๑๑. เรื่องกุหกพราหมณ์ [๒๗๔]
โดย บ้านธัมมะ  26 ก.ค. 2564
หัวข้อหมายเลข 35082

[เล่มที่ 43] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้า 448

๑๑. เรื่องกุหกพราหมณ์ [๒๗๔]


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 43]



ความคิดเห็น 1    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้า 448

๑๑. เรื่องกุหกพราหมณ์ [๒๗๔]

ข้อความเบื้องต้น

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ที่กูฏาคารศาลา ทรงปรารภกุหกพราหมณ์ ผู้มีวัตรดังค้างคาวคนหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "กินฺเต" เป็นต้น.

พราหมณ์ลวงเอาสิ่งของของชาวเมือง

ได้ยินว่า พราหมณ์นั้นขึ้นต้นกุ่มต้นหนึ่ง ใกล้ประตูพระนครเวสาลี เอาเท้าทั้งสองเหนี่ยวกิ่งไม้ ห้อยหัวลงอยู่ กล่าวว่า "ท่านทั้งหลายจงให้โคแดง ๑๐๐ แก่เรา จงให้กหาปณะทั้งหลายแก่เรา จงให้หญิงบำเรอแก่เรา, ถ้าท่านทั้งหลายจักไม่ให้, เราตกจากต้นกุ่มนี้ตาย จักทำพระนครไม่ให้เป็นพระนคร." ในกาลเป็นที่เสด็จเข้าไปยังพระนครแม้ของพระตถาคต ผู้อันหมู่ภิกษุแวดล้อมแล้ว ภิกษุทั้งหลายเห็นพราหมณ์นั้นแล้ว แม้ในกาลเป็นที่เสด็จออกไป ก็เห็นเขาห้อยอยู่อย่างนั้นเหมือนกัน.

ฝ่ายชาวพระนครต่างก็คิดว่า "พราหมณ์นี้ ห้อยอยู่อย่างนี้ตั้งแต่เช้า พึงตกลง (ตาย) ทำพระนครไม่ให้เป็นพระนคร" กลัวความล่มจมแห่งพระนคร จึงยอมรับว่า "พวกเราจะให้ของทุกอย่างที่พราหมณ์นั้นขอ" แล้วได้ให้. เขาได้ลงรับเอาสิ่งของทั้งปวงไป.

ภิกษุทั้งหลายเห็นเขาเที่ยวไปดุจแม่โค ใกล้อุปจารแห่งวิหาร จำได้ จึงถามว่า "พราหมณ์ ท่านได้สิ่งของตามปรารถนาแล้วหรือ" ได้ฟังว่า "ขอรับ กระผมได้แล้ว" จึงกราบทูลเรื่องนั้นแต่พระตถาคต ณ ภายในวิหาร.

พระศาสดาตรัสบุรพกรรมของพราหมณ์

พระศาสดาตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย พราหมณ์นั่นเป็นโจรหลอกลวง


ความคิดเห็น 2    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้า 449

ในกาลนี้เท่านั้น หามิได้, ถึงในกาลก่อน ก็เป็นโจรหลอกลวงแล้วเหมือนกัน. ก็บัดนี้ พราหมณ์นั่นย่อมหลอกลวงพาลชนได้, แต่ในกาลนั้น ไม่อาจเพื่อหลอกลวงบัณฑิตทั้งหลายได้" ดังนี้แล้ว อันภิกษุเหล่านั้นทูลอ้อนวอนแล้ว ทรงนำอดีตนิทานมา (ตรัส) ว่า :-

"ในอดีตกาล ดาบสหลอกลวงรูปหนึ่ง อาศัยกาสิกคามตำบลหนึ่ง ย่อมสำเร็จการอยู่. ตระกูลหนึ่งบำรุงเธอ คือ ย่อมถวายส่วนหนึ่งแม้แก่เธอ จากของควรเคี้ยวและของควรบริโภคอันเกิดขึ้นแล้วในกลางวัน เหมือนให้แก่บุตรของตน, เก็บส่วนอันเกิดขึ้นในตอนเย็นไว้ถวายในวันที่ ๒.

ต่อมาวันหนึ่ง ตระกูลนั้นได้เนื้อเหี้ย (มา) ในเวลาเย็น แกงไว้ เรียบร้อยแล้ว เก็บส่วนหนึ่งจากส่วนที่แกงนั้นไว้ ถวายแก่เธอในวันที่ ๒. ดาบสพอกินเนื้อแล้ว ถูกความอยากในรสผูกพันแล้ว ถามว่า "นั่นชื่อเนื้ออะไร" ได้ฟังว่า "เนื้อเหี้ย" ดังนี้แล้ว เที่ยวไปเพื่อภิกษา รับเอาเนยใสนมส้มและเครื่องเผ็ดร้อนเป็นต้น ไปยังบรรณศาลา แล้วเก็บไว้ ณ ส่วนข้างหนึ่ง.

ก็พระยาเหี้ยอยู่ในจอมปลวกแห่งหนึ่ง ณ ที่ไม่ไกลแห่งบรรณศาลา. พระยาเหี้ยมาเพื่อไหว้พระดาบสตามกาลสมควร.

ก็ในวันนั้น ดาบสนั่นคิดว่า "เราจักฆ่าเหี้ยนั้น" ดังนี้แล้ว ซ่อนท่อนไม้ไว้ นั่งทำทีเหมือนหลับอยู่ ณ ที่ใกล้จอมปลวกนั้น.

พระยาเหี้ย ออกจากจอมปลวกแล้ว มายังสำนักของเธอ กำหนดอาการได้แล้ว จึงกลับจากที่นั้น ด้วยคิดว่า "วันนี้ เราไม่ชอบใจอาการ


ความคิดเห็น 3    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้า 450

ของอาจารย์." ดาบสรู้ความกลับของเหี้ยนั้นแล้วขว้างท่อนไม้ไปเพื่อประสงค์จะฆ่าเหี้ยนั้น. ท่อนไม้พลาดไป, พระยาเหี้ยเข้าไปสู่จอมปลวกแล้ว โผล่ศีรษะออกมาจากจอมปลวกนั้นแล้วแลดูทางที่มา กล่าวกะดาบสว่า :-

"ข้าพเจ้า สำคัญท่านผู้ไม่สำรวมว่าเป็นสมณะ จึงเข้าไปหาแล้ว, ท่านนั้น ย่อมไม่เป็นสมณะ โดยประการที่ท่านเอาไม้ประหารข้าพเจ้า. ท่านผู้มีปัญญาทราม ประโยชน์อะไรด้วยชฎาทั้งหลายของท่าน, ประโยชน์อะไรด้วยผ้าที่ทำด้วยหนังสัตว์ของท่าน, ภายในของท่านรกรุงรัง ท่านย่อมเกลี้ยงเกลาแต่ภายนอก."

ครั้งนั้น ดาบสเพื่อจะล่อพระยาเหี้ยนั้น ด้วยของมีอยู่ของตน จึงกล่าวอย่างนี้ว่า :-

"เหี้ย ท่านจงกลับมา จงบริโภคข้าวสุกแห่งข้าวสาลีทั้งหลาย, น้ำมันและเกลือของข้าพเจ้ามีอยู่, ดีปลีของข้าพเจ้าก็มีเพียงพอ."

พระยาเหี้ยฟังคำนั้นแล้ว กล่าวว่า "ท่านกล่าวโดยประการใดๆ ความที่ข้าพเจ้าประสงค์เพื่อหนีไปอย่างเดียว ย่อมมีโดยประการนั้นๆ " ดังนี้แล้ว กล่าวคาถานี้ว่า :-

"ข้าพเจ้านั้น ยิ่งจักเข้าไปสู่จอมปลวกลึกตั้ง ๑๐๐ ชั่วบุรุษ น้ำมันและเกลือของท่านจะเป็นประโยชน์ อะไร ดีปลีก็ไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ข้าพเจ้า."


ความคิดเห็น 4    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้า 451

ก็แลครั้นกล่าวอย่างนั้นแล้ว กล่าวว่า "ข้าพเจ้าได้ทำความสำคัญในท่านว่าเป็นสมณะสิ้นกาลประมาณเท่านี้, บัดนี้ ท่านขว้างท่อนไม้ไป เพราะความเป็นผู้ประสงค์จะประหารข้าพเจ้า, ท่านไม่เป็นสมณะแต่กาล ที่ท่านขว้างท่อนไม้ไปแล้วทีเดียว, ประโยชน์อะไรด้วยชฎาทั้งหลายของบุคคลผู้ทรามปัญญาเช่นท่าน, ประโยชน์อะไรด้วยหนังเนื้อชื่ออชินะพร้อมทั้งกีบ. เพราะภายในของท่านรกรุงรัง, ท่านย่อมเกลี้ยงเกลาแต่ภายนอกอย่างเดียวเท่านั้น."

พระศาสดา ครั้นทรงนำอดีตนิทานนี้มาแล้ว ตรัสว่า "พราหมณ์นี้ ได้เป็นดาบสผู้หลอกลวงในกาลนั้น, ส่วนพระยาเหี้ย ได้เป็นเรานี่เอง" ดังนี้ แล้วทรงประมวลชาดก เมื่อจะทรงแสดงเหตุแห่งดาบสนั้น ถูกเหี้ยตัวฉลาดข่มในกาลนั้น จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :-

๑๑. กินฺเต ชฏาหิ ทุมฺเมธ กินฺเต อชินสาฏิยา อพฺภนฺตรนฺเต คหนํ พาหิรํ ปริมชฺชสิ.

"ผู้มีปัญญาทราม ประโยชน์อะไรด้วยชฎาทั้งหลายของเธอ, ประโยชน์อะไรด้วยผ้าที่ทำด้วยหนังเนื้อชื่ออชินะของเธอ. ภายในของเธอรกรุงรัง, เธอย่อมเกลี้ยงเกลาแต่ภายนอก."

แก้อรรถ

บรรดาบทเหล่านั้น สองบทว่า กินฺเต ชฏาหิ ความว่า ดูก่อน ผู้ทรามปัญญา ประโยชน์อะไรด้วยชฎาเหล่านี้ แม้อันเธอเกล้าไว้ดีแล้ว และด้วยผ้าสาฎกที่ทำด้วยหนังเนื้อชื่ออชินะนี้ พร้อมทั้งกีบอันเธอนุ่งแล้ว ของเธอ.


ความคิดเห็น 5    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้า 452

บทว่า อพฺภนฺตรํ ความว่า ในภายในของเธอรกรุงรังด้วยกิเลสมีราคะเป็นต้น, เธอย่อมเกลี้ยงเกลาแต่ภายนอก เหมือนคูถช้างคูถม้าเกลี้ยงเกลาแต่ภายนอกอย่างเดียว.

ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.

เรื่องกุหกพราหมณ์ จบ.