การตายพรากจากทุกสิ่งโดยสิ้นเชิง ทั้งความคิด ความจำ ความยึดถือใดๆ ทั้งสิ้นที่
เคยเกาะเกี่ยวผูกไว้ ตั้งแต่เกิดจนเดี๋ยวนี้นั้น ก็จะผูกพันยึดถือว่าเป็นตัวเราอีกต่อไป
ไม่ได้ การพบกันครั้งสุดท้ายก่อนตายจากไปนั้น ไม่มีเครื่องหมาย ไม่มีสิ่งใดเลยที่จะ
แสดงให้รู้ว่า เมื่อเห็นกันแล้วจะไม่ได้เห็นกันอีก เมื่อเห็นตอนเช้าก็อาจจะไม่ได้เห็น
ตอนเย็น เห็นตอนเย็นก็อาจจะไม่ได้เห็นตอนเช้า ทุกคนเห็นความจริงว่า ไม่มีใคร
สามารถหลีกเลี่ยงหรือต่อรองความตายได้ จะขอเวลาต่อแม้เล็กน้อยก็ไม่ได้
ขออนุโมทนา
ทุกคนเกิดมาแล้วหนีไม่พ้นความตาย แม้แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ยังทรงปรินิพพานเลย
ขออนุโมทนา.....ธรรมจากความตาย
ธัมมะคือ การพรากจาก และสละออกอย่างแท้จริงในทรรศนะเพราะเพิ่งผ่านเหตุการณ์การพลัดพรากของผู้มีพระคุณการตายของท่านทำให้เห็นซึ่ง อนัตตา ในสภาวะจริงๆ
ทุกสิ่งทุกอย่างที่กระทำมาในชีวิตสูญสิ้นเป็น อนัตตา กราบอนุโมทนาแก่ผู้วายชนม์
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
อดคิดไม่ได้ว่า ทำไม คนเราเมื่อเกิดแล้ว ต้องตายด้วย อะไรหนอทำให้เราต้องเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จักจบสิ้นเสียที โลกใบนี้เห็นมีอยู่ 2 อย่างเท่านั้น คือ สุข และ
ทุกข์ เท่านั้น
สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง เมื่อเกิดขึ้น ความแตกดับย่อมมีเป็นธรรมดา
เพราะมีอวิชชาสัตว์ทั้งหลายจึงต้องเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จักจบสิ้น
ตายไปพร้อมๆ กับความไม่รู้กับรู้นั้นต่างกัน
การตายเป็นเพียงการสิ้นไปของรูปที่เป็นส่วนของร่างกาย แต่จิตนั้นยังคงปฏิสนธิในภพใหม่ คือ รูปใหม่ตามการสั่งสมของกรรมเกิดการสืบต่อชาติภพต่อไปยังคงเวียน
ว่ายในวัฏฏะจนกระทั่งมีการสั่งสมของปัญญาจนอวิชชาจะหาไม่ แต่สำหรับปุถุชนผู้ยัง
ไม่รู้ก็จะเข้าใจว่าการตาย คือ การสิ้นไป จาก ไป ยังความเศร้าโศก เสียใจ รำพัน ตาม
ความไม่รู้ พุทธบริษัททั้งหลายอย่ากระนั้นเลย จงอย่าประมาท จงเร่งสั่งสมปัญญา
เถิด จงเร่งทำความเพียร ทาน ศีลและภาวนาเสียตั้งแต่ยังมีเวลาเถิด