[เล่มที่ 50] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 248
เถรคาถา เอกนิบาต
วรรคที่ ๕
๔. สานุเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระสานุเถระ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 50]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 248
๔. สานุเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระสานุเถระ
[๑๘๑] ได้ยินว่า พระสานุเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
คุณโยมแม่ ชนทั้งหลายพากันร้องไห้ถึงคนที่ตายแล้ว ร้องไห้ถึงคนที่ยังเป็นอยู่ แต่หายหน้าจากไป ส่วนฉันยังชีวิตอยู่ ทั้งปรากฏตัวอยู่ เหตุไรคุณโยม จึงมาร้องไห้ถึงฉันเล่า?.
อรรถกถาสานุเถรคาถา
คาถาของท่านพระสานุเถระเริ่มต้นว่า มตํ วา อมฺม โรทนฺติ. เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร?
แม้พระสานุเถระ ก็มีอธิการอันกระทำไว้แล้วในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ เข้าไปสั่งสมบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้ในภพนั้นๆ ในกัปที่ ๙๔
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 249
แต่ภัทรกัปนี้ เขานำน้ำเข้าไปถวาย เพื่อประโยชน์แก่การล้างพระหัตถ์ ล้างพระบาท และบ้วนพระโอฐ ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า สิทธัตถะ ในเวลาจะเสวย พระศาสดามีพระประสงค์จะทรงล้างพระหัตถ์ และล้างพระบาท. เขาคอยกำหนดอาการของพระศาสดา แล้วนำน้ำเข้าไปถวาย. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงล้างพระหัตถ์และพระบาทแล้ว ทรงเสวย ได้มีพุทธประสงค์จะบ้วนพระโอฐ. ท่านก็รู้แม้พระอาการนั้น เข้าไปถวายน้ำล้างพระโอฐ พระศาสดาทรงล้างพระโอฐแล้ว ทำการชำระพระโอฐเสร็จแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงอาศัยความอนุเคราะห์จึงทรงยินดีไวยาวัจกิจที่เขาจัดถวาย ด้วยอาการอย่างนี้.
ด้วยบุญกรรมนั้น เขาบังเกิดในเทวโลก กระทำบุญ แล้วท่องเที่ยว ไปๆ มาๆ อยู่ในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ในพุทธุปบาทกาลนี้ ถือปฏิสนธิในเรือนของอุบาสกคนหนึ่ง ในพระนครสาวัตถี เมื่อเขาอยู่ในท้องมารดา บิดาก็จากไป (อยู่ที่อื่น) พอครบ ๑๐ เดือน อุบาสิกาก็คลอดบุตร ตั้งชื่อ เขาว่า สานุ.
เมื่อสานุกุมารเติบโตขึ้นโดยลำดับ อุบาสิกาก็จัดให้สานุกุมารผู้มีอายุ ได้ ๗ ขวบเท่านั้น บรรพชาในสำนักของภิกษุทั้งหลาย ด้วยคิดว่า สานุกุมารนี้จักเป็นผู้ไม่มีอันตราย เจริญเติบโต มีความสุขโดยส่วนเดียว ด้วยอุบายอย่างนี้. เขามีนามปรากฏว่า สานุสามเณร เป็นผู้มีปัญญา สมบูรณ์ด้วยวัตรเป็นพหูสูต เป็นพระธรรมกถึก เป็นผู้มีอัธยาศัยประกอบด้วยเมตตาในสัตว์ทั้งหลาย ได้เป็นที่รัก เป็นที่พอใจ ของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ดังนี้ เรื่องราวทั้งหมด พึงทราบ (อย่างพิสดาร) โดยนัยที่มาแล้วในสานุสูตรนั่นแล. ในอดีตชาติ มารดาของสานุสามเณรนั้น เกิดในกำเนิดแห่งยักษ์ ยักษ์ทั้งหลาย ซึ่งเป็นผู้มากไปด้วยความเคารพ ยำเกรง ย่อมนับถือนาง ด้วยคิดว่า หญิงนี้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 250
เป็นมารดาของพระสานุเถระ เมื่อกาลเวลาผ่านไปอย่างนี้ จิตคิดอยากจะสึกก็เกิดขึ้นแก่สานุสามเณร ผู้ฟุ้งซ่านอยู่ เพราะไม่มีโยนิโสมนสิการ ดุจประกาศโทษของความเป็นปุถุชน. ยักษิณีผู้เป็นมารดาของสานุสามเณร รู้เหตุนั้น จึงบอกแก่มารดาผู้เป็นมนุษย์ว่า สานุสามเณรผู้เป็นบุตรของท่าน เกิดความคิดว่า เราจะสึก. เพราะฉะนั้น ท่านจงไปกล่าวอย่างนี้ว่า
ท่านพึงบอกสานุสามเณรผู้ฟื้นขึ้นแล้ว ยักษ์สั่งคำนี้ไว้ว่า ท่านอย่าได้กระทำกรรมอันลามก ทั้งในที่แจ้งและที่ลับ ถ้าท่านจะกระทำหรือกำลังกระทำกรรม อันลามกไซร้ ถึงท่านจะเหาะหนีไป ไม่พ้นจากทุกข์ ดังนี้.
ก็และครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว นางยักษิณีผู้เป็นมารดาก็อันตรธานไปในที่นั้นเอง. ส่วนมารดาผู้เป็นมนุษย์ฟังคำนั้นแล้ว ถึงความปริเทวนาการ และความเศร้าโศก ได้เป็นผู้มีใจเต็มไปด้วยความทุกข์.
ครั้นในเวลาเช้า สานุสามเณรนุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวรเข้าไปยังสำนักของมารดา เห็นมารดาร้องไห้อยู่ จึงกล่าวว่า แม่จ๋า แม่ร้องไห้เพราะอาศัยอะไร และมารดาตอบว่า เพราะอาศัยเจ้า จึงได้กล่าวคาถาแก่มารดาว่า
แม่จ๋า คนทั้งหลาย เขาพากันร้องไห้ถึงคนที่ตายแล้ว ร้องไห้ถึงคนที่ยังเป็นอยู่ แต่หายหน้าจากไป ส่วนฉันยังมีชีวิตอยู่ ทั้งปรากฏตัวอยู่ เหตุไร แม่จึงมา ร้องให้ถึงฉันเล่า?
คาถานั้น มีใจความดังนี้ แม่จ๋า ธรรมดาญาติหรือมิตร ผู้ร้องไห้ ก็ย่อมร้องไห้ถึงญาติหรือมิตรของตนผู้ตายไปแล้ว เพราะล่วงลับไปสู่ปรโลกแล้ว อีกอย่างหนึ่ง ญาติก็ดี มิตรก็ดี คนใดยังมีชีวิตอยู่ ไม่ปรากฏเพราะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 251
เดินทางไปประเทศอื่น ก็ย่อมร้องไห้ถึงญาติหรือมิตรผู้นั้น ก็เหตุแม้ทั้งสอง อย่างนี้ไม่มีในฉัน เมื่อเป็นเช่นนั้น แม่เห็นฉัน ผู้ยังมีชีวิตอยู่ ทรงร่างอยู่ ยืนอยู่ข้างหน้า จะร้องไห้ไปทำไมเล่าแม่จ๋า คือการที่แม่ร้องไห้ถึงฉัน ไม่มี เหตุ (อันควร) เลย ดังนี้.
มารดาของสานุสามเณร ฟังคำนั้นแล้ว เมื่อจะแสดงว่าการสึก จัดเป็นมรณะในวินัยของพระอริยเจ้า โดยทำนองแห่งสุดบทที่ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุใด ลาสิกขาเวียนมาเพื่อความเป็นคนเลว นั่นเป็นมรณะของเธอ ดังนี้ จึงได้กล่าวคาถา ๒ คาถา ความว่า
ลูกเอ๋ย ญาติและมิตรทั้งหลายย่อมร้องไห้ถึงคนที่ตายแล้ว หรือยังเป็นอยู่แต่หายไป แต่คนใดละกามทั้งหลายแล้ว จะกลับมาในกามนี้อีก ลูกรัก ญาติและ มิตรทั้งหลาย ย่อมร้องไหถึงคนนั้น เพราะเขาเป็นอยู่ต่อไปอีก ก็เหมือนตายแล้ว แน่ะพ่อ เรายกเจ้าขึ้นจากเถ้ารึงที่ยังร้อนระอุแล้ว ท่านอยากจะตกลงไปสู่เถ้ารึง อีกหรือ ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กาเม จชิตฺวาน ความว่า ละวัตถุกามทั้งหลาย โดยมีอัธยาศัยน้อมไปในเนกขัมมะ ก็การละวัตถุกามนั้น พึงทราบด้วยสามารถแห่งการละกิเลสกาม ด้วยองค์แห่งมรรคนั้น. ก็บรรพชาท่าน ประสงค์เอาว่าเป็นการสละกาม ในคาถานี้.
บทว่า ปุนราคจฺฉเต อิธ ความว่า กลับมาในเรือนนี้อีกนั่นเอง. ท่านกล่าวหมายถึง การเวียนมาเพื่อความเป็นคนเลว. บทว่า ตํ วาปิ ความว่า บุคคลใดบวชแล้วสึก พวกเราย่อมร้องไห้ถึงบุคคลแม้นั้นแหละ ซึ่งเป็นดุจตายแล้ว.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 252
ถ้าจะมีคำถามขึ้นว่า เพราะเหตุไร? ตอบว่า เพราะถึงเขาจะเป็นอยู่ต่อไปอีก ก็เหมือนคนตายแล้ว คือ ผู้ใดหลังจากสึกไป ยังมีชีวิตอยู่ ผู้นั้นชื่อว่า ตายแล้วจากประโยชน์ทีเดียว เพราะตายจากคุณธรรม. บัดนี้เพื่อ จะให้สานุสามเณรนั้นเกิดความสลดใจยิ่งขึ้น มารดาจึงกล่าวคำ มีอาทิว่า กุกฺกุฬา ดังนี้.
ใจความของคาถานั้น ก็ว่า ภาวะของคฤหัสถ์ ชื่อว่าเป็นดุจเถ้ารึง เพราะคล้ายกับนรก ชื่อว่า กุกกุฬะ ด้วยอรรถว่าเผาไหม้ เพราะดุจถูกไฟเผา แล้วทั้งกลางวันและกลางคืน อันเราผู้มีความอนุเคราะห์ ยกขึ้นแล้ว คือถอนขึ้นแล้ว ดูก่อนพ่อสานุ ท่านยังปรารถนาเพื่อจะตกไปสู่เถ้ารึง คือประสงค์จะ ตกไปสู่เถ้ารึงหรือ ดังนี้.
สานุสามเณรฟังคำนั้นแล้ว เกิดความสลดใจ เริ่มวิปัสสนา แล้วบรรลุพระอรหัตต่อกาลไม่นานนัก. สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ ใน อปทานว่า
เราเห็นพระสมณะผู้ผ่องใส ไม่ขุ่นมัว กำลังเสวยอยู่ ได้เอาน้ำในหม้อถวาย แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่า สิทธัตถะ วันนี้เราเป็นผู้ไม่เศร้าหมอง ปราศจากมลทิน สิ้นสงสัย ผลย่อมเกิดแก่เราในภพ ที่เกิดอยู่ในกัปที่ ๙๔ แต่ภัทรกัปนี้ เราได้ถวายน้ำใน กาลนั้น ด้วยการถวายน้ำนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวายน้ำ ในกัปที่ ๖๑ แต่ภัทรกัปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า วิมละ ทรงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 253
เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ฯลฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า เรากระทำสำเร็จแล้ว ดังนี้.
ก็พระเถระ ครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว คิดว่า การเริ่มเจริญวิปัสสนา และการบรรลุพระอรหัต เกิดแก่เรา ด้วยสามารถแห่งคาถานี้ ดังนี้ แล้ว จึงได้ยกคาถานั้นแหละ โดยเป็นคาถาอุทาน.
จบอรรถกถาสานุเถรคาถา