ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
วันนี้ ข้าพเจ้าตั้งชื่อกระทู้ดูเหมือนจะดุเดือดไปสักหน่อย แต่ว่าเป็นข้อความที่นำมาจากส่วนหนึ่งของพระราชนิพนธ์ของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ ที่ท่านอาจารย์ได้พูดถึงในการสนทนาธรรม ที่มูลนิธิฯ ในตอนเช้าของวันนี้ครับ ซึ่งเป็นการสนทนาที่ต่อเนื่อง จากการสนทนาพระสูตรในวันเสาร์ เรื่อง ปาริสาสูตร ว่าด้วยบริษัท ๓ จำพวก
ท่านที่สนใจ เชิญคลิกอ่านรายละเอียดได้ที่นี่ครับ...
ปริสาสูตร.. เสาร์ที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๕๓
"...เมืองใด ไม่มี ทหารหาญ เมืองนั้น ไม่นาน เป็นข้า
เมืองใด ไร้จอมพารา เมืองนั้น ไม่ช้า อับจน
เมืองใด ไม่มี พาณิชย์เลิศ เมืองนั้น ย่อมเกิด ขัดสน
เมืองใด ไร้ศิลป์ โสภณ เมืองนั้น ไม่พ้น เสื่อมทราม
เมืองใด ไม่มี กวีแก้ว เมืองนั้น ไม่แคล้ว คนหยาม
เมืองใด ไม่มี นารีงาม เมืองนั้น หมดความ ภูมิใจ
เมืองใด ไม่มี ดนตรีเลิศ เมืองนั้น ไม่เพริศ พิสมัย
เมืองใด ไร้ธรรม อำไพ เมืองนั้น บรรลัย แน่นอน"
ข้าพเจ้า ขออนุญาตนำข้อความตอนหนึ่งที่ท่านอาจารย์บรรยายในวันนี้
มาให้ท่านได้พิจารณาดังนี้ครับ
"...แต่ว่า กาละที่มีโอกาสได้ฟังพระธรรม เป็นกาละที่หายาก ไม่ง่ายเลยนะคะ เกิดในประเทศที่สมควร คือมีธรรมะที่เราสามารถที่จะได้ฟัง ได้ไตร่ตรอง ได้เข้าใจขึ้น แต่ถ้าที่ใด ที่ไม่มีธรรมะนะคะ...เมืองใด ไร้ธรรม อำไพ เมืองนั้น บรรลัย แน่นอน...
..มีคำว่า ไร้ ไร้ ไร้ หลายไร้นะคะ แต่ที่ไร้ ธรรมะ ก็คือ...เมืองใด ไร้ธรรม อำไพ เมืองนั้น บรรลัย แน่นอน...พูดถึง "เมือง" นะคะ แล้ว "เมือง" นี้ อยู่ที่ไหน "จิต" เปรียบเหมือนนครหรือเปล่า ศัตรูนี่น่ะเข้ามาถึงรวดเร็วมากเลยค่ะ ไม่มีเครื่อง ป้องกัน เพราะฉะนั้น ทุกวันๆ นี่น่ะค่ะ นคร คือ จิต
เมื่อมีอกุศลเกิดขึ้น ย่อมนำสิ่งที่เป็นผลที่ไม่ดี จะนำมาซึ่งผลที่ดีไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นแม้แต่ฟังธรรมะ ก็ต้องมีความเข้าใจที่ละเอียดขึ้น......ละเอียดขึ้น.....ละเอียดขึ้น.....ไม่สามารถที่จะแก้ไขคนอื่น หรือว่า บ้านเมืองทั้งหมดได้นะคะ เพราะเหตุว่า ที่จะเป็นบ้านเมือง ที่จะเป็นชาติได้ ก็ต้องแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ถ้าแต่ละหนึ่งดี ไม่ไร้ธรรมะ ใช่มั๊ยคะ เมืองนี้ก็....ปลอดภัย..."
ชาติใด ไร้รัก สมัครสมาน จะทำการ สิ่งใด ก็ไร้ผล
แม้ชาติ ย่อยยับ อับจน บุคคล จะสุข อยู่อย่างไร
(บทพระราชนิพนธ์ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖)
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ
ถ้าที่ใด ที่ไม่มีธรรมะนะคะ...เมืองใด ไร้ธรรม อำไพ เมืองนั้น บรรลัย แน่นอน...
ขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ไม่สามารถที่จะแก้ไขคนอื่น หรือว่า บ้านเมืองทั้งหมดได้นะคะ เพราะเหตุว่า ที่จะเป็นบ้านเมือง ที่จะเป็นชาติได้ ก็ต้องแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ถ้าแต่ละหนึ่งดี ไม่ไร้ธรรมะ ใช่มั๊ยคะ เมืองนี้ก็....ปลอดภัย..."
ขอบคุณค่ะ
อนุโมทนา
ท่านอาจารย์เคยพูดว่า.... "ถ้าไม่มีคน จะมีชาติมั้ย....ชาติจะดีได้อย่างไร...ถ้าคนไม่ดี.. " " คนจะดีได้อย่างไร....ถ้าไม่เข้าใจธรรมะ.."
น่าพิจารณานะคะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
...ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ...
ขอบคุณ และขออนุโมทนา
ที่จะเป็นบ้านเมือง ที่จะเป็นชาติได้ ก็ต้องแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ถ้าแต่ละหนึ่งดี ไม่ไร้ธรรมะ ใช่มั๊ยคะ เมืองนี้ก็....ปลอดภัย...
อ.สุจินต์ กล่าวได้ชัดเจน แจ่มแจ้งจริงๆ เลยครับ เห็นภาพเลยว่า ต้นตอของความไม่ปลอดภัยในสังคมทุกวันนี้จริงๆ แล้วคืออะไร ก็คือ ความไม่รู้ธรรมะ (อวิชชา) เป็นเหตุ ก็เลยทำให้แต่ละหนึ่งส่วนใหญ่ในสังคมคนเราทุกวันนี้ มีอัตตากันมากเหลือเกิน ไม่สำรวม กาย วาจา ใจ กัน เกิดการเบึยดเบียนกัน ไม่สนใจว่า ในแต่ละขณะว่าสิ่งที่ผ่านออกมาทางกายวาจาใจของตนเป็นอย่างไร เป็น กุศล รึ อกุศลก็ไม่รู้ไม่เคยพิจาราณาสภาพธรรมะที่กำลังปรากฎว่าเป็นอย่างไร อกุศลเกิดก็ไม่รู้ว่าอกุศลเกิด ถ้าจำไม่ผิดเคยได้ยินอาจารย์ ว่า เรารู้เพื่อละ รู้อะไร รู้ธรรมะ ที่มีทั้งกุศล และอกุศล เห็นคุณเห็นโทษของธรรมะทุกอย่างก่อน ผมว่า ถ้าแต่ละหนึ่งเข้าใจธรรมะบ้าง แต่ละหนึ่งย่อมต้องสำรวมระวังตนเองมากขึ้นเองโดยอัตตโนมัติ เพราะใครก็คงไม่อยากเจรฺิญธรรมะฝ่ายไม่ดี คืออกุศลไว้กับใจ
ผมคิดว่า ถ้าแต่ละหนึ่งเข้าใจ ธรรมะที่เป็น หิริ และโอตัปปะบ้าง ก็จะเกิดการไม่เบียดเบียนกันนะคับ สังคมคงดีขึ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ทุกอย่างเป็นอนัตตา จะให้สังคมเป็นเหมือนอย่างที่ใจเราคิดทุกอย่างก็คงจะเป็นไปไม่ได้ แต่อย่างน้อยให้เราเป็นหนึ่งที่รู้ธรรมะ ก็ทำให้เราละสิ่งที่ไม่ดีได้ดีได้มากกว่าความไม่รู้จัก ธรรมะว่า คือกายใจเรานี่แหละ รึอีกนัย คือรูปกะนาม ว่าเป็นธรรมะ
ขอบคุณ และอนุโมทนาครับ
ขอบคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ
กราบขอบพระคุณและอนุโมทนาคะ...เคยมีความคิดเห็นคล้ายกับท่านอาจารย์สุจินต์ จริงๆ ค่ะ และได้อธิบายให้ลูกสาวเข้าใจกับภาวะบ้านเมืองเรา แล้วต้องทำ พูด คิดอย่างไรให้เกิดกุศล
เมืองใดไร้ธรรมอำไพ-หากเป็นเมืองที่มีพระธรรมคำสั่งสอนหรือชื่อว่าเป็นเมืองแห่งพระพุทธศาสนาแต่บุคคลที่อยู่ในเมื่องไม่ศึกษา ฟังธรรมและน้อมประพฤติปฏิบัติตาม แม้จะไม่ไร้พระธรรมคำสั่งสอน..แต่ไม่อำไพคือส่องส่วางให้พ้นจากความมืดได้..เมืองนั้นย่อมมืดด้วยอกุศล......อกุศลย่อมนำสารพัดภัยให้ถึงความบรรลัย...ได้แน่นอน เมืองใดไร้ธรรมอำไพ เมืองนั้นบรรลัยแน่นอน....
ขออนุโมทนาคะ
"...เมืองใด ไม่มี ทหารหาญ เ มืองนั้น ไม่นาน เป็นข้า
เมืองใด ไร้จอมพารา เมืองนั้น ไม่ช้า อับจน
เมืองใด ไม่มี พาณิชย์เลิศ เมืองนั้น ย่อมเกิด ขัดสน
เมืองใด ไร้ศิลป์ โสภณ เมืองนั้น ไม่พ้น เสื่อมทราม
เมืองใด ไม่มี กวีแก้ว เมืองนั้น ไม่แคล้ว คนหยาม
เมืองใด ไม่มี นารีงาม เมืองนั้น หมดความ ภูมิใจ
เมืองใด ไม่มี ดนตรีเลิศ เมืองนั้น ไม่เพริศ พิสมัย
เมืองใด ไร้ธรรม อำไพ เมืองนั้น บรรลัย แน่นอน"
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
การตีความของผู้มีปัญญา ต่างจากปุถุชนอย่างเรายิ่งนัก
ขออนุโมทนาสาธุครับ
กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ค่ะ
และขอขอบคุณคณะวิทยากรและเจ้าหน้าที่ทุกท่านค่ะ
ขอขอบคุณและอนุโมทนากับท่านผู้เป็นเจ้าของกระทู้ที่ทำให้ได้มีโอกาสอ่านปริสาสูตรและได้อ่านคำอธิบายของท่านอาจารย์ เกี่ยวกับความที่ว่า" เมืองใด ไร้ธรรมอำไพ เมืองนั้น บรรลัย แน่เอย" ซึ่งความนี้เคยได้ยินได้ฟังมานานแล้วแต่เพิ่งมาได้รับความกระจ่างวันนี้ และคำอธิบายที่ลึกซึ้งดั่งนี้เป็นสิ่งที่ไม่เคยพบมาก่อน
ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์อีกครั้งค่ะ
กราบนอบน้อมพระรัตนตรัยด้วยเศียรเกล้า
ศึกษาพระธรรมจึงได้ทราบว่าพระพุทธองค์ทรงแสดงความจริงของชาติของจิต จากทุกคำของพระองค์ แม้พระสูตรนี้ที่ทรงแสดงด้วยพระมหากรุณาคุณ ให้เข้าใจว่า ถ้าไม่มีจิตแต่ละหนึ่ง ก็ไม่มีสภาพที่เป็นเมือง ประเทศ สังคม แต่ละหนึ่ง ถ้าไม่รักษาจิต ก็ถูกทำร้ายด้วยข้าศึก คือกิเลส จิตชาติอกุศล ทำร้ายรูปที่เป็นที่ตั้งของจิต และรูปที่เกิดจากจิต ให้หม่นหมองถูกทำลายไปด้วย
หลายๆ จิตถูกทำร้ายด้วยกิเลส มาอยู่รวมกัน บ้านเมืองก็ถูกทำลาย ล่มสลาย
ถ้าไม่อาศัยพระธรรมที่ทรงแสดงความจริงก็ไม่มีทางที่จะขัดเกลากิเลสให้ลดน้อยจนถึงหมดสิ้นได้เลย แต่ละชาติที่เกิดก็ถูกทำร้าย ทำลาย มีแต่ความเสื่อม ไม่มีความเจริญได้เลย แล้วสังคมที่ตนอาศัยอยู่จะเจริญได้อย่างไร ประตูอบายภูมิจึงไม่ปิดสำหรับปุถุชน
กราบเท้าบูชาพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ขอขอบพระคุณคุณวันชัย ที่เสนอบทความนี้ ยินดีในกุศลคณะอาจารย์และสหายธรรมทุกท่านด้วยค่ะ
ศึกษาเพิ่มเติมที่
พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 637