เราจะอยู่กับบุคคลที่หน้าไหว้หลังหลอกอย่างไร ควรทำอย่างไรดี
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ก่อนอื่นต้องให้คำจำกัดความของคำว่า "หน้าไหว้ หลังหลอก" ก่อนว่า หมายถึงอะไรข้อความนี้ หมายถึง ต่อหน้าทำเป็นดี ลับหลังนินทาว่าร้าย หรือ ต่อหน้าทำอย่างหนึ่งลับหลังทำอีกอย่างหนึ่ง ถ้าไม่มีอกุศลเลย ก็จะเป็นอย่างนี้ไม่ได้ แต่เพราะยังมีอกุศลจึงมีพฤติกรรมเช่นนี้ ซึ่งเกิดขึ้นแล้วเป็นไปแล้วตามการสะสม แต่ละคนก็เป็นแต่ละหนึ่งจริงๆ ธรรม ไม่ใช่เรื่องบังคับบัญชาได้ แต่สามารถเข้าใจได้ ไม่ว่าใครจะมีพฤติกรรมอย่างไร ก็ไม่พ้นไปจากความประพฤติเป็นไปของสภาพธรรม แต่ละคนก็มีกิเลสที่ได้สะสมมาอย่างมากมายด้วยกันทั้งนั้น เมื่อได้เหตุได้ปัจจัย ก็พร้อมที่จะเกิดขึ้นทันที เป็นอกุศลทันที อกุศลธรรมเกิดกับใครก็เป็นอกุศล ไม่เปลี่ยนแปลงลักษณะ แต่เพราะยังไม่เข้าใจความเป็นจริงของสภาพธรรมที่เกิดขึ้น จึงมีความยึดถือว่าเป็นบุคคลคนนั้น คนนี้ที่ทำไม่ดี เป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก ตัวเราเองจึงเกิดอกุศลจิตในเพราะอกุศลของบุคคลอื่น ซึ่งความจริงแล้วไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้อื่น อยู่ที่การสะสมมาของตนเองแท้ๆ
ที่ควรพิจารณาอีกประการหนึ่ง คือ เวลาเห็นใครทำไม่ดี ส่วนใหญ่แล้วมักจะกล่าวว่า รับไม่ได้ รับไม่ได้เป็นอย่างยิ่ง แต่ ในเมื่อเป็นธรรม ก็ต้องรับได้ คือ เข้าใจในความเป็นธรรม แต่เราจะไม่ประพฤติตามในสิ่งที่ไม่ดีที่ผู้นั้นกระทำ และ ควรอย่างยิ่งที่จะเห็นใจ สงสาร เข้าใจในอกุศลของบุคคลอื่น เพราะขณะนั้น เขากำลังสร้างเหตุที่ไม่ดีให้กับตัวเขาเอง เป็นอกุศลของเขา ไม่ใช่ของเรา จึงไม่สมควรเลยที่จะให้จิตของเราจะเป็นอกุศล เพราะอกุศลของบุคคลอื่น ความเข้าใจพระธรรมเท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งอย่างแท้จริง และประคับประคองรักษาจิตของตนไม่ให้ตกไปในฝักฝ่ายของอกุศลมากนัก ครับ ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
"เวลาเห็นใครทำไม่ดี ส่วนใหญ่แล้วมักจะกล่าว ว่า รับไม่ได้ รับไม่ได้เป็นอย่างยิ่ง
แต่ ในเมื่อเป็นธรรม ก็ต้องรับได้ คือ เข้าใจใน ความเป็นธรรม แต่เราจะไม่ประพฤติตาม
ในสิ่งที่ไม่ดีที่ผู้นั้นกระทำ"
ขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
เราจะอยู่กับบุคคลหน้าไหว้หลังหลอกได้อย่างไร?
อยู่ด้วยความ "เข้าใจ" และ "เมตตา" ค่ะ ไม่ควรให้อกุศลของคนอื่น เป็นเหตุให้อกุศลของเราเจริญ
''....ธรรม ไม่ใช่เรื่องบังคับบัญชาได้ แต่สามารถเข้าใจได้....
แต่ละคนก็มีกิเลสที่ได้สะสมมาอย่างมากมายด้วยกันทั้งนั้น
เมื่อได้เหตุได้ปัจจัย ก็พร้อมที่จะเกิดขึ้นทันที เป็นอกุศลทันที.....
ควรอย่างยิ่งที่จะเห็นใจ สงสาร เข้าใจในอกุศลของบุคคลอื่น
เพราะขณะนั้น เขากำลังสร้างเหตุที่ไม่ดีให้กับตัวเขาเอง
เป็นอกุศลของเขา ไม่ใช่ของเรา
จึงไม่สมควรเลยที่จะให้จิตของเราจะเป็นอกุศล เพราะอกุศลของบุคคลอื่น"
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
..เพราะมีความยึดถือว่าเป็นบุคคลคนนั้น คนนี้ที่ทำไม่ดี เป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก ตัวเราเองจึงเกิดอกุศลจิตเพราะอกุศลของบุคคลอื่น ซึ่งความจริงแล้วไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้อื่น อยู่ที่การสะสมมาของตนเองแท้ๆ ...
ขอขอบคุณและอนุโมทนาทุกท่านค่ะ
กุศลเป็นกุศล อกุศลเป็นอกุศล
ขอให้มีพระธรรมเป็นที่พึ่ง
ถ้ายังมีความโกรธ ขณะนั้นไม่มีพระธรรมเป็นที่พึ่ง
ทุกท่านยังมีกิเลสมากน้อยต่างกันตามการสะสม
ควรให้อภัยและเมตตาต่อกัน
ขอเชิญคลิกอ่านธรรมทัศนะ..
เราเปลี่ยนแปลงใครไม่ได้ค่ะ
ขอเชิญคลิกฟังธรรมครับ >> • วิบากจิตของท่าน มีคนอื่นทำให้หรือไม่
• ชนะกิเลสตนเอง
• จะเมตตาทันทีได้อย่างไร
ข้าพเจ้าชอบคำที่ท่านอาจารย์กล่าวบ่อยๆ คำหนึ่งว่า
"...ช่างเขาเถอะ..."
สำคัญที่ใจ (จิต) ของเรา ไม่เป็นอกุศลไปตามเขา
"...ทุกท่านยังมีกิเลสมากน้อยต่างกันตามการสะสม
ควรให้อภัยและเมตตาต่อกัน..."
ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนาทุกท่านครับ
อย่าเลวตามครับ กาย วาจา ใจ ไม่ดี ก็มีอบายเป็นที่ไป คงไม่อยากตามเขาไปใช่ไหม
ครับค่อยๆ ศึกษาตามจิต ที่เกิดขึ้นในแต่ละขณะ เพราะขณะที่ศึกษาก็เป็นกุศล แต่จะรู้แค่
ไหน อีกเรื่องหนึ่ง หากอยู่กับการศึกษาสภาพธรรม ความสำรวมจะเพิ่มขึ้นครับ กาย วาจา
ใจ จะดีขึ้น เพียงแต่ต้องอาศัยเวลา ความเพียร ความเข้าใจอันเกิดจากการฟัง
ถ้ามีความเข้าใจธรรมก็จะคิดถูก คิดเป็น และแต่ละบุคคลสะสมกาย วาจา
มาต่างกัน ถ้าเข้าใจจริงๆ ก็จะไม่เดือนร้อน เช่น พระสารีบุตร ท่านเดินไป
ก็มีคนมาทุบหลังท่าน ท่านก็ไม่เดือดร้อน แต่คนอื่นเดือดร้อนค่ะ ฯลฯ