[เล่มที่ 74] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 264
๓. จัมเปยยจริยา
ว่าด้วยจริยาวัตรของจัมเปยยกนาคราช
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 74]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 264
๓. จัมเปยยจริยา
ว่าด้วยจริยาวัตรของจัมเปยยกนาคราช
[๑๓] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลเมื่อเราเป็นพระยานาค ชื่อจัมเปยยกะ มีฤทธิ์มาก แม้ในกาลนั้น เราเป็นผู้ประพฤติธรรม เพียบพร้อมด้วยศีลวัตร หมองูได้จับเรา เราเป็นผู้ประพฤติธรรม รักษาอุโบสถ ให้เล่นรำอยู่ที่ใกล้ประตูพระราชวัง หมองูนั้นคิดเอาสีเช่นใด คือ สีเขียว สีเหลือง หรือสีแดง เราย่อมเปลี่ยนไปตามจิตของเขา แปลงกายให้เหมือนที่เขาคิด เราได้ทำน้ำให้เป็นบกบ้าง ได้ทำบกให้เป็นน้ำบ้าง ถ้าแหละเราโกรธเคืองต่อหมองูนั้น ก็พึงทำเขาให้เป็นเถ้าโดยฉับพลัน ถ้าเราจักเป็นไปตามอำนาจจิต เราก็จักเสื่อมจากศีล เมื่อเราเสื่อมจากศีล ประโยชน์อันสูงสุดจะไม่สำเร็จ กายของเรานี้จะแตกไป กระจัดกระจายอยู่ ณ ที่นี้ เหมือนแกลบ จงกระจัดกระจายอยู่ก็ตามเถิด เราจะไม่ทำลายศีลละ ฉะนี้แล.
จบ จัมเปยยจริยาที่ ๓
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 265
อรรถกถาจัมเปยยนาคจริยาที่ ๓
พึงทราบวินิจฉัยในอรรถกถาจัมเปยยนาคจริยาที่ ๓ ดังต่อไปนี้.
บทว่า จมฺเปยฺยโก พระยานาคชื่อว่าจัมเปยยกะ คือ แม่น้ำชื่อว่าจัมปา อยู่ในระหว่างแคว้นอังคะและมคธะ. ใต้แม่น้ำนั้นแม้นาคพิภพก็ชื่อว่าจัมปา เพราะเกิดไม่ไกลกัน. นาคราชชื่อว่าจัมเปยยกะเกิดที่นาคพิภพนั้น.
บทว่า ตทาปิ ธมฺมิโก อาสึ แม้ในกาลนั้นเราเป็นผู้ประพฤติธรรม คือแม้ในกาลที่เราเป็นนาคราชชื่อว่า จัมเปยยกะนั้นก็ได้เป็นผู้ประพฤติธรรม.
มีเรื่องย่อว่า พระโพธิสัตว์ในกาลนั้นบังเกิดในนาคพิภพชื่อว่าจัมปา เป็นนาคราชชื่อว่าจัมเปยยกะ มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก. นาคราชนั้นครองนาคราชสมบัติอยู่ในนาคพิภพนั้น เสวยอิสสริยสมบัติเช่นเดียวกับโภคสมบัติของเทวราช เพราะไม่มีโอกาสได้บำเพ็ญบารมี จึงดำริว่า ประโยชน์อะไรด้วยกำเนิดเดียรัจฉานนี้. เราจักเข้าอยู่จำอุโบสถ พ้นจากนี้แล้ว จักบำเพ็ญบารมีให้ดีทีเดียว ตั้งแต่นั้นมาก็รักษาอุโบสถในปราสาทของตนนั่นเอง. นางนาคมาณวิกาแต่งตัวแล้วมาหาพระโพธิสัตว์. พระโพธิสัตว์ดำริว่า อยู่ที่ปราสาทนี้จักเป็นอันตรายแก่ศีลของเรา จึงออกจากปราสาทไปอยู่ในสวน. แม้ในสวนนั้นพวกนางนาคมาณวิกาก็มาหาอีก. พระโพธิสัตว์ดำริว่า ในสวนนี้ ศีลของเราก็จักเศร้าหมอง เราจักออกจากนาคพิภพนี้ไปยังมนุษยโลก แล้วอยู่จำอุโบสถ. ตั้งแต่นั้นมาพระโพธิสัตว์ก็ออกจากนาคพิภพในวันอุโบสถ สละร่างกายให้เป็นทาน โดยอธิษฐานว่า ผู้ต้องการหนังเป็นต้นของ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 266
เรา จงเอาหนังไปเถิด. หรือประสงค์จะเอาไปทำกีฬางู ก็จงทำเถิด แล้วนอนขดขนดอยู่บนยอดจอมปลวกใกล้ทาง ไม่ไกลบ้านชายแดนแห่งหนึ่ง อยู่จำอุโบสถในวัน ๑๔ ค่ำ และ ๑๕ ค่ำ. ในวันค่ำหนึ่งจึงไปนาคพิภพ. เมื่อพระโพธิสัตว์รักษาอุโบสถอยู่อย่างนี้ กาลเวลาล่วงไปยาวนาน. ลำดับนั้น อัครมเหสีชื่อสุมนากล่าวกะพระโพธิสัตว์ว่า ข้าแต่พระองค์ พระองค์เสด็จไปมนุษยโลกเข้าจำอุโบสถ. ก็มนุษยโลกนั้นเต็มไปด้วยภัยอันตราย จึงประทับอยู่ ณ ฝั่งโบกขรณีอันเป็นมงคล ทรงบอกนิมิต ๓ ประการแก่นางสุมนาว่า แม่นางผู้เจริญ หากใครทำร้ายเราให้ลำบาก น้ำในสระโบกขรณีนี้จักขุ่น. หากครุฑจับ. น้ำจักเดือดพล่าน. หากหมองูจับ. น้ำจักมีสีแดงแล้วอธิษฐานอุโบสถในวัน ๑๔ ค่ำ จึงออกจากนาคพิภพไปนอนบนยอดจอมปลวกนั้น ยังจอมปลวกให้งดงามด้วยความงามของร่างพระโพธิสัตว์. เพราะร่างของพระโพธิสัตว์ขาวดุจพวงเงิน. ยอดศีรษะดุจลูกคลีทำด้วยผ้ากัมพลสีแดง. ร่างกายประมาณหัวงอนไถ. เมื่อครั้งพระภูริทัตประมาณขาอ่อน. เมื่อครั้งพระสังขปาละประมาณเรือโกลนลำหนึ่ง.
ในกาลนั้นมาณพชาวกรุงพาราณสีคนหนึ่ง ไปเมืองตักกสิลา เรียนมนต์อาลัมพายน์ คือ มนต์สะกดจิต เรียนจบแล้วก็กลับบ้านของตน มาตามทางนั้นเห็นพระมหาสัตว์ คิดว่า เรื่องอะไรที่เราจะกลับบ้านมือเปล่า จับนาคนี้ไปแสดงการเล่นในหมู่บ้าน นิคม และราชธานี ก็จะได้ทรัพย์แล้วจึงค่อยไป ได้หยิบโอสถทิพย์ ร่ายทิพยมนต์เข้าไปหานาคราช. นาคราชตั้งแต่
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 267
ได้ยินทิพยมนต์ ได้เป็นดุจซี่เหล็กร้อนยอนเข้าไปในหูของพระมหาสัตว์ ดุจปลายหงอนถูกขยี้. พระมหาสัตว์ยกศีรษะออกจากระหว่างขนดมองดูนั่นใครหนอ เห็นหมองู จึงดำริว่า พิษของเราแรงกล้า หากเราโกรธจักพ่นลมออกจากจมูก ร่างกายของหมองูนี้ก็จะกระจุยกระจายดุจแกลบ. ที่นั้นศีลของเราก็จะขาด. เราจักไม่มองดูหมองูละ. พระมหาสัตว์หลับตาสอดศีรษะเข้าไประหว่างขนด. พราหมณ์หมองูเคี้ยวโอสถร่ายมนต์ พ่นน้ำลายลงบนร่างของพระมหาสัตว์. ด้วยอานุภาพของโอสถและมนต์ ได้เป็นดุจพุพองผุดขึ้นในที่ที่น้ำลายถูกต้อง.
ลำดับนั้นพราหมณ์หมองู จึงจับที่หางฉุดออกมาให้นอนเหยียด เอาไม้ตีนแพะกดไว้ ทำให้อ่อนกำลัง แล้วจับศีรษะให้มั่น. พระมหาสัตว์อ้าปาก. หมองูจึงพ่นน้ำลายลงในปากของพระมหาสัตว์ ทำลายฟันด้วยกำลังมนต์โอสถ. เลือดเต็มปาก. พระมหาสัตว์อดกลั้นทุกข์ถึงปานนี้ เพราะเกรงศีลของตนจะขาด จึงหลับตา ไม่ทำแม้เพียงแลดู. หมองูนั้นคิดว่า เราทำนาคราชให้หมดกำลัง จึงขยำทั่วร่าง ดุจจะทำให้กระดูกตั้งแต่หางแหลกเหลว พันผ้าสำลี เอาด้ายมัด จับที่หาง เอาผ้าทุบ. โลหิตเปื้อนทั่วร่างพระมหาสัตว์. พระมหาสัตว์อดกลั้นเวทนาอันสาหัส.
ลำดับนั้น หมองูรู้ว่าพระมหาสัตว์หมดกำลัง จึงเอาเถาวัลย์ทำตะกร้า จับพระมหาสัตว์ใส่ลงในตะกร้า นำไปยังบ้านชายแดน ให้เล่นกีฬาท่ามกลางมหาชน. พระมหาสัตว์ฟ้อนทำตามพราหมณ์ต้องการให้ทำ ในสีมีสีเขียว
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 268
เป็นต้น ในสัณฐานมีสี่เหลี่ยมเป็นต้น ในประมาณมีละเอียดและหยาบเป็นต้น. ทำพังพานร้อยหนึ่งบ้าง พันหนึ่งบ้าง. มหาชนชอบใจได้ให้ทรัพย์เป็นอันมาก. วันเดียวเท่านั้นได้กหาปณะพันหนึ่ง และบริขารมีค่าพันหนึ่ง. พราหมณ์คิดมาแต่ต้นแล้วว่า ได้ทรัพย์พันหนึ่งแล้วจะปล่อย. แต่ครั้นได้ทรัพย์นั้นแล้ว คิดว่า ในบ้านชายแดนเท่านั้นเรายังได้ทรัพย์ถึงเพียงนี้ เมื่อเราแสดงแก่พระราชาและมหาอำมาตย์ของพระราชา จักได้ทรัพย์มากเพียงไร. จึงหาเกวียนและยานน้อยที่สบายบรรทุกบริขารลงในเกวียน ตนเองนั่งบนยานน้อยที่สบาย คิดว่า เราจะให้พระมหาสัตว์เล่นกีฬาในบ้าน นิคม และราชธานี ด้วยบริวารอันใหญ่ ครั้นให้เล่นในราชสำนักของพระเจ้าอุคคเสนะ ในกรุงพาราณสีแล้วก็จะปล่อย จึงได้เดินทางไป. พราหมณ์นั้นได้ฆ่ากบให้นาคราช. นาคราชไม่กิน ด้วยคิดว่า พราหมณ์จักฆ่ากบเพราะอาศัยเราบ่อยๆ ทีนั้นพราหมณ์จึงให้น้ำผึ้งและข้าวตอกแก่พระมหาสัตว์. พระมหาสัตว์ไม่กินแม้น้ำผึ้งและข้าวตอกเหล่านั้น ด้วยคิดว่า หากเราถือเอาอาหาร. จักต้องตายภายในตะกร้านี้แหละ.
พราหมณ์ได้ไปถึงกรุงพาราณสีประมาณ ๑ เดือน ให้พระโพธิสัตว์เล่นกีฬาที่ประตูบ้านได้ทรัพย์เป็นอันมาก. แม้พระราชาก็รับสั่งให้เรียกพราหมณ์นั้นมา ตรัสว่า จงให้เล่นกีฬาให้เราดู. พราหมณ์ทูลรับพระดำรัสว่า ขอเดชะ ข้าพระองค์จะให้เล่นกีฬาถวายพระองค์ในวัน ๑๕ ค่ำ พระเจ้าข้า. พระราชารับสั่งให้ตีกลองป่าวประกาศว่า พรุ่งนี้นาคราชจักฟ้อนที่พระ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 269
ลานหลวง ขอให้มหาชนจงมาประชุมดูเถิด วันรุ่งขึ้นรับสั่งให้ตกแต่งพระลานหลวง แล้วตรัสเรียกหาพราหมณ์ให้เข้าเฝ้า. พราหมณ์จึงนำพระมหาสัตว์ในตะกร้าแก้ว ไปวางตะกร้าไว้ ณ ที่ลาดอันวิจิตรนั่งอยู่. พระราชาก็เสด็จลงจากปราสาทแวดล้อมด้วยมหาชนประทับนั่งเหนือราชอาสน์. พราหมณ์นำพระมหาสัตว์ออกมาแล้วให้ฟ้อน. พระมหาสัตว์แสดงไปตามที่พราหมณ์คิดให้แสดง. มหาชนไม่อาจทรงภาวะของตนไว้ได้. ต่างยกผ้าพันผืนโบกไปมาแล้วฝนตกเบื้องบนพระมหาสัตว์. ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ตทาปิ มํ ธมฺมจารึ แม้ในกาลนั้นเราเป็นผู้ประพฤติธรรมเป็นอาทิ.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ตทาปิ คือแม้ในกาลที่เราเป็นนาคราช ชื่อว่า จัมเปยยกะ.
บทว่า ธมฺมจารึ คือประพฤติกุศลกรรมบถ ๑๐. ชื่อว่าผู้ประพฤติธรรม เพราะไม่ประพฤติสิ่งที่เป็นอธรรมแม้แต่น้อย.
บทว่าอุปวุฏฺอุโปสถํ คือเข้าจำอุโบสถด้วยการรักษาอริยอุโบสถศีล ประกอบด้วยองค์ ๘.
บทว่า ราชทฺวารมฺหิ กัฬติ คือให้เล่นอยู่ที่ประตูพระราชวังของพระเจ้าอุคคเสนะในกรุงพาราณสี.
บทว่า ยํ ยํ โส วณฺณํ จินฺตยิ คือพราหมณ์หมองูนั้นคิดว่า จงเป็นสีเขียวเป็นต้นเช่นใด. ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า นีลํ ว ปีตโลหิตํ สีเขียว สีเหลือง สีแดง เป็นอาทิ.
ในบทเหล่านั้น บทว่า นีลํ ว. วา ศัพท์ เป็นความไม่แน่นอน. วา ศัพท์ ทำเสียงให้สั้นเป็น ว ศัพท์ เพื่อสะกดด้วยในการแต่งคาถา. ด้วย วา ศัพท์นั้น ท่านสงเคราะห์เอาความต่างของสี มีสีขาวเป็นต้น ความต่าง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 270
ของสัณฐานมีสันฐานกลมเป็นต้น ความต่างของประมาณมีละเอียดและหยาบเป็นต้น.
บทว่า ตสฺส จิตฺตานุวตฺตนฺโต คือเปลี่ยนไปตามความคิดของหมองูนั้น.
บทว่า จินฺติตสนฺนิโภ แปลงกายให้เหมือนเขาคิด พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า เราช่วยจูงใจชนผู้เพ่งดูด้วยอาการที่หมองูคิดให้ทำ. อานุภาพของเรามิใช่แสดงอาการตามที่หมองูคิดอย่างเดียว ที่แท้เราทำน้ำให้เป็นบกบ้าง ทำบกให้เป็นน้ำบ้าง. เราสามารถทำแผ่นดินใหญ่อันเป็นบกให้เป็นน้ำได้ สามารถทำแม้น้ำให้เป็นแผ่นดินได้. อานุภาพใหญ่ด้วยประการฉะนี้.
บทว่า ยทิหํ ตสฺส กุปฺเปยฺยํ คือหากเราโกรธเคืองต่อหมองูนั้น.
บทว่า ขเณน ฉาริกํ กเร คือพึงทำให้เป็นเถ้าในขณะเกิดความโกรธนั่นแล.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงความที่พระองค์สามารถกำจัดความฉิบหายอันจะเกิดขึ้นแก่พระองค์ในกาลนั้น บัดนี้ เพื่อทรงแสดงถึงความประสงค์ที่พระองค์ไม่ทำการกำจัด จึงตรัสพระดำรัสมีอาทิว่า ยทิ จิตฺตวสี เหสฺสํ ดังนี้.
บทนั้นมีความดังต่อไปนี้ ถ้าเราจักเป็นไปในอำนาจของจิต แม้ด้วยเหตุเพียงโกรธแล้วมองดูด้วยคิดว่า หมองูนี้เบียดเบียนเราเหลือเกิน คงไม่รู้จักอานุภาพของเรา. เอาละเราจักแสดงอานุภาพของเราให้หมองูเห็นดังนี้ ทีนั้นหมองูก็จักกระจุยกระจายดุจแกลบไปฉะนั้น. เราก็จักเสื่อมจากศีลตามที่เรา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 271
ได้สมาทานไว้. ก็เมื่อเราเสื่อมจากศีล มีศีลขาด ประโยชน์อันใดที่เราปรารถนาไว้ตั้งแต่บาทมูลของพระทศพลพระนามว่าทีปังกร ประโยชน์อันสูงสุด คือ ความเป็นพระพุทธเจ้านั้นก็จะไม่สำเร็จ.
บทว่า กามํ ภิชฺชตุ ยํ กาโย คือ กายมีความไม่เที่ยง ต้องขัดสี ต้องบีบนวด ต้องทำลายและต้องกำจัดเป็นธรรมดา สะสมขึ้นด้วยข้าวสุกและขนม คือมหาภูตรูป ๔ นี้จงแตก คือพินาศไป จงกระจุยกระจายไปเหมือนแกลบที่ซัดไปในลมแรงในที่นี้ก็ตามเถิด.
บทว่า เนว สีลํ ปภินฺเทยฺยํ, วิกิรนฺเต ภุสํ วิย คือพระโพธิสัตว์คิดว่า แม้เมื่อร่างกายนี้กระจัดกระจายไปเหมือนแกลบ เราก็จะไม่ทำลายศีลอันเป็นเหตุแห่งความสำเร็จประโยชน์สูงสุด. เราจะไม่คำนึงถึงร่างกายและชีวิต จะบำเพ็ญศีลบารมีเท่านั้น แล้วจะอดกลั้นทุกข์เช่นนั้นในกาลนั้น ท่านแสดงไว้ดังนี้.
ก็เมื่อพระมหาสัตว์ตกอยู่ในเงื้อมมือของหมองูครบเดือนพอดี. พระมหาสัตว์อดอาหารตลอดกาลประมาณเท่านั้น. นางสุมนาแลดูสระโบกขรณีด้วยคิดว่า สามีของเราช้าเหลือเกิน. จะมีเหตุอะไรหนอ ครั้นเห็นน้ำมีสีแดงก็รู้ว่า สามีถูกหมองูจับ จึงออกจากนาคพิภพไปใกล้จอมปลวก เห็นที่ที่พระมหาสัตว์ถูกจับและที่ที่ถูกทรมาน จึงร้องไห้คร่ำครวญไปยังบ้านชายแดนถาม ครั้นทราบเรื่องราวแล้วก็ไปกรุงพาราณสี ยืนร้องไห้อยู่บนอากาศใกล้ประตูพระราชวัง. พระมหาสัตว์กำลังฟ้อนอยู่ แหงนสู่อากาศเห็นนางสุมนา จึงละอายเข้าตะกร้านอน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 272
พระราชาในขณะที่พระโพธิสัตว์เข้าตะกร้า ทรงดำริว่า มีเหตุอะไรหนอ ประทับยืนทอดพระเนตรดูข้างโน้นข้างนี้ ทรงเห็นนางสุมนายืนอยู่บนอากาศ ตรัสถามว่า ท่านเป็นใคร ครั้นทรงทราบว่า นางเป็นนาคกัญญา ทรงเข้าพระทัยว่า นาคราชคงเห็นนางนาคกัญญานี้ละอายเข้าตะกร้าไปโดยไม่ต้องสงสัย. ฤทธานุภาพตามที่ได้แสดงนี้เป็นของนาคราชเท่านั้น มิใช่ของหมองู จึงตรัสถามว่า นาคราชนี้มีอานุภาพมากถึงอย่างนี้ตกไปสู่มือของพราหมณ์นี้ได้อย่างไร ทรงสดับว่า นาคราชนี้มีศีลประพฤติธรรมเข้าอยู่จำอุโบสถในวัน ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ มอบร่างกายของตัวให้เป็นทาน นอนอยู่บนยอดจอมปลวกใกล้ทางหลวง. ถูกหมองูจับในที่นั้น. นาคราชนี้มีนาคกัญญาตั้งพันเปรียบด้วยนางเทพอัปสร. สมบัติในนาคพิภพเช่นกับสมบัติในเทวโลก. นาคราชนี้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก สามารถพลิกแผ่นดินทั้งสิ้นได้. นาคราชคิดอย่างเดียวว่า ศีลของเราจักขาด จึงยอมรับทุกข์อย่างรุนแรงเห็นปานนี้ พระราชาทรงเกิดสังเวช ทันใดนั้นเองได้พระราชทานทรัพย์เป็นอันมาก ยศและความอิสระอย่างใหญ่หลวงแก่พราหมณ์ แล้วทรงให้ปล่อย ด้วยพระดำรัสว่า เอาเถิดท่านพราหมณ์ผู้เจริญ ขอท่านจงปล่อยนาคราชนี้เถิด.
พระมหาสัตว์ยังเพศนาคให้หายไปกลายเพศเป็นมาณพ ปรากฏดุจเทพกุมาร. แม้นางสุมนาก็ลงจากอากาศยืนอยู่ใกล้กับพระโพธิสัตว์นั้น ถวาย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 273
บังคมพระราชาทูลว่า ข้าแต่มหาราช ขอเชิญพระองค์เสด็จมาทอดพระเนตรที่อยู่ของข้าพระองค์เถิด. ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :-
จัมเปยยกนาคราชพ้นออกมาแล้วจึงทูลกะพระราชาว่า ข้าแต่พระเจ้ากาสี ขอความนอบน้อมจงมีแด่พระองค์ ข้าแต่ท่านผู้ยังแคว้นกาสีให้เจริญ ขอความนอบน้อมจงมีแด่พระองค์ ข้าพระองค์ขอถวายบังคมแด่พระองค์ ขอพระองค์พึงเห็นนิเวศน์ของข้าพระองค์.
พระราชาทรงอนุญาตให้พญานาคกลับไปยังนาคพิภพ. พระมหาสัตว์พาพระราชาพร้อมด้วยข้าราชบริพารไปยังนาคพิภพแสดงอิสสริยสมบัติของตน อยู่ในนาคพิภพได้ ๒- ๓ วัน จึงให้ตีกลองป่าวประกาศว่า พวกข้าราชบริพารทั้งหมดจงถือเอาทรัพย์มีเงินและทองเป็นต้นตามความต้องการ. มอบทรัพย์ถวายพระราชา ๑๐๐ เล่มเกวียน. พระมหาสัตว์ถวายโอวาทด้วยราชธรรมกถา ๑๐ ประการ มีอาทิว่า ข้าแต่มหาราช ธรรมดาพระราชาควรทรงบริจาคทาน. ควรรักษาศีล. ควรจัดการรักษาป้องกันคุ้มครองเป็นธรรมในกิจทั้งปวง แล้วส่งเสด็จกลับ. พระราชาเสด็จออกจากนาคพิภพด้วยพระยศอันใหญ่เสด็จถึงกรุงพาราณสี. ได้ยินว่าตั้งแต่นั้นมาในพื้นชมพูทวีปมีเงิน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 274
และทองเป็นอันมาก. พระมหาสัตว์รักษาศีล กระทำอุโบสถกรรมทุกกึ่งเดือน พร้อมด้วยบริษัทได้ไปบังเกิดบนสวรรค์.
หมองูในครั้งนั้นได้เป็นเทวทัตในครั้งนี้. นางสุมนา คือมารดาพระราหุล. อุคคเสนะ คือพระสารีบุตร. จับเปยยกนาคราช คือพระโลกนาถ.
แม้ในจริยานี้พึงเจาะจงกล่าวถึงบารมีที่เหลือของพระมหาสัตว์นั้นตามสมควร. อานุภาพอันน่าอัศจรรย์ของพระโพธิสัตว์ในที่นี้มีนัยดังกล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล.
จบ อรรถกถาจัมเปยยนาคจริยาที่ ๓