าที่คือซ่อนเร้นบาปที่ตนเองกระทำแล้วนั้น (และ) ผลที่ปรากฏออกมาคือ การปิดกั้นบาปที่ตนเองกระทำแล้วนั้น.

(๘ ) สาเถยยะ มีลักษณะ (เฉพาะ) คือการชอบเปิดเผยคุณ ที่ตนเองไม่มี มีหน้าที่คือการประมวลมาซึ่งคุณที่ตนเองไม่มีเหล่านั้น (และ) ผลที่ปรากฏออกมาคือการทำคุณที่ตนเองไม่มีเหล่านั้น ให้ปรากฏออกมาแม้โดยอาการทางร่างกาย.

(๙) ถัมภะ มีลักษณะ (เฉพาะ) คือความที่จิตผยอง มีหน้าที่ คือพฤติการที่ไม่ยำเกรง (และ) ผลที่ปรากฏออกมาคือ ความไม่อ่อนโยน.

(๑๐) สารัมภะ มีลักษณะ (เฉพาะ) คือการทำความดีให้เหนือไว้ มีหน้าที่คือแสดงตนเป็นข้าศึกต่อคนอื่น (และ) ผลที่ปรากฏออกมาคือ ความไม่เคารพ.

(๑๑) มานะ มีลักษณะ (เฉพาะ) คือความเย่อหยิ่ง มีหน้าที่ คือความถือตัวว่า เป็นเรา (และ) ผลที่ปรากฏออกมาคือ ความจองหอง

(๑๒) อติมานะ มีลักษณะ (เฉพาะ) คือความเย่อหยิ่ง มี หน้าที่คือความถือตัวว่า เป็นเราจัด (และ) ผลที่ปรากฏออกมาคือ ความหยิ่งจองหอง.

(๑๓) มทะ มีลักษณะ (เฉพาะ) คือความมัวเมา มีหน้าที่คือ ความยึดถือด้วยการมัวเมา (และ) ผลที่ปรากฏออกมาคือ ความคลั่งไคล้

(๑๔) ปมาทะ มีลักษณะ (เฉพาะ) คือการปล่อยจิตไปในเบญจกามคุณ มีหน้าที่คือการกระตุ้นให้ปล่อยจิตมากขึ้น (และ) ผลที่ปรากฏออกมาคือ ความขาดสติ.

นักศึกษาพึงทราบถึงลักษณะเป็นต้น ของธรรมเหล่านี้ดังกล่าวมา นี้เถิด ที่กล่าวมานี้เป็นความย่อในข้อนี้ ส่วนความพิสดารนักศึกษาพึง ทราบตามนัยที่กล่าวแล้วในคัมภีร์วิภังค์นั่นเองว่า ตตฺถกตโมโกโธ ดังนี้เป็นต้น



ความคิดเห็น 1    โดย เมตตา  วันที่ 18 พ.ย. 2557

ตัวอย่างพฤติกรรมที่เกิดจากบาปธรรมเหล่านั้น

อนึ่ง ในธรรมที่ต้องละเหล่านี้พึงทราบความโดยพิเศษขึ้นไปอีก ดังต่อไปนี้ :-

ภิกษุผู้เป็นอามิสทายาท ย่อมโกรธคนอื่นที่ได้ลาภ เพราะตนเอง ไม่ได้๑ ความโกรธที่เกิดขึ้นครั้งเดียวของภิกษุผู้เป็นอามิสทายาทนั้น ชื่อว่า โกธะอย่างเดียว โกธะที่เกิดขึ้นมากกว่าครั้งเดียวขึ้นไป ชื่อว่า อุปนาหะ. ภิกษุผู้เป็นอามิสทายาทนั้นนั่นแล เมื่อโกรธแล้วด้วย และผูกโกรธ ด้วย ย่อมหลู่คุณของคนอื่นที่มีลาภและถือเป็นคู่แข็ง และว่าแม้เราก็ต้องเป็น เช่นนั้นให้ได้ อันนี้เป็นมักขะ (ความลบหลู่) และปฬาสะ (ตีเสมอ) ของภิกษุผู้เป็นอามิสทายาทนั้น.

ภิกษุผู้เป็นอามิสทายาทนั้นมีปกติลบหลู่ มีปกติตีเสมอดังกล่าวมาแล้ว นี้ ย่อมริษยา ย่อมประทุษร้ายในลาภและสักการะเป็นต้น ของผู้มีลาภนั้น ว่าภิกษุนี้จะมีประโยชน์อะไรด้วยสิ่งนี้ อันนี้เป็นอิสสา (ความริษยา) ก็ถ้าว่าเธอมีสมบัติบางอย่าง ย่อมทนไม่ได้ที่สมบัตินั้นมีคนอื่นนั้นร่วมใช้ อันนี้เป็นมัจเฉระ (ความตระหนี่) ของภิกษุผู้เป็นอามิสทายาทนั้น. ก็เพราะลาภเป็นเหตุแท้ๆ เธอย่อมปกปิดโทษของตนที่มีอยู่เสีย ๑. ปาฐะเป็น อลภนฺโต เป็นฐมาวิภัตติ เข้าใจว่าจะเป็นอลภนโต คือโตปัจจัยที่ใช้แทน ปัญจมีวิภัตติได้ จึงได้แปลตามที่เข้าใจ อันนี้เป็นมายาของภิกษุ ผู้เป็นอามิสทายาทนั้น.

เธอย่อมอวดคุณที่ไม่มีอยู่จริง อันนี้เป็นสาเถยยะ (ความโอ้อวด) ของภิกษุผู้เป็นอามิสทายาทนั้น.

เธอปฏิบัติอยู่อย่างนี้ ถ้าได้ลาภตามที่ประสงค์ ย่อมเป็นผู้แข็งกระด้าง มีจิตใจไม่อ่อนโยนเพราะลาภนั้น เป็นผู้ที่ใครๆ ไม่สามารถจะว่ากล่าวได้ ว่า ท่านไม่ควรทำกรรมนี้อย่างนี้ อันนี้เป็นถัมภะ (ความหัวดื้อ) ของเธอ. แต่ถ้าจะมีใครว่ากล่าวอะไรเธอ ว่า ท่านไม่ควรทำกรรมนี้อย่างนี้

เธอเป็นผู้มีจิตใจปรารมภ์ คำกล่าวนั้น ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด พูดข่มขู่ว่า ท่านเป็นอะไรกับผม อันนี้เป็นสารัมภะ (ความแข่งดี) ของภิกษุผู้เป็นอามิสทายาทนั้น . ต่อจากนั้นไป เพราะถัมภะ (ความดื้อรั้น) เธอจะสำคัญตัวอยู่ว่า เรานี้แหละดีกว่าคนอื่น เป็นผู้ถือตัวเพราะสารัมภะ (ความแข็งดี) เธอกลับดูถูกคนอื่นว่า พวกนี้เป็นใครกัน เป็นผู้ถือตัว อันนี้เป็นมานะ (ความถือตัว) และอติมานะ (ดูหมิ่นท่าน) ของภิกษุผู้เป็นอานิสทายาทนั้น. เพราะมานะและอติมานะเหล่านี้ เธอย่อมเกิดความเมาหลายแบบ มีความเมาในชาติ (กำเนิดตระกูล) เป็นต้น เธอเมาแล้วย่อมประมาท (เผลอสติ) ในวัตถุทั้งหลายแยกประเภทออกไป มีกามคุณเป็นต้น อันนี้เป็นมทะ (ความเมา) และปมาทะ (ความเผลอสติ) ของภิกษุผู้เป็นอามิสทายาทนั้น.

รวมความว่า ด้วยเหตุดังกล่าวมานี้ เธอย่อมไม่พ้นจากความเป็น อามิสทายาทไปได้ นักศึกษาพึงทราบธรรมที่ต้องละในการเป็นอามิสทายาท โดยธรรมที่เป็นบาปเหล่านี้ และโดยธรรมเหล่าอื่นแบบนี้อย่างนี้ก่อน. ส่วน อุบายเป็นเหตุละ ว่าโดยบาลีและเนื้อหาสาระแล้วก็ไม่มีพิเศษอะไรเลยในธรรมทุกข้อ.


ความคิดเห็น 2    โดย papon  วันที่ 23 พ.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 3    โดย chatchai.k  วันที่ 21 มิ.ย. 2564

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น