ผมไม่แน่ใจว่าตัวเองเข้าใจถูกหรือไม่ คือ เนื้อคู่ที่เป็นคู่ที่จะอยู่กับเราในชีวิตนี้ระยะยาว
จนกว่าจะจากกันไปนั้น
คนคนนี้จะถูกกำหนดจากเหตุและปัจจัยในกาลก่อนไว้แล้วพอสมควรสำหรับเงื่อนเวลา
ที่จะได้มาเจอกัน เวลา สถานการณ์อะไรที่จะมาเกื้อกูลกันอย่างนี้
ทีนี้หากเราเป็นผู้ที่ศึกษาธรรมะ แล้วต่อมาตระหนักและเห็นภัยในสังสารวัฏฏ์ซึ่งรวมไป
ถึงเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ที่ปุถุชนมักแสวงหานั้น
เราสามารถหลีกหนีไม่ทำตัวให้เป็นไปตามเงื่อนไขของการได้มาครองคู่ได้หรือไม่ครับ?
เคยเจอบางคนก็พูดทำนองว่า ยังงัยมันจะเกิดปฏิพัทธ์ทางใจที่ไม่อาจหลีกหนีไปได้
พ้น เพียงแต่ว่าถ้าฝักใฝ่ในทางธรรมก็ให้ปฏิบัติธรรม ดำรงตนให้อยู่ในศีลในธรรมให้
สอดคล้องตามสถานภาพของการครองคู่
บางคนก็ว่า แล้วแต่เราเลือก โดยเฉพาะถ้าชาตินี้เราเลือกที่ไม่มีคู่อะไรแบบนี้ ขึ้นอยู่
กับเจตน์จำนง ความปรารถนาซึ่งเป็นกรรมปัจจุบันของเราที่เราเลือก
หรือ บางคนก็อาจไปอธิษฐานในชาตินี้ (ซึงผมก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าที่อธิษฐานแบบนี้
เพราะว่าสัญญาจากปางก่อนทำให้โน้มเอียงที่จะมีจริตไปในทางไม่ประสงค์จะครองคู่
หรือไม่) ว่าจะไม่มีคู่ สงสัยเหมือนกันว่า อธิษฐานไม่มี ไม่เอา ทำได้ด้วยหรือ?
หรือว่า ถ้ามันจะมีคู่ก็คือ ต้องมี (ถึงจะเป็นคู่บุญ คู่บารมี คู่กุศลอะไรแบบนี้) เพราะว่านี้
ก็คือ การเสวยวิบากอย่างหนึ่ง?
พระพุทธศาสนามีคำตอบสำหรับเรื่องนี้ไว้บ้างไหมครับ?
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓ - หน้า ๔๓
จริงอยู่แม้พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ตรัสคำนี้ไว้ว่า
" ความรักนั้น ย่อมเกิด เพราะอาศัยเหตุ ๒ ประการ อย่างนี้ คือ เพราะการอยู่ร่วมกันในกาล ก่อน ๑ เพราะการเกื้อกูลกันในปัจจุบัน ๑ ดุจดอกบัว เกิดในน้ำ (เพราะอาศัยเปือกตมและน้ำ) ฉะนั้น."
----------------------------------------
ธรรมเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย การมีคู่ครองแต่งงานกัน ก็เป็นเรื่องของ
บุคคลผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ คือ ยังมีความติดข้องต้องการในรูปเสียง กลิ่น รส และ
โผฏฐัพพัพพะ เป็นธรรมดาจริงๆ เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจ
บังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น แม้ก่อนจะแต่งงานอาจจะมีความคิดว่า จะไม่มีคู่ครอง
จะไม่แต่งงาน แต่เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม ใครๆ ก็ยับยั้งความเกิดขึ้นเป็นไปของธรรม
ไม่ได้
การเดินทางในสังสารวัฏฏ์ยังอีกยาวไกล ชีวิตไม่ได้สำคัญอยู่ที่การมีคู่ครอง
หรือการไม่มีคู่ครอง แต่สำคัญอยู่ที่ได้กระทำตนให้คุ้มค่ากับการได้เกิดมาเป็นมนุษย์
หรือยัง ชีวิตของแต่ละบุคคลเป็นไปตามการสะสมไม่เหมือนกัน และไม่อยู่ในอำนาจ
บังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะใดสิ่งที่ขาดไม่ได้เลย คือ การสะสม
ความดีพร้อมทั้งอบรมเจริญปัญญาในชีวิตประจำวัน เพราะกุศลธรรมเท่านั้นที่จะเป็น
ที่พึ่งในชีวิตได้อย่างแท้จริง ไม่ใช่อย่างอื่น ตราบใดที่ยังไม่สามารถดับกิเลสได้
อย่างหมดสิ้นถึงความเป็นพระอรหันต์ ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป เกิดมาใน
ภพนี้ชาตินี้ ก็เพียงชั่วคราว ในชาตินี้ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ไม่ใช่เกิดเป็นสัตว์ในอบาย
ภูมิ มีโอกาส ที่จะเจริญกุศลได้ทุกอย่าง จึงไม่ควรที่จะประมาทในชีวิต เพราะใน
ที่สุดแล้วก็จะต้องละจากโลกนี้ไป ช่วงเวลาที่เหลืออยู่นี้จึงเป็นเวลาที่มีค่าที่จะได้
สะสมความดีและ อบรมเจริญปัญญาต่อไป
และชีวิตประจำวัน อยู่ร่วมกันกับบุคคลหลายคน ธรรมที่ควรอบรมเจริญ นั่นก็คือ
เมตตา ความเป็นมิตร ความเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน, การมุ่งร้าย หวังร้ายให้กันและ
กันนั้น เป็นอกุศล ไม่ใช่ธรรมที่ดีงาม เวร เกิดขึ้นแล้วในขณะนั้น ไม่เป็นเป็นพื่อ
ประโยชน์เกื้อกูลแลยแม้แต่น้อย ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระพุทธศาสนามีคำตอบ สำหรับทุกประเด็น เพราะ เป็น สัจจะ ความจริงที่มี
เหตุผล ซึ่งการจะมีคู่ครอง ไม่มีคู่ครอง สำคัญที่จะต้องเข้าใจถูก เป็นพื้นฐานว่าความ
จริงแล้ว สิ่งที่มีจริงๆ คือ จิต เจตสิก รูป ที่เป็นสภาพธรรม ไม่มีสัตว์ บุคคล ต่อเมื่อมี
การเกิดขึ้นของสภาพธรรมที่เป็นจิต เจตสิก รูปแล้วจึงบัญญัติว่ามีสัตว์ บุคคล มีผู้ชาย
มีผู้หญิง มีบุคคลต่างๆ มีการแต่งงาน มี การมีคู่ครอง นี่คือ สิ่งสมมติ จากสิ่งที่มีจริง
เพราะฉะนั้น ที่สมมติว่ามีคู่ครองก็ไม่พ้นจากการเห็น สิ่งที่ปรากฎทางตา ได้ยินเสียง
ที่ปรากฎทางหู ..มีการกระทบสัมผัสทางกาย อันสมมติว่า เห็นคู่ครอง คนรัก ได้ยิน
เสียงคนที่เป็นคู่ครอง สัมผัส คนที่เป็นคู่ครอง ล้วนแล้วแต่เพราะมีธรรมเกิดขึ้นเป็นไป
ทั้งสิ้น แต่ สมมติว่าเป็นคู่ครอง เพราะฉะนั้น เมื่อได้เห็นสี ลักษณะอย่างนี้บ่อยๆ ที่
สมมติเรียกว่า คู่ครองของเรา อันเกิดจากสัญญาความทรงจำ การเห็นเป็นวิบาก ถาม
ว่า เราสามารถเลือกให้มีการเห็น สีใดอย่างไรได้หรือไม่ คำตอบ คือ ไม่ได้ เพราะฉะ-
นั้น การจะเห็นสิ่งใด ที่เป็น ผลของกรรมที่เป็นวิบากแล้ว จึงเป็นเรื่องของกรรมในอดีต
เป็นปัจจัย ไม่มีใครสามารถบังคับบัญชาได้ เพราะฉะนั้น สีงทีเห็นบ่อยๆ ที่สมมติว่า
เป็นคู่ครอง ก็ต้องมีเหตุปัจจัยจึงเห็นได้ คือ กรรมที่ทำในอดีต เพราะฉะนั้น การจะมีคู่
ครอง หรือ ไมมีคู่ครองนั้น จึงเป็นเรื่องของกรรมเป็นปัจจัย เพราะ ทำให้เห็นสี ใน
ลักษณะนี้ ได้ยินเสียงในลักษณะนี้ อันสมมติว่าเป็นคู่ครองอันเกิดจากกรรมเป็นปัจจัย
เมื่อเป็นเช่นนั้น เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม การไม่อยากมีคู่ครอง เป็นเรื่องของ อกุศลจิต
ที่เกิดขึ้นในจิตใจ ไม่ใช่ตัวผลของกรรม แต่เมื่อเหตุพร้อม วิบาก คือ ผลของกรรมก็
เกิดขึ้น คือ มีการเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้กระทบสัมผัส อย่างนี้ ลักษณะนี้บ่อยๆ
ที่สมมติว่าเป็นคู่ครอง จึงมีคู่ครองได้เมื่อเหตุพร้อม กรรมให้ผล ทำให้เห็น สีใน
ลักษณะอย่างนี้ ในชีวิตประจำวันบ่อยๆ นั่นเอง ครับ และ แม้ใจอยากจะมีคู่ครอง แต่
ใจที่อยากมี เป็นอกุศลจิต ไม่ใช่ผลของกรรม แต่การมีคู่ครอง ตามที่กล่าวแล้ว ที่
เป็นการเห็น ได้ยิน ..ในลักษณะสภาพธรรมนั้นบ่อยๆ อันสมมติว่าเป็นคู่ครองแล้ว
การเห็น การได้ยิน ล้วนแล้วแต่เป็น วิบาก ทีเกิดจากกรรมในอดีต เพราะฉะนั้น การจะ
ได้มีคู่ครองที่เป็นวิบาก ไม่ได้ขึ้นกับใจที่จะปรารถนา หรือ ไม่ปรารถนา กรรมต่างหาก
ที่จะทำให้ได้คู่ครอง หรือ ไม่ได้คู่ครอง ครับ จึงสามารถกลับมาตอบคำถามที่ว่า
คนคนนี้จะถูกกำหนดจากเหตุและปัจจัยในกาลก่อนไว้แล้วพอสมควรสำหรับเงื่อน
เวลาที่จะได้มาเจอกัน เวลา สถานการณ์อะไรที่จะมาเกื้อกูลกันอย่างนี้ทีนี้หากเราเป็น
ผู้ที่ศึกษาธรรมะ แล้วต่อมาตระหนักและเห็นภัยในสังสารวัฏฏ์ซึ่งรวมไปถึงเรื่องรักๆ
ใคร่ๆ ที่ปุถุชนมักแสวงหานั้น เราสามารถหลีกหนีไม่ทำตัวให้เป็นไปตามเงื่อนไข
ของการได้มาครองคู่ได้หรือไม่ครับ?
@ ตามที่กล่าวแล้ว เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม ก็จะต้องมีคู่ครอง เพราะ เป็นเรื่อง
ของวิบาก ส่วน จะหลีกหนีหรือไม่นั้น ก็ตามที่กล่าวข้างต้นว่า การจะอยากมีหรือไม่
อยากมี หากมีแล้ว จะไม่มี ก็ไม่ได้อยู่ที่ตนเอง บังคับบัญชาได้ เพราะเป็นเรื่องของ
กรรม ทีจะให้ผลอย่างไร หากจะต้องมี และ ยังจะต้องอยู่ร่วมกัน ก็จะต้องเป็นอย่าง
นั้น ความคิดนั้นสามารถคิดได้ แต่ ไม่สามารถฝืนวิบาก ที่เป็นผลของกรรมได้เลย ครับ
แต่ ที่สำคัญ ควรเข้าใจความจริงว่า หนทางการดับกิเลส ทีเป็นการปฏิบัติธรรม
ในพระพุทธศาสนา คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม เพราะฉะนั้น ปัญญาสามารถ
เกิดขึ้นได้ ซึ่งไม่ได้จำกัดเลยว่า หากมีคู่ครองแล้ว จะไม่มีปัญญา ไม่สามารถอบรม
หนทางการดับกิเลสได้ เพราะ ความเป็นจริง การปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา คือ
การรู้ความจริงของสภาพธรรมที่กำลังมีในขณะนี้ว่า เป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา
ไม่ใช่การปลีกวิเวก อยู่ที่เงียบสงบ ไปนั่งสมาธิ ตามที่เข้าใจ ดังนั้น การรู้ความจริง
ที่เป็นธรรมในชีวิตประจำวัน ก็เป็นการรู้ธรรมที่มีในขณะนี้ แม้จะมีคู่ครอง ก็ไม่พ้นไป
จากธรรม ขณะนี้ เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้กระทบสัมผัส คิดนึก มี สี เสียง กลิ่น
รส เย็น ร้อน อ่อนแข็ง เหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เป็นธรรม แต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรม ดังนั้น
ปัญญาก็ควรเกิดรู้ความจริง ซึ่ง แม้จะมีคู่ครองก็มีธรรมเหล่านี้ แต่ ขาดปัญญาที่จะ
ไปรู้เท่านั้น ดังนั้น การมีคู่ครอง ไม่ใช่เครื่องกั้นไม่ให้เกิดปัญญา ไม่ใช่เครื่องกั้นไม่ให้
เกิดการปฏิบัติธรรมในพระพุทธศานา แต่ เครื่องกั้นที่แท้จริง คือ อวิชชา ความไม่รู้
และ ความเห็นผิดที่เป็นกิเลส ซึ่งสามารถมีได้ กับทั้งผู้ที่มีคู่ครอง และไม่มีคู่ครอง
ดังนั้นหนทางที่ถูกต้อง คือ การเจิญอบรมปัญญา ศึกษาพระธรรม ก็จะเป็นเหตุ
ให้เกิดปัญญา และ รู้ความจริง แม้จะมีชีวิตอย่างคฤหัสถ์ ครองเรือน ก็บรรลุธรรมได้
เพราะปัญญาสามารถเกิดขึ้นได้ เพราะ อบรมเหตุที่ถูกต้องด้วยการฟัง ศึกษาพระธรรม
เป็นสำคัญ สมดั่งเช่น พระอริยสาวกในอดีตกาล ที่เป็นพระอริยบุคคล แต่ ก็ครองเรือน
ดำรงชีวิตดั่งเช่น คฤหัสถ์ เพราะ ท่านมีปัญญาอบรมเจริญสติปัฏฐาน รู้ความจริงในชีวิต
ประจำวัน ในขณะนี้ได้ โดยไมได้ไปหาที่สงบเงียบ ไปนั่งสมาธิ เพราะ ธรรม มีอยู่แล้ว
ให้รู้ในขณะนี้ ครับ มี ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี นางวิสาขาอุบาสิกา ที่ท่านครองเรือน
และ อบรมปัญญาในชีวิตประจำวัน ขออนุโมทนา ครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนา
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
"การมีคู่ครอง ไม่ใช่เครื่องกั้นไม่ให้เกิดปัญญา..แต่ เครื่องกั้นที่แท้จริง คือ อวิชชา ความไม่รู้ และ ความเห็นผิดที่เป็นกิเลส"
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อ.คำปั่น อ.ผเดิม และทุกท่านค่ะ
ขอขอบคุณ และอนุโมทนาคะ