พระพุทธโคดม สำเร็จด้วยการนั่งสมาธิ ใต้ต้นโพธิ์
พระอานนท์สำเร็จตอนกำลังจะนอน
ลูกศิษย์พระสารีบุตร สำเร็จตอนฉันข้าว
พระบางรูปก็สำเร็จขณะกวาดลานวัด
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การบรรลุ คือ การรู้ความจริงของสภาพธรรมจนแทงตลอดสัจจะความจริง ซึ่งก็คือ จะต้องมีการอบรมเจริญสติปัฏฐาน อันเป็นการรู้ความจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ซึ่ง การรู้ธรรมที่มีในขณะนี้ ธรรม คือ จิต เจตสิก รูป ที่ปรากฏในชีวิตประจำวัน มีการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้กระทบสัมผัส การคิดนึก ความโกรธ ความชอบ ความมีเมตตา สี เสียง กลิ่น รส เป็นต้น ล้วนแล้วแต่เป็นสภาพธรรมที่ปรากฏในชีวิตประจำวัน การรู้ความจริง ก็คือรู้ธรรมเหล่านี้เอง ที่มีในชีวิตประจำวัน ว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์และเป็นอนัตตา
สำคัญที่สุดคือ สภาพธรรมที่ควรรู้ และกำลังมีนั้น ล้วนแล้วแต่ไม่เลือกเวลา สถานที่ และ อิริยาบถเลย คือ สามารถมีและปรากฏให้รู้ได้ ไม่ว่าในอิริยาบถใด ขณะที่ยืน ก็มี ธรรม มีเห็น ได้ยิน เป็นต้น ขณะที่นอน ขณะที่นั่ง ขณะที่เดิน เป็นต้น ไม่ว่าอิริยาบถใด ก็มีสภาพธรรมที่เกิดขึ้น กำลังปรากฏ ดังนั้น ปัญญาที่เป็นการเจริญสติปัฏฐาน อันเป็น หนทางที่ทำให้บรรลุธรรม คือ การรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ดังนั้น เมื่อ ปัญญาเกิดขึ้น ก็สามารถเกิดได้ ไม่ว่าอิริยาบถใด เพราะว่าทุกๆ อิริยาบถ มีธรรมปรากฏ ให้รู้ได้ตลอด ไม่ว่าจะนั่งก็มีธรรม จะนอนก็มีธรรม จะยืนก็มีธรรม จะเดินก็มีธรรม เมื่อไหร่
ที่ปัญญาถึงพร้อมก็สามารถระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมนั้น ซึ่งขณะนั้นอาจจะยืนอยู่ก็ได้ครับ ขณะที่สติเกิดระลึกรู้ตัวธรรม ก็บรรลุในณะที่ยืน แต่ก็รู้ตัวธรรมนั่นเอง หรือ รู้ลักษณะของสภาพธรรมในขณะนั่ง นอน เดิน ก็ได้แล้วบรรลุ ครับ
ดังนั้น ที่บรรลุด้วยอิริยาบถต่างๆ กันครับ เพราะ ความถึงพร้อมของปัญญา หรือ ความแก่กล้าของปัญญาที่แตกต่างกัน ก็แล้วแต่ครับว่า จะถึงพร้อม ตอนไหน คือ ถ้าพร้อมเมื่อไหร่ ก็ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมนั้น แล้วบรรลุ แต่ก็แล้วแต่ว่าปัญญาถึงพร้อมในอิริยาบถไหนนั่นเอง จึงทำให้บรรลุในอิริยาบถต่างๆ กัน แต่แม้จะด้วยอิริยาบถต่างกัน ในขณะที่บรรลุ แต่สิ่งที่เหมือนกัน คือ มีปัญญาเกิดขึ้นรู้ความจริงเหมือนกันเพราะอาศัยปัญญาและสภาพธรรมฝ่ายดีอื่นๆ มีสติ ศรัทธา เป็นต้น ก็ทำให้รู้ความจริงและบรรลุได้ และอีกสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน คือ รู้ตัวธรรมที่กำลังปรากฏในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใด ก็ต้องรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง ไม่ได้รู้อย่างอื่นเลย ซึ่งกว่าจะถึงการบรรลุธรรม ก็จะต้องเริ่มจากปัญญาขั้นการฟัง ศึกษาพระธรรมไปเรื่อยๆ ปัญญาจะค่อยๆ เจริญและทำหน้าที่ จนถึงเมื่อปัญญาถึงพร้อมก็สามารถรู้ความจริง ดังเช่นพระพุทธเจ้า และ พระสาวกผู้รู้ตามพระองค์ซึ่งได้รู้แล้วนั่นเองครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
เพราะเหตุปัจจัย และ การสะสมปัญญามาต่างกัน ที่สำคัญไม่มีใครรู้ว่า ใครจะบรรลุอิริยาบถไหน ถ้าสะสมเหตุปัจจัยพร้อม ไม่ว่าจะเป็นอิริยาบถไหน ก็บรรลุได้ ค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การบรรลุธรรม เป็นการู้แจ้งอริยสัจจธรรมดับกิเลสได้ตามลำดับขั้น พระอริยสงฆ์สาวก ทั้งหลาย ที่ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมดับกิเลสได้ตามลำดับขั้น นั้น ล้วนเป็นผู้มีปกติอบรมเจริญสติปัฏฐาน คือ การระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ทั้งนั้น และ ที่สำคัญ สติปัฏฐาน ไม่ได้เพียงอย่างเดียว เท่านั้น มีถึง ๔ อย่าง คือ กาย เวทนา จิต ธรรม ซึ่งเป็นธรรมที่มีจริงทั้งหมด เพราะธรรมที่จะเป็นที่ตั้งให้สติเกิดขึ้นระลึกและปัญญารู้ตรงลักษณะ นั้น ก็คือ สิ่งที่มีจริงที่กำลังมีกำลังปรากฏในขณะนี้ เมื่อกล่าวโดยสรุปแล้ว ไม่พ้นไปจากนามธรรม และ รูปธรรม ต้องเป็นผู้รู้ทั่วทั้งหมด ทั้งกาย เวทนา จิต และ ธรรม ไม่ใช่เพียงอย่างหนึ่งอย่างใด เมื่อเหตุย่อมสมควรแก่ผล ปัญญาเจริญสมบูรณ์พร้อมก็ทำให้ผู้นั้นถึงความเป็นพระอริยบุคคลได้ ไม่ว่าจะอยู่ในอริยาบถใดก็ตาม สำคัญที่ปัญญาถึงความเจริญสมบูรณ์พร้อมแล้ว แต่ก่อนที่จะบรรลุได้นั้น ก็จะต้องเป็นผู้มีปกติอบรมเจริญสติปัฏฐาน ระลึกรู้สภาพธรรมที่มีจริงในชีวิตประจำวันมาแล้วทั้งนั้น เพราะท่านเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงว่าทุกอย่างที่เป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ นั้น เป็นที่ตั้งของสติ (สติปัฏฐาน) ทั้งสิ้น แล้วแต่ว่าสติจะระลึกและปัญญารู้ลักษณะใด โดยไม่จำกัดและไม่เจาะจง เพราะธรรมเป็นอนัตตาไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ครับ.
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
"เพราะเหตุปัจจัย และ การสะสมปัญญามาต่างกัน"
ขอบคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
สาธุอนุโมทนาครับ