ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาต แบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๕๕
เรื่องของกิเลสเป็นเรื่องที่ประมาทไม่ได้ เป็นเรื่องที่ละเอียด เป็นเรื่องที่จะ ต้องเข้าใจสภาพธรรมตรงตามความเป็นจริง จึงจะสามารถอบรมเจริญปัญญาที่จะ ดับกิเลสได้จริงๆ
ที่ว่ามีธรรมเป็นที่พึ่ง ก็คือมีปัญญา ความเข้าใจถูก ความเห็นถูกเป็นที่พึ่ง ไม่เห็นผิดไม่เข้าใจผิด ทั้งหมดของพระธรรมที่ได้ยินได้ฟังเพื่อให้เห็นความเป็นอนัตตา ไม่ว่าจะฟัง อีกมากสักเท่าใดถึงเรื่องปัจจัยบ้าง ขันธ์บ้าง ธาตุบ้าง หรือข้อความใดๆ ก็ไม่พ้น
จากการจะให้เข้าใจความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมนั้นๆ จะได้ค่อยๆ คลายการที่เคยไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ
จิตมีความหลากหลาย ด้วยการที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ แล้วแสดง ความชัดเจนว่า จิตขณะไหนเป็นชาติอะไร เปลี่ยนไม่ได้เลย และจิตขณะไหน เป็นวิบาก จิตขณะไหนเป็นอกุศล จิตขณะไหนกุศล จิตขณะไหนเป็นกิริยา ตามความเป็นจริง
ที่จริงไม่น่าเดือดร้อนเมื่อฟังยังไม่เข้าใจ เพราะอวิชชาความไม่รู้ก็เป็นธรรม โกรธก็เป็นธรรม ชอบก็เป็นธรรม ปัญญาก็เป็นธรรม ทุกอย่างเป็นธรรม ไม่ควร เดือดร้อนเลย ถ้ารู้จริงๆ ว่าเป็นธรรม แต่ที่เดือดร้อนเพราะไม่รู้ตามความเป็นจริง
มากมายก่ายกองจริงๆ สำหรับอกุศลธรรม กำลังฟังธรรมก็ยังมีอกุศลจิต เกิดได้ เพราะฉะนั้นก็ไม่กล่าวถึงเวลาที่ไม่ฟัง ก็ให้รู้จักตัวเองตามความเป็นจริง ถ้าไม่ใช่ความเข้าใจธรรม ไม่สามารถที่จะละกิเลสใดๆ ได้เลย เป็นไปตามกิเลส ซึ่งมีกำลังเพิ่มขึ้นด้วย
ไม่ว่าอะไรจะปรากฏ เพราะไม่รู้จึงติดข้อง แล้วก็เพิ่มความติดข้องมากมาย กิเลสทั้งหลายก็สะสมเพิ่มพูนยิ่งขึ้น
ต้องศึกษาพระธรรมโดยละเอียด โดยรอบคอบ โดยเคารพ โดยเห็นคุณ แล้วจะรู้เลยว่า เบิกบานที่มีโอกาสได้ยินได้ฟัง ในแต่ละภพแต่ละชาติจะ ได้ฟังอีกนานเท่าใด และฟังด้วยความเคารพจะได้ความเข้าใจเพิ่มขึ้น เพราะเห็น ประโยชน์ และเป็นผู้ไม่เผินด้วย เพราะเหตุว่าทุกคำที่ได้ยินได้ฟังแสดงถึง สภาพธรรมที่กำลังปรากฏจริงๆ
ในวันหนึ่งๆ พิจารณาตนเองทางกาย ทางวาจา และตลอดไปจนถึงทางใจ แม้เพียงความคิด อหิริกะ (ความไม่ละอายต่ออกุศล) อโนตตัปปะ (ความไม่เกรง กลัวต่ออกุศล) ซึ่งเป็นอกุศล มาก หรือว่า หิริ และ โอตตัปปะ มาก
สำหรับท่านผู้ฟังที่ศึกษาพระธรรม ท่านจะเห็นได้ว่า ท่านเพิ่มศรัทธาใน พระผู้มีพระภาคยิ่งขึ้น เมื่อได้เข้าใจพระธรรมเพิ่มขึ้น แต่ว่าศรัทธานี้ก็จะเพิ่มขึ้นอีก ในเมื่อน้อมประพฤติปฏิบัติตาม จนถึงการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม
อกุศลก็มี และก็มีมากด้วยในชีวิตประจำวัน ส่วนที่เป็นกุศลก็มี แต่ละท่าน ก็ทราบดีว่า วันหนึ่งเกิดบ้างไหม หรือว่าเกิดบ่อยไหม และเป็นไปในกุศลประเภทไหน
เมื่อจิตเป็นสภาพธรรมซึ่งเป็นเหตุที่จะให้เกิดผลวิจิตรต่างๆ กัน ทั้งกุศลกรรม และอกุศลกรรม ภูมิซึ่งเป็นที่เกิดที่เหมาะที่ควรแก่กรรมนั้นๆ ก็ย่อมมีมาก ไม่ใช่มีแต่เฉพาะในมนุษย์ภูมิแห่งเดียวเท่านั้น
เวลาที่ประกอบด้วยโทสเจตสิก เป็นโทสมูลจิต ความรู้สึกไม่แช่มชื่น ขุ่นมัว เดือดร้อน หงุดหงิด กังวล ไม่แช่มชื่น ไม่ผ่องใส ไม่แจ่มใส นั่นเป็นลักษณะของ อกุศลจิตที่เป็นโทสมูลจิต ถ้าสังเกตก็คงจะทราบได้ เวลาที่หงุดหงิด หรือขุ่นใจ ขณะนั้นก็เป็นลักษณะของจิตที่เศร้าหมอง หรือ เวลาที่โกรธ ก็ยิ่งชัด นั่นเป็นลักษณะของจิตที่เศร้าหมอง
ขณะไหนที่ขัดขวางความเจริญของบุคคลอื่น จะเป็นตัวท่านเองที่กำลังขัดขวาง ท่านก็เป็นมาร ใครที่ขัดขวางความเจริญของบุคคลใด บุคคลนั้นก็เป็นมาร เพราะฉะนั้น ไม่สมควรที่จะขัดขวางความเจริญของบุคคลอื่นเลยชำระจิตซึ่งหมักหมมด้วยสิ่งสกปรก คือ กิเลส มากมาย ด้วยความเข้าใจถูกเห็นถูก
ไม่มีศรัทธา ในขณะที่เป็นอกุศล สิ่งที่ควรจะพลัดพรากเป็นอย่างยิ่ง คือ กิเลสทั้งหลาย ขณะนี้มีสภาพธรรม ถ้าไม่กล่าวถึงชื่อจะรู้ไหมว่ากล่าวถึงธรรมอะไร ชื่อที่กล่าวถึงนั้นกล่าวถึงสภาพธรรมที่มีจริง
พระพุทธพจน์ ทุกคำ เป็นปัญญาทั้งหมด แสดงถึงสิ่งที่มีจริงโดยตลอด.
ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๕๔
(ภาพท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เมื่อในอดีต)
... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตร่วมปันธรรมด้วยครับ
@ ใช้ชื่อต่างๆ ก็เพียงเรียกชื่ออยู่ในห้องมืด ไม่ได้รู้ลักษณะจริงๆ ต่อเมื่อมีแสงสว่าง ย่อมรู้ตามความเป็นของชื่อนั้นได้
@ ขณะที่เข้าใจพระธรรม ขณะนั้นเป็นกุศลกรรมที่ประกอบด้วยปัญญา ทำให้เห็นคุณ ค่าของพระรัตนตรัย เพราะนำมาซึ่งประโยชน์ และฟังแล้วเข้าใจได้ และเข้าใจถูกว่า ยากไหม เพียงสิ่งที่ปรากฎทางตาขณะนี้ ก็ยากที่จะรู้ จะเข้าใจ แต่ก็สามารถที่จะ เข้าใจได้แม้ขั้นการฟัง ค่ะ
@ คาดหวังไม่ได้เลยว่า สติจะเกิดบ่อยๆ ในระยะเริ่มแรก สติ คือ การไม่หลงลืม สภาพธรรมซึ่งปรากฏในขณะนี้ ทางหนึ่งทางใดใน ๖ ทวาร และในขณะนั้น ปัญญา ก็จะค่อยๆ รู้ลักษณะของสภาพธรรมนั้นได้ ปัญญาขณะนั้น รู้ลักษณะสภาพธรรม ที่ กำลังปรากฏจริงๆ เป็นปัญญาที่แตกต่างจากปัญญาที่รู้ทางทฤษฎี การอบรมเจริญ ปัญญารู้ลักษณะสภาพธรรมที่กำลังปรากฏจริงๆ นั้น เป็นการอบรมเจริญวิปัสสนา ที่ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ ปัญญาสามารถอบรมให้เจริญขึ้นได้ทีละ เล็กทีละน้อยเป็นเวลาหลายชาติ
@ ใครที่หวังเห็นการเกิดดับ เป็นใคร คะ เป็นตัวตนเต็มที่ ไม่เข้าใจเลยว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ค่ะ
@ การเห็น มีจริง เป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง เราคิดว่า "เราเห็น" แต่การเห็นก็ไม่ได้เห็น ตลอดไป ไม่ยั่งยืน แล้วตัวตนอยู่ที่ไหน? ไม่มีบุคคลใดเลยที่เราคิดว่าเป็นคน ก็เป็น เพียงสภาพธรรมที่เป็นนามธรรมและรูปธรรมต่างๆ ซึ่งเกิดขึ้นและดับไป นามธรรมและ รูปธรรมในชีวิตของเราเป็นสภาพธรรม ซึ่งสามารถรู้ได้ว่า เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ไม่ดำรงอยู่ ตลอดไป เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปทันที
@ ถ้าไม่ฟังก็ไม่เข้าใจ ต่อเมื่อฟังจึงจะเข้าใจ
@ ในวันหนึ่งๆ ลองพิจารณาดูว่าอกุศลมากหรือกุศลมาก ฉะนั้นเมื่อมีโอกาสที่จะเจริญ กุศลทางใดก็ไม่ควรให้โอกาสนั้นผ่านไป เพราะเมื่อกุศลไม่เกิด อกุศลก็เกิด
@ ไม่สามารถที่จะรู้ว่า ขณะนี้เกิดจากรรมอะไรให้ผลเพียงแต่เข้าใจถูกว่าเป็นแต่เพียง ธรรมเป็นไป
@ ฟังเรื่องสภาพธรรมเพื่ออะไร จำชื่อสภาพธรรมหรือคะ จำเรื่องนั้นเรื่องนี้ก็ไปจำเรื่อง ราวของพระสูตร แต่ที่สำคัญ คือ ฟังให้เข้าใจ เข้าใจในสิ่งที่ฟัง และไม่ลืมว่าเป็นแต่ เพียงธรรม ค่ะ
@ สิ่งที่มีจริง คือ สิ่งที่ปรากฏต้องมีเหตุปัจจัยปรุงแต่งแล้วเกิด สิ่งใดก็ตามที่ไม่เกิดจะ ไม่ปรากฏเลย นี่เป็นสิ่งที่จะต้องค่อยๆ เข้าใจธรรมตามลำดับว่าสิ่งที่ปรากฏในขณะนี้ เกิด ถ้าไม่เกิดก็ไม่ปรากฏ และที่จะเกิดก็ต้องมีปัจจัยปรุงแต่ง ถ้าไม่มีปัจจัยปรุงแต่งก็ เกิดไม่ได้
@ การเจริญมรรคมีองค์ ๘ ซึ่งเป็นการเจริญวิปัสสนาเท่านั้นที่จะละอกุศลวิตกหมดสิ้น เป็นสมุจเฉทได้ในที่สุด เมื่อเจริญวิปัสสนา อกุศลจิตเกิดขึ้นก็ไม่บังคับ เพราะอกุศล วิตกได้เกิดขึ้นแล้วอกุศลวิตกเป็นสภาพธรรมชนิดหนึ่งซึ่งควรรู้ลักษณะ ในมหาสติปัฏฐานสภาพธรรมทุกชนิดเป็นสติปัฏฐาน เมื่อรู้ว่าไม่มีสภาพธรรมใดที่ไม่ใช่สติปัฏฐานจะ เริ่มรู้ว่าสภาพธรรมทั้งหลายเป็นเพียงนามธรรมและรูปธรรมเท่านั้นฉะนั้นเมื่ออกุศลวิตก เกิดขึ้น ทำไมจึงจะไม่ระลึกรู้ว่า เป็นเพียงนามธรรมชนิดหนึ่งเท่านั้นเอง เมื่อรู้ลักษณะ ของอกุศลวิตกชัดขึ้น ก็จะละคลายการยึดถือว่า เป็นตัวตนลง เมื่อยังไม่ใช่พระอรหันต์ อกุศลธรรมก็ย่อมเกิด อกุศลธรรมจะดับหมดสิ้นเป็นสมุจเฉทก็เมื่อบรรลุเป็นพระอรหันต์ แล้วเท่านั้น
@ โดยมากเรามักจะโทษสภาพแวดล้อม หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใด เช่นอาชีพการงานว่าทำให้ เราทุกข์ แต่ลืมพิจารณาไปว่า เหตุที่ทุกข์ใจนั้น เพราะกิเลสของเราเองเพราะปรารถนา ที่จะได้วิบากที่ดีๆ แต่ขอเรียนให้ทราบว่าไม่มีใครสามารถเอาชนะวิบากกรรมได้เลยไม่ ว่าจะอยู่ที่ไหน จะทำอะไร เพราะฉะนั้น การศึกษาพระธรรมจึงเป็นหนทางเดียว ที่จะทำ ให้เข้าใจชีวิตได้อย่างถูกต้อง และความทุกข์ใจก็จะเบาบางลงไปตามลำดับ
@ คนที่เข้าใจธรรม แม้อายุน้อยกว่า ก็ชื่อว่าเป็นผู้ใหญ่กว่าผู้ที่มีอายุมากกว่าแต่มีความ เข้าใจพระธรรมน้อยกว่า
ขออนุโมทนา
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณและอนุโมทนาในกุศลจิตค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และ ขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ด้วยความเคารพยิ่ง จาก ใหญ่ราชบุรี-ธิดารัตน์ เดื่อมขันมณี
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ