นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺสพุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิสงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ•••..... ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย .....•••
... สนทนาธรรมที่ ...
มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา (มศพ.)
พระสูตร ที่จะนำมาสนทนาที่มูลนิธิฯ
วันเสาร์ที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๖ เวลา ๐๙.๐๐ - ๑๒.๐๐ น. คือ
ทวยตานุปัสสนาสูตร *
(ว่าด้วยการพิจารณาเห็นธรรมเนืองๆ )
จาก...พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้าที่ ๖๖๖
(ภาพแสดงบรรยากาศการสนทนาธรรมที่มูลนิธิฯ ในวันเสาร์ที่ ๒๖ พ.ค. ๒๕๕๕)
...นำสนทนาโดย...
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และคณะวิทยากร
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้าที่ ๖๖๖
ทวยตานุปัสสนาสูตร
(ว่าด้วยการพิจารณาเห็นธรรมเนืองๆ )
[๓๙๙] ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ถ้าจะพึงมีผู้ถามว่า การพิจารณาเห็นธรรมเป็น
ธรรม ๒ อย่าง โดยชอบเนืองๆ พึงมีโดยปริยายอย่างอื่นบ้างไหม พึงตอบเขาว่า
พึงมี ถ้าเขาถามว่า พึงมี อย่างไรเล่า พึงตอบเขาว่า การพิจารณาเห็นเนืองๆ
ว่า ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งทั้งหมด ย่อมเกิดขึ้นเพราะอุปาทานเป็นปัจจัย นี้เป็นข้อ
ที่ ๑ การพิจารณาเห็นเนืองๆ ว่า เพราะอุปาทานนั่นเองดับเพราะสำรอกโดยไม่
เหลือ ทุกข์จึงไม่เกิด นี้เป็นข้อที่ ๒ ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้พิจารณาเห็นเนืองๆ
ซึ่งธรรมเป็นธรรม ๒ อย่างโดยชอบอย่างนี้ เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจ
เด็ดเดี่ยวอยู่ พึงหวังผล ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ อรหัตตผลในปัจจุบันนี้
หรือเมื่อยังมีความถือมั่นเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณภาษิตนี้ จบลงแล้ว จึงได้
ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
ภพย่อมมี เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย สัตว์ผู้เกิดแล้วย่อมเข้าถึงทุกข์
ต้องตาย นี้ เป็นเหตุเกิดแห่งทุกข์ เพราะเหตุนั้น บัณฑิตทั้งหลายรู้แล้ว
โดยชอบ รู้ยิ่งความสิ้นไปแห่งชาติแล้ว ย่อมไม่ไปสู่ภพใหม่ เพราะความ
สิ้นไปแห่งอุปาทาน.
[๔๐๐] ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ฯลฯ พึงตอบเขาว่า การพิจารณาเห็นเนืองๆ
ว่าทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งทั้งหมด ย่อมเกิดขึ้นเพราะความริเริ่มเป็นปัจจัย นี้เป็น
ข้อที่ ๑ การพิจารณาเห็นเนืองๆ ว่า เพราะการริเริ่มนั่นเองดับ เพราะสำรอกโดย
ไม่เหลือ ทุกข์จึงไม่เกิด นี้เป็นข้อที่ ๒ ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้พิจารณา
เห็นเนืองๆ ซึ่งธรรมเป็นธรรม ๒ อย่างโดยชอบอย่างนี้ ฯลฯ จึงได้ตรัสคาถา
ประพันธ์ต่อไปอีกว่า
ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งทั้งหมด ย่อมเกิดขึ้นเพราะความริเริ่มเป็น
ปัจจัย เพราะความริเริ่มดับโดยไม่เหลือ ทุกข์จึงไม่เกิด
ภิกษุรู้โทษนี้ว่า ทุกข์ย่อมเกิดขึ้น เพราะความริเริ่มเป็นปัจจัยดังนี้
แล้ว สละคืนความริเริ่มได้ทั้งหมดแล้ว น้อมไปในนิพพานที่ไม่มีความริเริ่ม
ถอนภวตัณหาขึ้น ได้แล้ว มีจิตสงบ มีชาติสงสารสิ้นแล้วย่อมไม่มีภพใหม่.
[๔๐๑] ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ฯลฯ พึงตอบเขาว่า การพิจารณาเห็นเนืองๆ
ว่า ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งทั้งหมด ย่อมเกิดขึ้นเพราะอาหารเป็นปัจจัยนี้เป็นข้อที่ ๑
การพิจารณาเห็นเนืองๆ ว่า เพราะอาหารทั้งหมดนั่นเองดับเพราะสำรอกโดยไม่เหลือ
ทุกข์จึงไม่เกิด นี้เป็นข้อที่ ๒ ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้พิจารณาเห็นเนืองๆ ซึ่งธรรม
เป็นธรรม ๒ อย่างโดยชอบอย่างนี้ ฯลฯ จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งทั้งหมด ย่อมเกิดขึ้นเพราะอาหารเป็นปัจจัย
เพราะอาหารทั้งหลายดับ โดยไม่เหลือ ทุกข์จึงไม่เกิด
ภิกษุผู้ตั้งอยู่ในธรรม ผู้ถึงเวท รู้โทษนี้ว่า ทุกข์ย่อมเกิดขึ้นเพราะ
อาหารเป็นปัจจัย ดังนี้แล้ว กำหนดรู้อาหารทั้งปวง เป็นผู้อันตัณหาไม่อาศัย
ในอาหารทั้งหมด รู้โดยชอบซึ่งนิพพานอันไม่มีโรค พิจารณาแล้วเสพ
ปัจจัย ๔ ย่อมไม่เข้าถึงการนับว่า เป็นเทวดาหรือมนุษย์ เพราะอาสวะ
ทั้งหลายหมดสิ้นไป.
[๔๐๒] ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ฯลฯ พึงตอบเขาว่า การพิจารณาเห็นเนืองๆ
ว่า ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งทั้งหมด ย่อมเกิดขึ้นเพราะความหวั่นไหวเป็นปัจจัย
นี้เป็นข้อที่ ๑ การพิจารณาเห็นเนืองๆ ว่า เพราะความหวั่นไหวทั้งหลายนั่นเอง
ดับไป เพราะสำรอกโดยไม่เหลือ ทุกข์จึงไม่เกิด นี้เป็นข้อที่ ๒ ดูกร ภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุผู้พิจารณาเห็นเนืองๆ ซึ่งธรรมเป็นธรรม ๒ อย่างโดยชอบอย่างนี้ ฯลฯ จึงได้
ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งทั้งหมด ย่อมเกิดขึ้นเพราะความหวั่นไหวเป็น
ปัจจัย เพราะความหวั่นไหวดับ ไม่มีเหลือ ทุกข์จึงไม่เกิด
ภิกษุ รู้โทษนี้ว่า ทุกข์ย่อมเกิดขึ้นเพราะความหวั่นไหว เป็นปัจจัย
ดังนี้ เพราะเหตุนั้นแล ภิกษุสละตัณหาแล้ว ดับสังขารทั้งหลายได้แล้ว
เป็นผู้ไม่มีความหวั่นไหว ไม่ถือมั่น แต่นั้น พึงเว้นรอบ.
[๔๐๓] ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ฯลฯ พึงตอบเขาว่า การพิจารณาเห็นเนืองๆ
ว่า ความดิ้นรน ย่อมมีแก่ผู้อันตัณหา ทิฏฐิ และมานะอาศัยแล้ว นี้ เป็นข้อที่ ๑
การพิจารณาเห็นเนืองๆ ว่า ผู้ที่ตัณหา ทิฏฐิ และมานะไม่อาศัยแล้ว ย่อมไม่ดิ้นรน
นี้เป็นข้อที่ ๒ ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้พิจารณาเห็นเนืองๆ ซึ่งธรรมเป็นธรรม ๒
อย่าง โดยชอบอย่างนี้ ฯลฯ จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
ผู้อันตัณหา ทิฏฐิ และมานะไม่อาศัยแล้ว ย่อมไม่ดิ้นรน ส่วนผู้อัน
ตัณหา ทิฏฐิ และมานะอาศัยแล้ว ถือมั่นอยู่ ย่อมไม่ล่วงพ้น สังสาระอัน
มีความเป็นอย่างนี้ และ ความเป็นอย่างอื่นไปได้ ภิกษุรู้โทษนี้ว่าเป็นภัยใหญ่
ในเพราะนิสสัย คือ ตัณหา ทิฏฐิ และมานะทั้งหลายแล้วเป็นผู้อันตัณหาทิฏฐิ
และมานะไม่อาศัยแล้ว ไม่ถือมั่น มีสติ พึงเว้นรอบ.
[๔๐๔] ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ถ้าจะพึงมีผู้ถามว่า การพิจารณาเห็นธรรมเป็นธรรม
๒ อย่าง โดยชอบเนืองๆ พึงมีโดยปริยายอย่างอื่นบ้างไหม พึงตอบเขาว่า พึงมี
ถ้าเขาถามว่า พึงมี อย่างไรเล่า พึงตอบเขาว่า การพิจารณาเห็นเนืองๆ ว่า อรูปภพ
ละเอียดว่ารูปภพ นี้เป็นข้อที่ ๑ การพิจารณาเห็นเนืองๆ ว่า นิโรธละเอียดกว่าอรูปภพ
นี้เป็นข้อ ๒ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้พิจารณาเห็นเนืองๆ ซึ่งธรรมเป็นธรรม ๒ อย่าง
โดยชอบอย่างนี้ เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่ พึงหวังผล ๒ อย่าง
อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ อรหัตตผลในปัจจุบันนี้ หรือเมื่อยังมีความถือมั่นเหลืออยู่
เป็นพระอนาคามี
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณภาษิตนี้ จบลงแล้ว จึงได้ตรัส
คาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
สัตว์เหล่าใด ผู้เข้าถึงรูปภพ และสัตว์
เหล่าใดอยู่ในอรูปภพ สัตว์เหล่านั้นเมื่อยังไม่
รู้ชัดซึ่งนิพพาน ก็ยังเป็นผู้จะต้องมาสู่ภพใหม่
ส่วนชนเหล่าใด กำหนดรู้รูปภพแล้ว ไม่ดำรง
อยู่ในอรูปภพ ชนเหล่านั้น น้อมไปในนิพ-
พานทีเดียว เป็นผู้ละมัจจุเสียได้.
ขอเชิญคลิกอ่านข้อความจากอรรถกถาได้ที่นี่
อรรถกถา ทวยตานุปัสสนาสูตร [ขุททกนิกาย สุตตนิบาต]
หมายเหตุ เนื่องจากยังมีเนื้อหาอีกมากที่ยังไม่ได้สนทนา มูลนิธิฯ จึงขอนำ
พระสูตรดังกล่าวนี้มาสนทนาต่ออีก ๑ สัปดาห์ .
...ขอความเจริญมั่นคงในกุศลธรรมจงมีแด่ทุกๆ ท่าน...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
☺ข้อความโดยสรุป☺
ทวยตานุปัสสนาสูตร
(ว่าด้วยการพิจารณาเห็นธรรมเนืองๆ )
เมื่อครั้งที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ที่บุพพาราม ปราสาทของนางวิสาขา
มิคารมารดา พระองค์ได้ทรงแสดงธรรมแก่ภิกษุทั้งหลาย โดยที่พระองค์ตรัสกับ
ภิกษุทั้งหลายว่า ถ้ามีผู้มาถามว่าจะมีประโยชน์อะไร เพื่อการฟังกุศลธรรมอันเป็น
อริยะ เป็นเครื่องนำออกไป อันให้ถึงปัญญาเป็นเครื่องตรัสรู ก็ควรตอบว่า เพื่อ
รู้ธรรม ๒ อย่าง เมื่อถูกถามอีกว่า ธรรม ๒ อย่างคืออะไร ก็ควรที่จะได้ตอบว่า
ธรรม ๒ อย่าง ได้แก่ การพิจารณาเห็นธรรมเป็นธรรม ๒ อย่าง (โดยการสนทนา
ที่มูลนิธิฯ ครั้งนี้ นำมาศึกษาต่อจากคู่ที่ ๘) ดังนี้ คือ
คู่ที่ ๙ -ทุกข์ย่อมเกิดเพราะอุปาทานเป็นปัจจัย
-เพราะอุปาทานดับไปทุกข์จึงไม่เกิด
คู่ที่ ๑๐ -ทุกข์ย่อมเกิดเพราะความริเริ่มเป็นปัจจัย
-เพราะความริเริ่มดับไป ทุกข์จึงไม่เกิด
คู่ที่ ๑๑ -ทุกข์เกิดเพราะอาหารเป็นปัจจัย
-เพราะอาหารดับไป ทุกข์จึงไม่เกิด
คู่ที่ ๑๒ -ทุกข์เกิดเพราะความหวั่นไหวเป็นปัจจัย
-เพราะความหวั่นไหวดับไป ทุกข์จึงไม่เกิด
คู่ที่ ๑๓ -ความดิ้นรนย่อมมีแก่ผู้มีตัณหา ทิฏฐิ และมานะ
-ผู้ละตัณหา ทิฏฐิและ มานะได้แล้ว ย่อมไม่ดิ้นรน
คู่ที่ ๑๔ -อรูปภพละเอียดกว่ารูปภพ
-นิโรธละเอียดกว่าอรูปภพ
[ตามข้อความในพระสูตร]
ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ ครับ
สังสารวัฏฏ์...ขณะนี้หรือเปล่า
กิเลสตัณหา
ตัณหา คือ อุปาทาน ใช่หรือไม่
สังโยชน์
ภพในปัจจยาการ คือ อะไร?
ทิฏฐิ กับ มานะ
สังสารวัฏฏ์และความจริง [ปฐมตถาคตสูตร]
ผู้นำพาสัตว์ออกจากสังสารวัฏฏ์
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณ และ ขออนุโมทนา ครับ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ