.
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เพศบรรพชิต เป็นเพศที่สูงกว่าคฤหัสถ์ซึ่งจะต้องขัดเกลากิเลสของตนเองเป็นอย่างยิ่งซึ่งถ้าได้ศึกษาพระธรรมวินัยและมีความเข้าใจอย่างถูกต้อง พร้อมทั้งน้อมประพฤติปฏิบัติด้วยความจริงใจ ย่อมจะเกิดผลดีต่อตัวท่านเองที่จะเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากการได้ถือเพศเป็นบรรชิต และยังเป็นเหตุให้คฤหัสถ์ผู้พบเห็นในกิริยาอาการ ความประพฤติต่างๆ อันสมควรแก่ความเป็นบรรพชิต เกิดกุศลจิตอนุโมทนา หรือ เกิดความเลื่อมใส ได้ด้วย แม้แต่ในเรื่องของการบิณฑบาต ซึ่งตามพระวินัยบัญญัติ พระภิกษุจะต้องรับอาหารบิณฑบาตแต่พอประมาณ คือ รับพอยังอัตภาพให้เป็นไปได้วันหนึ่งคืนหนึ่ง เท่านั้น ไม่ควรรับเกินขอบบาตร เพราะถ้ารับเกินขอบบาตร นอกจากสะสมความเป็นผู้มักมากด้วยแล้ว ยังเป็นอาบัติมีโทษทางพระวินัย เพราะมีสิกขาบท ๑ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ว่า "ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักรับบิณฑบาต จดเสมอขอบบาตร" ถ้าฝ่าฝืน รับเกินจากนี้ ก็เป็นอาบัติ มีโทษทางพระวินัย
สำหรับกรณีที่จะภิกษุจะรับอาหารบิณฑบาต ๒ - ๓ บาตร ได้ (ต้องไม่เกิน ๓ บาตร) เฉพาะในกรณีมีผู้นิมนต์ หรือคฤหัสถ์ได้ปวารณาไว้ ก็สามารถรับได้ แต่ต้องรับไปเพื่อประโยชน์แก่ภิกษุทั้งหลายเท่านั้น ตามข้อความใน พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ - หน้าที่ ๔๙๒ ดังนี้
โภชนวรรค สิกขาบทที่ ๔
พระบัญญัติ
อนึ่ง เขาปวารณาเฉพาะภิกษุผู้เข้าไปสู่ตระกูล ด้วยขนมก็ดี ด้วยสัตตุผงก็ดี เพื่อนำไปได้ตามปรารถนา ภิกษุผู้ต้องการพึงรับได้เต็ม ๒-๓ บาตร ถ้ารับยิ่งกว่านั้น เป็นปาจิตตีย์ ครั้นรับเต็ม ๒-๓ บาตรแล้ว นำออกจากที่นั้นแล้ว พึงแบ่งปันกับภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นสามีจิกรรม ในเรื่องนั้น
สำหรับในประเด็นคำถาม ความผิดทั้งหมด อยู่ที่พระภิกษุ ซึ่งเป็นผู้มักมาก ไม่รู้จักประมาณในการรับ ไม่เคารพยำเกรงในพระวินัยบัญญัติที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติไว้ ไม่ได้ขัดเกลากิเลสของตนเอง ส่วนเด็กวัดที่มาช่วย ก็เป็นการช่วยเหลือของเด็กวัดซึ่งคฤหัสถ์ ไม่มีอาบัติสำหรับคฤหัสถ์ แต่ถ้าได้เข้าใจพระธรรมวินัยอย่างถูกต้อง ก็จะไม่ทำสิ่งที่ผิด และไม่สนับสนุนสิ่งที่ผิด ครับ
...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ