[เล่มที่ 65] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 601
อัฏฐกวัคคิกะ
ชราสุตตนิทเทสที่ ๖
ว่าด้วยชีวิตเป็นของน้อย หน้า 601
ว่าด้วยคนเศร้าโศกเพราะยึดถือ หน้า 607
ว่าด้วยการยึดถือเบญจขันธ์ หน้า 610
เปรียบสิ่งที่ได้เหมือนฝัน หน้า 614
ว่าด้วยสิ่งต่างๆ ย่อมสลายไปเหลือแต่ชื่อ หน้า 615
ว่าด้วยโมไนยธรรม หน้า 619
ว่าด้วยผู้ประพฤติหลีกเร้น หน้า 622
ว่าด้วยสามัคคี๓ อย่าง หน้า 623
ว่าด้วยสิ่งที่เป็นที่รัก ๒ อย่าง หน้า 626
อรรถกถาชราสุตตนิทเทส หน้า 635
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 65]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 601
ชราสุตตนิทเทสที่ ๖
[๑๘๑] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า :-
ชีวิตนี้น้อยหนอ มนุษย์ย่อมตายภายในร้อยปี แม้หากว่ามนุษย์ใดย่อมเป็นอยู่เกินไป มนุษย์นั้นย่อมตายเพราะชราโดยแท้แล.
ว่าด้วยชีวิตเป็นของน้อย
[๑๘๒] คำว่า ชีวิตนี้น้อยหนอ มีความว่า คำว่า ชีวิต ได้แก่ อายุ ความตั้งอยู่ ความดำเนินไป ความให้อัตภาพดำเนินไป ความเป็นไป ความหมุนไป ความเลี้ยง ความเป็นอยู่ ชีวิตินทรีย์. อนึ่ง ชีวิตน้อย คือชีวิตนิดเดียว โดยเหตุ ๒ ประการ คือ ชีวิตน้อยเพราะตั้งอยู่น้อย ๑ ชีวิตน้อยเพราะมีกิจน้อย ๑.
ชีวิตน้อยเพราะตั้งอยู่น้อย อย่างไร? ชีวิตเป็นอยู่แล้วในขณะจิตเป็นอดีต ย่อมไม่เป็นอยู่ จักไม่เป็นอยู่. ชีวิตจักเป็นอยู่ในขณะจิต เป็นอนาคตย่อมไม่เป็นอยู่ ไม่เป็นอยู่แล้ว. ชีวิตย่อมเป็นอยู่ในขณะจิตเป็นปัจจุบันไม่เป็นอยู่แล้ว จักไม่เป็นอยู่.
สมจริงดังพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 602
ชีวิต อัตภาพ สุขและทุกข์ทั้งมวล เป็นธรรม ประกอบกันเสมอด้วยจิตดวงเดียว. ขณะย่อมเป็นไปพลัน. เทวดาเหล่าใดย่อมตั้งอยู่ตลอดแปดหมื่นสี่พันกัป แม้เทวดาเหล่านั้นย่อมไม่เป็นผู้ประกอบด้วยจิตของดวงเป็นอยู่เลย. ขันธ์เหล่าใดของสัตว์ที่ตาย หรือของสัตว์ที่ดำรงอยู่ในโลก นี้ดับแล้ว ขันธ์เหล่านั้นทั้งปวงเทียว เป็นเช่นเดียวกัน ดับไปแล้ว มิได้สืบเนื่องกัน. ขันธ์เหล่าใดแตกไปแล้วใน อดีตเป็นลำดับ และขันธ์เหล่าใดแตกไปแล้วในอนาคต เป็นลำดับ ความแปลกกันแห่งขันธ์ทั้งหลายที่ดับไปใน ปัจจุบันกับขันธ์เหล่านั้น มิได้มีในลักษณะ. สัตว์ไม่เกิด ด้วยอนาคตขันธ์ ย่อมเป็นอยู่ด้วยปัจจุบันขันธ์ สัตว์โลก ตายแล้วเพราะความแตกแห่งจิต นี้เป็นบัญญัติทางปรมัตถ์. ขันธ์ทั้งหลายแปรไปโดยฉันทะ ย่อมเป็นไปดุจน้ำไหลไป ตามที่ลุ่มฉะนั้น. ย่อมเป็นไปตามวาระอันไม่ขาดสาย เพราะอายตนะ ๖ เป็นปัจจัย. ขันธ์ทั้งหลายแตกแล้ว ถึง ความตั้งอยู่ไม่ได้ กองขันธ์มิได้มีในอนาคต ขันธ์ทั้ง หลายที่เกิดแล้วนั้นแล ย่อมตั้งอยู่เหมือนเมล็ดพันธุ์ผักกาด ตั้งอยู่บนปลายเหล็กแหลม. ก็ความแตกแห่งธรรมขันธ์ทั้ง หลายที่เกิดแล้ว สกัดอยู่ข้างหน้าแห่งสัตว์เหล่านั้น. ขันธ์ ทั้งหลายมีความทำลายเป็นธรรมดามิได้เจือปนกับขันธ์ที่ เกิดก่อนตั้งอยู่. ขันธ์ทั้งหลายมาโดยไม่ปรากฏ แตกแล้ว
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 603
ไปสู่ที่ไปไม่ปรากฏ ย่อมเกิดขึ้นและเสื่อมไปเหมือนสายฟ้า แลบในอากาศ. ชีวิตน้อยเพราะตั้งอยู่ อย่างนี้.
ชีวิตน้อยเพราะมีกิจน้อยอย่างไร? ชีวิตเนื่องด้วยลมหายใจเข้า เนื่องด้วยลมหายใจออก เนื่องด้วยลมหายใจเข้าและลมหายใจออก เนื่อง ด้วยมหาภูตรูป เนื่องด้วยไออุ่น เนื่องด้วยกวฬิงการาหาร เนื่องด้วยวิญ ญาณ. กรัชกายอันเป็นที่ตั้งแห่งลมหายใจเข้าและลมหายใจออกเหล่านั้นก็ดี อวิชชา สังขาร ตัณหา อุปาทาน และภพอันเป็นเหตุเดิมแห่งลมหายใจ เข้าและลมหายใจออกก็ดี ปัจจัยทั้งหลายก็ดี ตัณหาอันเป็นแดนเกิดก่อน ก็ดี รูปธรรมและอรูปธรรมที่เกิดร่วมกันก็ดี อรูปธรรมที่ประกอบกันก็ดี ขันธ์ที่เกิดร่วมกันแห่งลมหายใจเข้าและลมหายใจออกเหล่านี้ก็ดี ตัณหาอัน ประกอบกันก็ดี ก็มีกำลังทราม. ธรรมเหล่านั้นมีกำลังทรามเป็นนิตย์ต่อกัน และกัน มิได้ตั้งมั่นต่อกันและกัน ย่อมยังกันและกันให้ตกไป เพราะ ความต้านทานมิได้มีแก่กันและกัน ธรรมเหล่านี้จึงไม่ดำรงกันและกันไว้ได้ ธรรมใดให้ธรรมเหล่านี้เกิดแล้ว ธรรมนั้นมิได้มี. ก็แต่ธรรมอย่างหนึ่ง มิได้เสื่อมไปเพราะธรรมอย่างหนึ่ง. ก็ขันธ์เหล่านี้แตกไปเสื่อมไปโดย อาการทั้งปวง ขันธ์เหล่านี้อันเหตุปัจจัยมีในก่อนให้เกิดแล้ว. แม้เหตุปัจจัย อันเกิดก่อนเหล่าใด แม้เหตุปัจจัยเหล่านั้นก็ดับแล้วในก่อน. ขันธ์ที่เกิด ก่อนก็ดี ขันธ์ที่เกิดภายหลังก็ดี มิได้เห็นกันและกันในกาลไหนๆ. ฉะนั้น ชีวิตจึงชื่อว่า เป็นของน้อยเพราะมีกิจน้อย อย่างนี้.
อนึ่ง เพราะเทียบชีวิตของพวกเทวดาชั้นจาตุมหาราช ชีวิตของพวก มนุษย์ก็น้อย คือเล็กน้อย นิดหน่อย เป็นไปชั่วขณะ เป็นไปพลัน เป็น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 604
ไปชั่วกาลเดี๋ยวเดียว ตั้งอยู่ไม่ช้า ดำรงอยู่ไม่นาน. เพราะเทียบชีวิตของ พวกเทวดาชั้นดาวดึงส์ ... เพราะเทียบชีวิตของพวกเทวดาชั้นยามา ... เพราะเทียบชีวิตของพวกเทวดาดุสิต ... ... เพราะเทียบชีวิตของพวกเทวดา ชั้นนิมมานรดี ... เพราะเทียบชีวิตของพวกเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตดี ... เพราะเทียบชีวิตของพวกเทวดาที่เนื่องในหมู่พรหม ชีวิตของมนุษย์ก็น้อย คือเล็กน้อย นิดหน่อย เป็นไปชั่วขณะ เป็นไปพลัน เป็นไปชั่วกาล เดี๋ยวเดียว ตั้งอยู่ไม่ช้า ดำรงอยู่ไม่นาน. สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสไว้ว่า :-
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อายุของพวกมนุษย์นี้น้อย จำต้องละไปสู่ปรโลก มนุษย์ทั้งหลายจำต้องประสบความตายตาม ที่รู้กันอยู่แล้ว ควรทำกุศล ควรประพฤติพรหมจรรย์ ไม่มี มนุษย์ที่เกิดมาแล้วจะไม่ตาย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดอยู่นาน ผู้นั้นก็เป็นอยู่ได้เพียงร้อยปี หรือที่เกินกว่าร้อยปีก็มีน้อย.
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณภาษิตนี้จบลง แล้ว จึงตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า :-
อายุของพวกมนุษย์น้อย บุรุษผู้ใคร่ความดีพึงดูหมิ่น อายุที่น้อยนี้ พึงรีบประพฤติให้เหมือนคนถูกไฟไหม้ศีรษะ ฉะนั้น. เพราะความตายจะไม่มาถึงมิได้มี วันคืนย่อมล่วงเลยไป ชีวิตก็กระชั้นเข้าไปสู่ความตาย อายุของสัตว์ทั้งหลายย่อมสิ้นไป เหมือนน้ำในแม่น้ำน้อยสิ้นไป ฉะนั้น.
เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า ชีวิตนี้น้อยหนอ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 605
[๑๘๓] คำว่า มนุษย์ย่อมตายภายในร้อยปี มีความว่า มนุษย์ ย่อมเคลื่อน ตาย หาย สลายไป ในกาลที่เป็นกลละบ้าง, ในกาลที่เป็น น้ำล้างเนื้อบ้าง, ในกาลที่เป็นชิ้นเนื้อบ้าง, ในกาลที่เป็นก้อนเนื้อบ้าง, ในกาลที่เป็นปัญจสาขาได้แก่มือ ๒ เท้า ๒ ศีรษะ ๑ บ้าง, แม้พอเกิดก็ ย่อมเคลื่อน ตาย หาย สลายไปก็มี. ย่อมเคลื่อน ตาย หาย สลายไปใน เรือนที่ตลอดก็มี. ย่อมเคลื่อน ตาย หาย สลายไปเมื่อชีวิตครั้งเดือนก็มี. เดือน ๑ ก็มี. ๒ เดือนก็มี. ๓ เดือนก็มี. ๔ เดือนก็มี. ๕ เดือนก็มี. ๖ เดือนก็มี. ๗ เดือนก็มี. ๘ เดือนก็มี. ๙ เดือนก็มี. ๑๐ เดือนก็มี. ๑ ปีก็มี. ๒ ปีก็มี. ๓ ปีก็มี. ๔ ปีก็มี. ๕ ปีก็มี. ๖ ปีก็มี. ๗ ปีก็มี. ๘ ปีก็มี. ๙ ปีก็มี. ๑๐ ปีก็มี. ๒๐ ปีก็มี. ๓๐ ปีก็มี. ๔๐ ปีก็มี. ๕๐ ปีก็มี. ๖๐ ปีก็มี. ๗๐ ปีก็มี. ๘๐ ปีก็มี. ๙๐ ปีก็มี. เพราะฉะนั้นจึง ชื่อว่า มนุษย์ย่อมตายภายในร้อยปี.
[๑๘๔] คำว่า แม้หากว่ามนุษย์ใดย่อมเป็นอยู่เกินไป มีความ ว่ามนุษย์ใดเป็นอยู่เกินร้อยปีไป มนุษย์นั้นเป็นอยู่ ๑ ปีบ้าง. ๒ ปีบ้าง. ๓ ปีบ้าง. ๔ ปีบ้าง. ๕ ปีบ้าง. ๑๐ ปีบ้าง. ๒๐ ปีบ้าง. ๓๐ ปีบ้าง. ๔๐ ปีบ้าง. เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า แม้หากมนุษย์ใดย่อมเป็นอยู่เกินไป.
[๑๘๕] คำว่า มนุษย์ผู้นั้นย่อมตายเพราะชราโดยแท้แล มีความว่า เมื่อใดมนุษย์เป็นคนแก่ เจริญวัย เป็นผู้ใหญ่โดยกำเนิด ล่วงกาลผ่านวัย มีฟันหัก ผมหงอก ผมบาง ศีรษะล้าน หนังย่น ตัว ตกกระ คด ค่อม ถือไม้เท้าไปข้างหน้า เมื่อนั้น มนุษย์นั้น ย่อมเคลื่อน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 606
ตาย หาย สลายไปเพราะชรา การพ้นจากความตายไม่มี สมจริงดังที่ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :-
สัตว์ที่เกิดมามีภัยโดยความตายเป็นนิตย์ เหมือน ผลไม้ที่สุกแล้วมีภัย โดยการหล่นในเวลาเช้าฉะนั้น. ภาชนะดินที่นายช่างทำแล้วทุกชนิดมีความแตกเป็นที่สุด แม้ฉันใด ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายก็เป็นฉันนั้น. มนุษย์ ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ โง่ และฉลาด ทั้งหมดย่อมไปสู่อำนาจ มัจจุ มีมัจจุสกัดอยู่ข้างหน้า เมื่อมนุษย์เหล่านั้นถูกมัจจุสกัด ข้างหน้าแล้ว ถูกมัจจุครอบงำ บิดาก็ต้านทานบุตรไว้ไม่ ได้ หรือพวกญาติก็ต้านทานญาติไว้ไม่ได้ เมื่อพวกญาติ กำลังแลดูกันอยู่นั่นแหละกำลังรำพันกันอยู่เป็นอันมากว่า ท่านจงดู ตนคนเดียวเท่านั้นแห่งสัตว์ทั้งหลายอันมรณะ นำไปได้ เหมือนโคลูกนำไปฆ่าฉะนั้น. สัตว์โลกอัน มัจจุและชราครอบงำไว้อย่างนี้.
เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า มนุษย์ผู้นั้นย่อมตายเพราะชราโดยแท้แล เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า :-
ชีวิตนี้มีน้อยหนอ มนุษย์ย่อมตายภายในร้อยปี แม้หากว่ามนุษย์ใดย่อมเป็นอยู่เป็นไป มนุษย์ผู้นั้นย่อมตาย เพราะชราโดยแท้แล.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 607
[๑๘๖] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า :-
ชนทั้งหลายย่อมเศร้าโศกในเพราะวัตถุที่ถือว่าของ เราความยึดถือทั้งหลายเป็นของเที่ยง มิได้มีเลย การยึดถือ นี้มีความพลัดพรากเป็นที่สุดทีเดียว กุลบุตรเห็นดังนี้แล้ว ไม่ควรอยู่ครองเรือน.
ว่าด้วยคนเศร้าโศกเพราะการยึดถือ
[๑๘๗] คำว่า ชนทั้งหลายย่อมเศร้าโศกในเพราะวัตถุที่ถือ ว่าของเรา มีความว่า คำว่า ชนทั้งหลาย ได้แก่ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร คฤหัสถ์ บรรพชิต เทวดา และมนุษย์. คำว่า ยึดถือว่า ของเรา ได้แก่ ความยึดถือว่าของเรา ๒ อย่าง คือ ความยึดถือว่าของ เราด้วยตัณหา ๑ ความยึดถือว่าของเราด้วยทิฏฐิ ๑ ฯลฯ นี้ชื่อว่า ความยึดถือว่าของเราด้วยตัณหา ฯลฯ นี้ชื่อว่าความยึดถือว่าของเราด้วย ทิฏฐิชนทั้งหลายแม้ผู้มีความหวาดระแวงในการแย่งชิงวัตถุที่ถือว่าของเรา ย่อมเศร้าโศก คือ ย่อมเศร้าโศกเมื่อเขากำลังแย่งชิงเอาบ้าง เมื่อเขาแย่ง ชิงเอาไปแล้วบ้าง ผู้มีความหวาดระแวงในความแปรปรวนไปแห่งวัตถุ ที่ถือว่าของเรา ย่อมเศร้าโศก คือ ย่อมเศร้าโศก ลำบาก คร่าครวญ ทุบอกร่ำไร ถึงความหลงใหล เมื่อวัตถุนั้นกำลังแปรปรวนไปอยู่บ้าง เมื่อ วัตถุนั้นแปรปรวนไปแล้วบ้าง. เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ชนทั้งหลายย่อม เศร้าโลกในเพราะวัตถุถือว่าของเรา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 608
[๑๘๘] คำว่า ความยึดถือทั้งหลายเป็นของเที่ยง มิได้มีเลย มีความว่า คำว่า ความยึดถือ ได้แก่ ความยึดถือ ๒ อย่าง คือ ความ ยึดถือด้วยตัณหา ๑ ความยึดถือด้วยทิฏฐิ ๑ ฯลฯ นี้ชื่อว่า ความยึดถือ ด้วยตัณหา ฯลฯ นี้ชื่อว่าความยึดถือด้วยทิฏฐิ. ความยึดถือด้วยตัณหา เป็นของไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยความประชุมกันแห่งปัจจัยเกิดขึ้น มีความสิ้นไป ความเสื่อมไป ความคลายไป ความดับไป ความแปรปรวน ไปเป็นธรรมดา. ความยึดถือด้วยทิฏฐิ เป็นของไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยความประชุมกันแห่งปัจจัยเกิดขึ้น มีความสิ้นไป ความเสื่อมไป ความคลายไป ความดับไป ความแปรปรวนไปเป็นธรรมดาสมจริงดังที่ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :-
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอย่อมเห็นหรือว่า ความ ยอดถือที่เป็นของเที่ยง ยั่งยืน มั่นคง ไม่แปรปรวนไปเป็น ธรรมดา จักตั้งอยู่อย่างนั้น แหละเสมอด้วยของเที่ยง.
ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อนั้นไม่มีเลย. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า :-
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อนั้นถูกละ ดูก่อนภิกษุ ทั้งหลาย แม้เราก็ไม่ตามเห็นว่า ความยึดถือนั้น เป็น ความยึดถือที่เป็นของเที่ยง ยั่งยืน มั่นคง ไม่แปรปรวน ไปเป็นธรรมดา จักตั้งอยู่อย่างนั้นนั่นแหละเสมอด้วยของ เที่ยง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 609
ความยึดถือ เป็นของเที่ยงยั่งยืน มั่นคง ไม่มีความแปรปรวนไป เป็นธรรมดา ย่อมไม่มี คือไม่มีอยู่ ไม่ปรากฏ ไม่เข้าไปได้. เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ความยึดถือทั้งหลายเป็นของเที่ยง มิได้มีเลย.
[๑๘๙] คำว่า การยึดถือนี้มีความพลัดพรากเป็นที่สุดทีเดียว มีความว่า มีความเป็นต่างๆ กัน ความพลัดพราก ย่อมเป็นอย่างอื่น มี อยู่ ปรากฏอยู่ เข้าไปได้อยู่. สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :-
ดูก่อนอานนท์ อย่าเลย เธออย่าเศร้าโศก อย่า คร่ำครวญไปเลย ดูก่อนอานนท์ ข้อนั้นเราได้บอกไว้ก่อน แล้วมิใช่หรือว่า ความเป็นต่างๆ กัน ความพลัดพราก ความเป็นอย่างอื่น จากสัตว์สละสังขารอันเป็นที่รักใคร่พอ ใจทั้งหลายทีเดียวมีอยู่ ดูก่อนนี้ จะพึงได้แต่ที่ไหน สิ่งใดที่ เกิดแล้ว มีแล้ว อันปัจจัยปรุงแต่งแล้ว มีความสลายไปเป็น ธรรมดา สิ่งนั้น อย่าสลายไปเลย ต่อนั้นไม่เป็นฐานะที่จะ มีได้ เพราะขันธ์ ธาตุ อายตนะ ก่อนๆ แปรปรวนไป เป็นอย่างอื่น ขันธ์ธาตุและอายตนะหลังๆ ก็ย่อมเป็นไป ดังนี้. เพราะฉะนั้นจึงถือว่า การยึดถือนี้มีความพลัดพราก เป็นที่สุดทีเดียว.
[๑๙๐] คำว่า กุลบุตรเห็นดังนี้แล้ว ไม่ควรอยู่ครองเรือน มีความว่า ศัพท์ว่า อิติ เป็นบทสนธิ เป็นบทอุปสรรค เป็นบทบริบูรณ์ เป็นที่ประชุมอักษร เป็นศัพท์ที่มีพยัญชนะสละสลวย ศัพท์ว่า อิติ นี้เป็น ลำดับแห่งบท. กุลบุตรเห็นแล้ว พบแล้ว เทียบเคียง ตรวจตรา สอบ. สวนทำให้แจ่มแจ้ง ในวัตถุที่ถือว่าของเราทั้งหลาย ดังนี้แล้ว เพราะฉะนั้น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 610
จึงชื่อว่า เห็นดังนี้แล้ว. คำว่า ไม่ควรอยู่ครองเรือน ความว่า กุลบุตร ตัดกังวลในฆราวาสทั้งหมด ตัดกังวลในบุตรและภรรยา ตัดกังวลในญาติ ตัดกังวลในมิตรและอมาตย์ ตัดกังวลในความสั่งสมทั้งหมด ปลงผมและ หนวด ครองผ้ากาสายะ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต เข้าถึงความ เป็นผู้ไม่มีห่วงใย พึงเป็นผู้เดียวเที่ยวไป คือ อยู่ เป็นไป หมุนไป รักษา ดำเนินไป ให้อัตภาพดำเนินไป เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า กุลบุตร เห็นดังนี้ แล้วไม่ควรอยู่ครองเรือน. เพราะเหตุนั้นพระผู้มีพระภาค เจ้าจึงตรัสว่า :-
ชนทั้งหลายย่อมเศร้าโศกในเพราะวัตถุที่ถือว่าของ เรา ความยึดถือทั้งหลายเป็นของเที่ยง มิได้มีเลย การยึด ถือนี้มีความพลัดพรากเป็นที่สุดทีเดียว กุลบุตรเห็นดังนี้ แล้ว ไม่ควรอยู่ครองเรือน.
[๑๙๑] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า :-
บุรุษย่อมสำคัญเบญจขันธ์ใดว่า นี้ของเรา เบญจ- ขันธ์นั้นอันบุรุษนั้นย่อมละไปแม้เพราะความตาย พุทธมามกะผู้เป็นบัณฑิตรู้เห็นโทษแม้นั้นแล้ว ไม่ควรน้อมไป เพื่อความยึดถือว่าของเรา.
ว่าด้วยการยึดถือเบญจขันธ์
[๑๙๒] คำว่า เบญจขันธ์นั้นอันบุรุษนั้น ย่อมละไปแม้เพราะ ความตาย มีความว่า คำว่า ความตาย ได้แก่ ความจุติ ความเคลื่อน จากหมู่สัตว์นั้นๆ แห่งเหล่าสัตว์นั้นๆ ควรทำลาย ความหายไป มัจจุ-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 611
มรณะ กาลกิริยา ความแตกแห่งขันธ์ทั้งหลาย ความทอดทิ้งร่างกาย ความเข้าไปตัดแห่งชีวิตินทรีย์. คำว่า เบญจขันธ์นั้น ได้แก่ รูปเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ คำว่า ย่อมละ ความว่าเบญจขันธ์ อันบุรุษ นั้นย่อมละ สละทิ้ง หายไป สลายไป สมจริงดังภาษิตว่า:-
โภคสมบัติทั้งหลายย่อมละทิ้งสัตว์ไปก่อนบ้าง สัตว์ ย่อมละทิ้งโภคสมบัติเหล่านั้นไปก่อนบ้าง ดูก่อนราชโจรผู้ ใคร่กาม พวกชนเป็นผู้มีโภคสมบัติมิได้เที่ยง เพราะฉะนั้น เราจึงไม่เศร้าโศก ในเวลาเศร้าโศก ดวงจันทร์ย่อมขึ้น ย่อมเต็มดวง ย่อมเสื่อมสิ้นไป ดวงอาทิตย์อัสดงคตแล้ว ย่อมจากไป ดูก่อนศัตรู โลกธรรมทั้งหลาย เรารู้แล้ว เพราะฉะนั้นเราจึงไม่เศร้าโศกในเวลาเศร้าโศก.
เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า เบญจขันธ์นั้นอันบุรุษนั้นย่อมละไปแม้เพราะ ความตาย.
[๑๙๓] คำว่า บุรุษย่อมสำคัญเบญจขันธ์ใดว่า นี้ของเรา มี ความว่า คำว่า เบญจขันธ์ใด ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ. คำว่า บุรุษ ได้แก่ ความนับ ความหมายรู้ บัญญัติ โวหาร ของโลก นาม การตั้งนาม ความทรงนาม ความพูดถึง การแสดง ความหมาย การพูดปราศรัย. คำว่า ย่อมสำคัญเบญจขันธ์ใดว่า นี้ ของเรา มีความว่า ย่อมสำคัญด้วยความสำคัญด้วยตัณหา ด้วยความสำคัญ ด้วยทิฏฐิ ด้วยความสำคัญด้วยมานะ ด้วยความสำคัญด้วยกิเลส ด้วยความ สำคัญด้วยทุจริต ด้วยความสำคัญด้วยประโยค ด้วยความสำคัญด้วยวิบาก. เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า บุรุษย่อมลำดับเบญจขันธ์ใดว่า นี้ของเรา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 612
[๑๙๔] คำว่า ผู้เป็นบัณฑิตรู้เห็นโทษแม้นั้นแล้ว มีความว่า ทราบ รู้ เทียบเคียง ตรวจทราบ สอบสวน ทำให้แจ่มแจ้ง ซึ่งโทษนั้น ในวัตถุที่ยึดถือว่าของเราทั้งหลาย เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า รู้เห็นโทษแม้นั้น แล้วละ คำว่า บัณฑิต ได้แก่ ผู้มีความรู้ ผู้มีญาณ ผู้มีปัญญาแจ่มแจ้ง ผู้มีปัญญาเป็นเครื่องทรง. เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า ผู้เป็นบัณฑิตรู้เห็นโทษ แม้นั้นแล้ว.
[๑๙๕] คำว่า พุทธมามกะไม่ควรน้อมไปเพื่อความยึดถือว่า ของเรา มีความว่า คำว่า ความยึดถือว่าของเรา ได้แก่ ความยึดถือว่า ของเรา ๒ อย่างคือ ความยึดถือว่าของเราด้วยตัณหา ๑ ความยึดถือว่าของ เรา ด้วยทิฏฐิ ๑. คำว่า พุทธมามกะ ได้แก่ ผู้นับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คือบุคคลผู้นั้นย่อมนับถือพระผู้มีพระภาคเจ้าว่าของเรา พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงกำหนดบุคคลผู้นั้น สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาค เจ้าตรัสไว้ว่า :-
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่าใดเป็นผู้คดโกง กระด้าง พูดพล่อย กรีดกราย มีมานะจัด มีจิตไม่ตั้งมั่น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นเป็นผู้ไม่นับถือเรา เป็น ผู้ไปปราศแล้วจากธรรมวินัยนี้ และย่อมไม่ถึงความเจริญ งอกงามไพบูลย์ในธรรมวินัยนี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายส่วนว่า ภิกษุเหล่าใดเป็นผู้ไม่คดโกง ไม่พูดพล่อย ปัญญาไม่กระด้าง มีจิตตั้งมั่นดี ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นเป็น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 613
ผู้นับถือเรา ไม่ปราศแล้วจากธรรมวินัยนี้ และย่อมถึงความ เจริญงอกงามไพบูลย์ในธรรมวินัยนี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณภาษิตนี้จบลง แล้ว จึงตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า :-
ชนทั้งหลายเป็นผู้คดโกง กระด้าง พูดพล่อย กรีด กราย มีมานะจัด มีจิตไม่ตั้งมั่น ชนเหล่านั้นย่อมไม่งอก งามในธรรม อันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว ส่วน ชนทั้งหลายเป็นผู้ไม่คดโกง ไม่พูดพล่อย มีปัญญา ไม่ กระด้าง มีจิตตั้งมั่นดี ชนเหล่านั้นแล ย่อมงอกงามใน ธรรมอันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว.
คำว่า พุทธมามกะไม่ควรน้อมไปเพื่อความยึดถือว่าของเรา มีความว่า พุทธมามกะละความยึดถือว่าของเราด้วยตัณหา สละคืนความ ยึดถือว่าของเราด้วยทิฏฐิ ไม่พึงน้อมโน้มไปเพื่อความยึดถือว่าของเรา คือ ไม่พึงเป็นผู้น้อมไป เอนไป โอนไป โน้มไป ในความยึดถือว่าของเรา นั้น ไม่พึงเป็นผู้มีความยึดถือว่าของเรานั้นเป็นใหญ่ เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า พุทธมามกะไม่ควรน้อมไปเพื่อความยึดถือของเรา. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า :-
บุรุษย่อมสำคัญเบญจขันธ์ใดว่า นี้ของเรา เบญจ- ขันธ์นั้นอันบุรุษนั้นย่อมละไปแม้เพราะความตาย พุทธ มามกะผู้เป็นบัณฑิตรู้เห็นโทษแม้นั้นแล้ว ไม่ควรน้อมไป เพื่อความยึดถือว่าของเรา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 614
[๑๙๖] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า :-
บุรุษตื่นแล้ว ย่อมไม่เห็นสิ่งที่มาประจวบด้วยความ ฝัน แม้ฉันใด ใครๆ ก็ไม่เห็นชนที่รักซึ่งตายจากไปแล้ว แม้ฉันนั้น.
เปรียบสิ่งที่ได้เหมือนความฝัน
[๑๙๗] คำว่า สิ่งที่มาประจวบด้วยความฝันแม้ฉันใด มีความ ว่า สิ่งที่มาประจวบ คือ สิ่งที่มาปรากฏมาตั้งมั่นประชุมกันแล้ว เพราะ ฉะนั้น จึงชื่อว่า สิ่งที่มาประจวบด้วยความฝัน แม้ฉันใด.
[๑๙๘] คำว่า บุรุษตื่นแล้ว ย่อมไม่เห็น มีความว่า บุรุษผู้ฝัน เห็นดวงจันทร์ เห็นดวงอาทิตย์ เห็นมหาสมุทร เห็นขุนเขาสิเนรุ เห็น ช้าง เห็นม้า เห็นรถ เห็นคนเดินเท้า เห็นขบวนเสนา เห็นสวนที่น่า รื่นรมย์ เห็นป่าที่น่ารื่นรมย์ เห็นภูมิภาคที่น่ารื่นรมย์ เห็นสระโบกขรณี ที่น่ารื่นรมย์ ครั้นตื่นแล้ว ย่อมไม่เห็นอะไรๆ ฉันใด เพราะฉะนั้นจึง ชื่อว่า บุรุษตื่นแล้ว ย่อมไม่เห็น.
[๑๙๙] คำว่า ชนที่รัก ... ... ..แม้ฉันนั้น มีความว่า ศัพท์ว่า ฉันนั้น เป็นอุปไมยเครื่องยังอุปมาให้ถึงพร้อม. คำว่า ชนที่รัก ได้แก่ ชนที่รัก ที่ถือว่าของเรา ซึ่งได้แก่ มารดา บิดา พี่ชาย น้องชาย พี่สาว น้องสาว บุตร ธิดา มิตร อมาตย์ หรือ ญาติสาโลหิต เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ชนที่รัก ... ... ..แม้ฉันนั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 615
[๒๐๐] คำว่า ย่อมไม่เห็น ... ... ..ผู้ตายจากไปแล้ว มีความว่า ชนผู้ตาย ทำกาละแล้ว เรียกว่า ผู้จากไปแล้ว ย่อมไม่เห็น ไม่แลเห็น ไม่ประสบ ไม่พบ ไม่ได้เฉพาะ เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า ย่อมไม่เห็น ... ... .ฝ่ายจากไปแล้ว. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า :-
บุรุษตื่นแล้ว ย่อมไม่เห็นสิ่งที่มาประจวบด้วยความ ฝันแม้ฉันใด ใครๆ ก็ไม่เห็นชนที่รักซึ่งตายจากไปแล้ว แม้ฉันนั้น.
[๒๐๑] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า :-
ชนทั้งหลายที่เห็นกันก็ดี ที่ได้ยินชื่อเรียกกันก็ดี ชนเหล่านั้นที่จากไปแล้ว ยังเหลือแต่ชื่อเท่านั้น ที่พูดถึง กันอยู่.
ว่าด้วยสิ่งต่างๆ ย่อมสลายไปเหลือแต่ชื่อ
[๒๐๒] คำว่า ชนทั้งหลายที่เห็นกันก็ดี ที่ได้ขึ้นเรียกชื่อกัน ก็ดี มีความว่า คำว่า ที่เห็นกัน ได้แก่ ชนทั้งหลายมีรูปที่รู้กันด้วยจักขุ- วิญญาณ. คำว่า ที่ได้ยินกัน ได้แก่ มีเสียงที่รู้กันได้ด้วยโสตวิญญาณคำว่า ชนเหล่านั้น ได้แก่ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร คฤหัสถ์ บรรพชิต เทวดา มนุษย์. เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า ชนทั้งหลายที่เห็น กันก็ดี ที่ได้ขึ้นเรียกชื่อกันก็ดี.
[๒๐๓] คำว่า มีชื่อเรียกกัน มีความว่า คำว่า เยสํ ได้แก่ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร คฤหัสถ์ บรรพชิต เทวดา มนุษย์.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 616
คำว่า มีชื่อ ได้แก่ มีชื่อที่นับ มีชื่อที่หมายรู้ มีชื่อที่บัญญัติ มีชื่อที่ เรียกกันทางโลก มีนาม มีความตั้งนาม มีความทรงนาม มีชื่อที่พูดถึง มีชื่อที่แสดงความหมาย มีชื่อที่กล่าวเฉพาะ. คำว่า เรียก ได้แก่ กล่าว พูด แสดง แถลง เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า มีชื่อเรียกกัน.
[๒๐๔] คำว่า ยังเหลือแต่ชื่อเท่านั้น ที่พูดถึงกันอยู่ มีความ ว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันบุคคลละไป สละไป ทิ้ง ไป หายไป สลายไป มีเหลือแต่ชื่อเท่านั้น. คำว่า ที่พูดถึงกันอยู่ ได้แก่ เพื่อบอก เพื่อกล่าว เพื่อพูด เพื่อแสดง เพื่อแถลง เพราะฉะนั้นจึงชื่อ ว่า ยังเหลือแต่ชื่อเท่านั้น ที่พูดถึงกันอยู่. คำว่า ชนเหล่านั้นที่จากไป. แล้ว มีความว่า คำว่า ที่จากไปแล้ว ได้แก่ ตายแล้ว กระทำกาละ แล้ว. คำว่า ชน ได้แก่ สัตว์ นระ มานพ บุรุษ บุคคล ผู้มีชีวิต ผู้เกิด สัตว์เกิด ผู้มีกรรม มนุษย์ เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า ชนเหล่านั้นที่ จากไปแล้ว ... ... ..ที่พูดถึงกันอยู่. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึง ตรัสว่า :-
ชนทั้งหลายที่เห็นกันก็ดี ที่ได้ยินชื่อเรียกกันก็ดี ชนเหล่านั้นที่จากไปแล้ว ยังเหลือแต่ชื่อเท่านั้นที่พูดถึง กันอยู่.
[๒๐๕] พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า :-
ชนทั้งหลายผู้ติดใจในวัตถุที่ถือว่าของเรา ย่อมไม่ ละความโศก ความคร่ำครวญและความหวงแหน เพราะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 617
ฉะนั้น มุนีทั้งหลายผู้เห็นความปลอดโปร่ง ละซึ่งความยึด ถือได้เที่ยวไปแล้ว.
[๒๐๖] คำว่า ชนทั้งหลายผู้ติดใจในวัตถุที่ถือว่าของเรา ย่อมไม่ละความโศกความคร่ำครวญและความหวงแหน มีความ ว่า :-
คำว่า ความโศก ได้แก่ ความโศก กิริยาที่เศร้าโศก ความเป็น ผู้เศร้าโศก ความที่จิตเศร้าโศก ความเศร้าโศกในภายใน ความเศร้าโศก รอบในภายใน ความเร่าร้อนในภายใน ความเร่าร้อนรอบในภายใน ความตรอมตรมแห่งจิต โทมนัส ลูกศรคือความเศร้าโศก ของชนผู้ถูก ความเสื่อมแห่งญาติกระทบเข้าบ้าง ถูกความเสื่อมแห่งโภคะกระทบเข้าบ้าง ถูกความเสื่อมเพราะโรคกระทบเข้าบ้าง ถูกความเสื่อมแห่งศีลกระทบเข้าบ้าง ถูกความเสื่อมแห่งทิฏฐิกระทบเข้าบ้าง ที่ประจวบกับความเสื่อม อย่างใดอย่างหนึ่งบ้าง ถูกเหตุแห่งทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งกระทบเข้าบ้าง.
คำว่า ความคร่ำครวญ ได้แก่ ความเพ้อถึง ความคร่ำครวญ อาการที่เพ้อถึง อาการที่คร่ำครวญถึง ความเป็นผู้เพ้อถึง ความเป็นผู้- คร่ำครวญถึง ความพูดเพ้อ ความบ่นเพ้อ ความบ่นเพ้อแปลกๆ อาการ พร่ำเพ้อ กิริยาที่พร่ำเพ้อ ความเป็นผู้พร่ำเพ้อ ของชนผู้ถูกความเสื่อม แห่งญาติกระทบเข้าบ้าง ฯลฯ ถูกความเสื่อมแห่งทิฏฐิกระทบเข้าบ้าง ที่ ประจวบกับความเสื่อมอย่างใดอย่างหนึ่งบ้าง ถูกเหตุแห่งทุกข์อย่างใดอย่าง หนึ่งกระทบเข้าบ้าง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 618
คำว่า ความหวงแหน ได้แก่ ความตระหนี่ ๕ ประการ คือ ความตระหนี่ที่อยู่ ความตระหนี่ตระกูล ความตระหนี่ลาภ ความตระหนี่ วรรณะ ความตระหนี่ธรรม ความตระหนี่เห็นปานนี้ อาการที่ตระหนี่ ความเป็นผู้ประพฤติตระหนี่ ความเป็นผู้ปรารถนาต่างๆ ความเหนียวแน่น ความเป็นผู้มีจิตหดหู่เจ็บร้อนในการให้ ความที่จิตอันใครๆ เชื่อถือไม่ได้ ในการให้ นี้เรียกว่าความตระหนี่, อีกอย่างหนึ่ง ความตระหนี่ขันธ์ก็ดี ความตระหนี่ธาตุก็ดี ความตระหนี่อายตนะก็ดี นี้เรียกว่า ความตระหนี่ ความมุ่งจะเอาก็เรียกว่าความตระหนี่ นี้เรียกว่าความตระหนี่ ตัณหาเรียกว่า ความติดใจ ได้แก่ ความกำหนัด ความกำหนัดกล้า ฯลฯ อภิชฌา โลภะ อกุศลมูล.
คำว่า ความยึดถือว่าของเรา ได้แก่ ความยึดถือว่าของเรา ๒ อย่าง คือ ความยึดถือว่าของเราด้วยตัณหา ๑ ความยึดถือว่าของเราด้วย ทิฏฐิ ๑ ฯลฯ นี้ชื่อว่าความยึดถือว่าของเราด้วยตัณหา ฯลฯ นี้ชื่อว่าความ ยึดถือว่าของเราด้วยทิฏฐิ. ชนทั้งหลายแม้ผู้มีความหวาดระแวงในการแย่ง ชิงวัตถุที่ถือว่าของเรา ย่อมเศร้าโศก คือย่อมเศร้าโศกเมื่อเขากำลังแย่งชิง เอาบ้าง เมื่อเขาแย่งชิงเอาไปแล้วบ้าง แม้ผู้มีความหวาดระแวงในความ แปรปรวนไปแห่งวัตถุที่ถือว่าของเรา ย่อมเศร้าโศก ย่อมเศร้าโศกเมื่อ วัตถุนั้นกำลังแปรปรวนไปบ้าง เมื่อวัตถุนั้นแปรปรวนไปแล้วบ้าง แม้ผู้มี ความหวาดระแวงในการแย่งชิงวัตถุที่ถือว่าของเรา ย่อมคร่ำครวญ คือ ย่อมคร่ำครวญเมื่อเขากำลังแย่งชิงเอาบ้าง เมื่อเขาแย่งชิงเอาไปแล้วบ้าง แม้ผู้มีความหวาดระแวงในความแปรปรวนไปแห่งวัตถุที่ถือว่าของเรา ย่อม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 619
คร่ำครวญ คือย่อมคร่ำครวญเมื่อวัตถุนั้นกำลังแปรปรวนไปบ้าง เมื่อวัตถุ นั้นแปรปรวนไปแล้วบ้าง. ชนทั้งหลายย่อมรักษา คุ้มครอง ป้องกันวัตถุ ที่ถือว่าของเรา หวงแหนวัตถุที่ถือว่าของเรา ย่อมเศร้าโศก คือ ไม่ละ ไม่สละ ไม่บรรเทา ไม่ทำให้สิ้นไป ไม่ทำให้ถึงความไม่มี ซึ่งความโศก ความคร่ำครวญ ความหวงแหน ความติดใจในวัตถุที่ถือว่าของเรา เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า ชนทั้งหลายผู้ติดใจในวัตถุที่ถือว่าของเรา ย่อมไม่ ละความโศก ความคร่ำครวญ และความหวงแหน.
ว่าด้วยโมไนยธรรม
[๒๐๗] คำว่า เพราะฉะนั้น มุนีทั้งหลายผู้เห็นความปลอด โปร่งละซึ่งความยืดถือได้เที่ยวไปแล้ว มีความว่า :-
คำว่า เพราะฉะนั้น ได้แก่ เพราะเหตุนั้น เพราะการณะนั้น เพราะฉะนั้น เพราะปัจจัยนั้น เพราะนิทานนั้น คือเห็นโทษนั้นในวัตถุ ที่ยึดถือว่าของเราทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นจึงชื่อว่า เพราะฉะนั้น.
คำว่า มุนีทั้งหลาย ความว่า ญาณ เรียกว่า โมนะ ได้แก่ ปัญญา ความรู้ทั่ว ฯลฯ ความไม่หลง ความเลือกเฟ้นธรรม สัมมาทิฏฐิ ชนทั้ง หลายผู้ประกอบด้วยญาณนั้น ชื่อว่ามุนี คือผู้ถึงแล้วซึ่งญาณชื่อว่าโมนะ โมไนยธรรม คือธรรมที่ทำให้เป็นมุนี มี ๓ ประการ คือ โมไนยธรรม ทางกาย ๑, โมไนยธรรมทางวาจา ๑, โมไนยธรรมทางใจ ๑.
โมไนยธรรมทางกายเป็นไฉน? การละกายทุจริต ๓ อย่าง ซึ่งว่า โมไนยธรรมทางกาย กายสุจริต ๓ อย่าง ญาณมีกายเป็นอารมณ์ การ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 620
กำหนดรู้กายมรรคอันสหรคตด้วยปริญญา การละฉันทราคะในกาย นี้ชื่อ ว่าโมไนยธรรมทางกาย.
โมไนยธรรมทางวาจาเป็นไฉน? การละวจีทุจริต ๔ อย่าง ชื่อว่า โมไนยธรรมทางวาจา วจีสุจริต ๔ อย่าง ญาณมีวาจาเป็นอารมณ์ การ กำหนดรู้วาจามรรคอันสหรคตด้วยปริญญา การละฉันทราคะในวาจา ความ ดับแห่งวจีสังขาร ความบรรลุทุติยฌานชื่อว่าโมไนยธรรมทางวาจา นี้ชื่อ ว่าโมไนยธรรมทางวาจา.
โมไนยธรรมทางใจเป็นไฉน? การละมโนทุจริต ๓ อย่าง ชื่อว่า โมไนยธรรมทางใจ มโนสุจริต ๓ อย่าง ญาณมีจิตเป็นอารมณ์ การ กำหนดรู้จิตมรรคอันสหรคตด้วยปริญญา การละฉันทราคะในใจ ความดับ แห่งจิตสังขาร การบรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธ ชื่อว่าโมไนยธรรมทางจิต นี้ชื่อว่าโมไนยธรรมทางใจ. สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :-
บัณฑิตทั้งหลายได้กล่าวมุนีผู้เป็นมุนีทางกาย เป็น มุนีทางวาจา เป็นมุนีทางใจ หาอาสวะมิได้ ว่าเป็นผู้ถึง พร้อมด้วยธรรมที่ทำให้เป็นมุนี เป็นผู้ละกิเลสทั้งปวง บัณฑิตทั้งหลายได้กล่าวมุนีผู้เป็นมุนีทางกาย เป็นมุนีทาง วาจา เป็นมุนีทางใจ หาอาสวะมิได้ ว่าเป็นผู้ถึงพร้อม ด้วยธรรมที่ทำให้เป็นมุนี เป็นผู้มีบาปอันล้างเสียแล้ว ฯลฯ ก้าวล่วงธรรมเป็นเครื่องข้องและตัณหาเพียงดังข่ายดำรงอยู่ เป็นผู้อันเทวดาและมนุษย์บูชาแล้วบุคคลนั้น ชื่อว่ามุนี.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 621
คำว่า ความยึดถือ ได้แก่ ความยึดถือ ๒ อย่าง คือ ความยึดถือ ด้วยตัณหา ๑ ความยึดถือด้วยทิฏฐิ ๑ ฯลฯ นี้ชื่อว่าความยึดถือด้วยตัณหา ฯลฯ นี้ชื่อว่าความยึดถือด้วยทิฏฐิ มุนีทั้งหลายละความยึดถือด้วยตัณหา สละคืนความยึดถือด้วยทิฏฐิเสียแล้ว ได้ประพฤติแล้ว เที่ยวไป เป็นไป หมุนไป รักษา ดำเนินไป ให้อัตภาพดำเนินไป.
คำว่า ผู้เห็นความปลอดโปร่ง มีความว่า อมตนิพพาน เรียกว่า ความปลอดโปร่ง ได้แก่ ความสงบสังขารทั้งปวง ความสละคืนอุปธิทั้งปวง ความสิ้นตัณหา ความสำรอก ความดับ ความออกจากตัณหา เป็นเครื่อง ร้อยรัด คำว่า เห็นความปลอดโปร่ง ได้แก่ เห็นความปลอดโปร่ง เห็น ที่ต้านทาน เห็นที่เร้น เห็นที่พึ่ง เห็นความไม่มีภัย เห็นความไม่เคลื่อน เห็นอมตะ เห็นนิพพาน. เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า มุนีทั้งหลายผู้เห็น ความปลอดโปร่ง ละซึ่งความยืดถือได้เที่ยวไปแล้ว เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า :-
ชนทั้งหลายผู้ติดใจในวัตถุที่ถือว่าของเรา ย่อมไม่ ละความโศก ความคร่ำครวญ และความหวงแหน เพราะ ฉะนั้นมุนีทั้งหลายผู้เห็นความปลอดโปร่ง ละซึ่งความ ยึดถือได้เที่ยวไปแล้ว.
[๒๐๘] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า :-
บัณฑิตทั้งหลายกล่าวการไม่แสดงตนในภพนั้น ของภิกษุผู้ประพฤติหลีกเร้น ผู้คบที่นั่งอันสงัดว่าเป็นความ พร้อมเพรียง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 622
ว่าด้วยผู้ประพฤติหลีกเร้น
[๒๐๙] คำว่า ของภิกษุผู้ประพฤติหลีกเร้น มีความว่า พระ เสขะ ๗ จำพวก เรียกว่า ผู้ประพฤติหลีกเร้น. พระอรหันต์ เรียกว่า ผู้หลีกเร้น. พระเสขะ ๗ จำพวก เรียกว่า ผู้ประพฤติหลีกเร้น เพราะเหตุไร? พระเสขะเหล่านั้น ยังจิตให้หลีกเร้น หดกลับ ถอยกลับ ปิดกั้น ข่ม ห้าม รักษา คุ้มครองจิตจากอารมณ์นั้นๆ ย่อมประพฤติ อยู่เป็นไป หมุนไป รักษา ดำเนินไป ให้อัตภาพดำเนินไป ยังจิตให้หลีกเร้น หดกลับ ถอยกลับ ปิดกั้น ข่ม ห้าม รักษา คุ้มครองจิตจากอารมณ์นั้นๆ ให้จักขุ ทวารประพฤติ อยู่ เป็นไป หมุนไป รักษา ดำเนินไป ให้อัตภาพดำเนิน ไปยังจิตให้หลีกเร้น หดกลับ ถอยกลับ ปิดกั้น ข่ม ห้าม รักษา คุ้มครอง จิตจากอารมณ์นั้นๆ ในโสตทวาร ... .ในฆานทวาร ... .ในชิวหาทวาร ... .ใน กายทวาร ... .ยังจิตให้หลีกเร้น หดกลับ ถอยกลับ ปิดกั้น ข่ม ห้าม รักษา คุ้มครองจิตจากอารมณ์นั้นๆ ในมโนทวาร ย่อมประพฤติ อยู่ เป็นไป หมุนไป รักษา ดำเนินไป ให้อัตภาพดำเนินไป เปรียบเหมือนขนไก่ หรือเส้นเอ็นที่ใส่เข้าไปในไฟ ย่อมหด งอ ม้วน ไม่คลี่ออกฉะนั้น เพราะ เหตุนั้น พระเสขะ ๗ จำพวก จึงเรียกว่า ผู้ประพฤติหลีกเร้น. คำว่า ของภิกษุ ได้แก่ ของภิกษุผู้เป็นกัลยาณปุถุชน หรือของภิกษุผู้เป็น พระเสขะ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ของภิกษุผู้ประพฤติหลีกเร้น.
[๒๑๐] คำว่า ผู้คบที่นั่งอันสงัด มีความว่า ที่เป็นที่นั่ง เรียกว่า อาสนะ ได้แก่ เตียง ตั่ง เบาะ เสื่อ ท่อนหนัง เครื่องลาดทำด้วยหญ้า เครื่องลาดทำด้วยใบไม้ เครื่องลาดทำด้วยฟาง ที่นั่งนั้นว่าง เงียบ สงัด
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 623
จากการเห็นรูปไม่เป็นที่สบาย จากการได้ยินเสียงไม่เป็นที่สบาย จากการ สูดดมกลิ่นไม่เป็นที่สบาย จากการได้ลิ้มรสไม่เป็นที่สบาย จากการถูกต้อง โผฏฐัพพะไม่เป็นที่สบาย จากกามคุณ ๕ ไม่เป็นที่สบาย ผู้คบอยู่ คบเสมอ เสพ เข้าไปเสพ คบหา ซ่องเสพ ซึ่งที่นั่งนั้น เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า ผู้คบที่นั่งอันสงัด.
ว่าด้วยสามัคคี ๓ อย่าง
[๒๑๑] คำว่า บัณฑิตทั้งหลายกล่าวการไม่แสดงตนในภพ นั้นว่าเป็นความพร้อมเพรียง มีความว่า คำว่า ความพร้อมเพรียง ได้แก่ สามัคคี ๓ อย่าง คือ คณะสามัคคี ๑, ธรรมสามัคคี ๑, อนภินิพพัตติสามัคคี ๑.
คณะสามัคคีเป็นไฉน? ภิกษุทั้งหลายแม้มาก พร้อมเพรียงกัน ชื่น ชมกัน ไม่วิวาทกัน เป็นดังน้ำเจือด้วยน้ำนม แลดูกันและกันด้วยจักษุ เป็นที่รักอยู่ นี้ชื่อว่า คณะสามัคคี.
ธรรมสามัคคีเป็นไฉน? สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรคมีองค์ ๘ ธรรมเหล่านั้น ย่อมแล่นไป ผ่องใส ประดิษฐานด้วยดี พ้นวิเศษ โดยความเป็นอันเดียว กัน ความวิวาท ความขัดแย้งกัน แห่งธรรมเหล่านั้นย่อมไม่มี นี้ชื่อว่า ธรรมสามัคคี.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 624
อนภินิพพัตติสามัคคีเป็นไฉน? ภิกษุทั้งหลายแม้มาก ย่อมปรินิพพาน ด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ความบกพร่องหรือความเต็มแห่งนิพพาน. ธาตุของภิกษุเหล่านั้น ย่อมไม่ปรากฏ นี้ชื่อว่า อนภินิพพัตติสามัคคี.
คำว่า ในภพ ความว่า นรกเป็นภพของพวกสัตว์ที่เกิดในนรก กำเนิดดิรัจฉานเป็นภพของพวกสัตว์ที่เกิดในกำเนิดดิรัจฉาน เปรตวิสัย เป็นภพของพวกสัตว์ที่เกิดขึ้นเปรตวิสัย มนุษยโลกเป็นภพของพวกมนุษย์ เทวโลกเป็นภพของพวกเทวดา.
คำว่า บัณฑิตทั้งหลายกล่าวการไม่แสดงตนในภพนั้น ว่าเป็น ความพร้อมเพรียง ความว่า บัณฑิตทั้งหลายกล่าว บอก พูด แสดง แถลงอย่างนี้ว่า ภิกษุใดปฏิบัติแล้วอย่างนี้ ไม่พึงแสดงตนในนรก ใน กำเนิดดิรัจฉาน ในเปรตวิสัย ในมนุษยโลก ในเทวโลก การไม่แสดง ตนของภิกษุนั้น เป็นความพร้อมเพรียง คือ ข้อนั้นเป็นการปกปิด เป็น การควร เป็นการสมควร เป็นอนุโลม เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า บัณฑิต ทั้งหลายกล่าวการไม่แสดงตนในภพนั้น ว่าเป็นความพร้อมเพรียง เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า :-
บัณฑิตทั้งหลายกล่าวการไม่แสดงตนในภพนั้นของ ภิกษุผู้ประพฤติหลีกเร้น ผู้คบที่นั่งอันสงัด ว่าเป็นความ พร้อมเพรียง.
[๒๐๒] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า :-
มุนีไม่อาศัยแล้วในสิ่งทั้งปวง ไม่ทำสัตตสังขารว่า เป็นที่รัก และไม่ทำสัตตสังขารว่าเป็นที่ชัง ความคร่ำครวญ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 625
และความหวงแหนมิได้ติดในมุนีนั้น เหมือนน้ำไม่ติดใน ใบบัวฉะนั้น
[๒๑๓] คำว่า มุนีไม่อาศัยแล้วในสิ่งทั้งปวง มีความว่า อายตนะ ๑๒ คือ จักขุ - รูป, หู - เสียง, จมูก - กลิ่น, ลิ้น - รส, กายโผฏฐัพพะ, ใจ - ธรรมารมณ์ เรียกว่า สิ่งทั้งปวง. คำว่า มุนี มีความว่า ญาณ เรียกว่า โมนะ ได้แก่ ปัญญา ความรู้ทั่ว ฯลฯ ก้าวล่วงธรรมเป็น เครื่องข้องและตัณหาเพียงดังข่าย ดำรงอยู่ และเป็นผู้อันเทวดาและมนุษย์ บูชาแล้ว บุคคลนั้นชื่อว่า มุนี.
คำว่า ไม่อาศัย มีความว่า ความอาศัย ๒ อย่าง คือ ความอาศัย ด้วยตัณหา ๑ ความอาศัยด้วยทิฏฐิ ๑ ฯลฯ นี้ชื่อว่าความอาศัยด้วยตัณหา ฯลฯ นี้ชื่อว่าความอาศัยด้วยทิฏฐิ. มุนีละความอาศัยด้วยตัณหา สละคืน ความอาศัยด้วยทิฏฐิแล้ว ไม่อาศัย คือ ไม่อิงอาศัย ไม่พัวพัน ไม่เข้าถึง ไม่ติดใจ ไม่น้อมใจถึง ออกไป สละเสีย พ้นขาด ไม่เกี่ยวข้อง ซึ่ง จักขุ หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ สกุล คณะ อาวาส ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานปัจจัย เภสัช บริขาร กามธาตุ รูปธาตุ อรูปธาตุ กามภพ รูปภพ อรูปภพ สัญญาภพ อสัญญาภพ เนวสัญญานาสัญญาภพ เอกโวการภพ จตุโวการภพ ปัญจโวการภพ อดีต อนาคต ปัจจุบัน ทิฏฐธรรม สุตธรรม มุตธรรม วิญญาตัพพธรรม เป็นผู้มีจิตกระทำให้ปราศจากแดนกิเลสอยู่ เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า มุนีไม่อาศัยแล้วในสิ่งทั้งปวง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 626
ว่าด้วยสิ่งเป็นที่รัก ๒ อย่าง
[๒๑๔] คำว่า ไม่ทำสัตตสังขารว่าเป็นที่รัก และไม่ทำสัตต สังขารว่าเป็นที่ชัง มีความว่า คำว่า ที่รัก ได้แก่ สิ่งเป็นที่รัก ๒ อย่าง คือ สัตว์ ๑ สังขาร ๑.
สัตว์ทั้งหลายเป็นที่รักเป็นไฉน สัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ เป็นผู้ใคร่ ความเจริญ ใคร่ประโยชน์เกื้อกูล ใคร่ความผาสุก ใคร่ความปลอดโปร่ง จากโยคกิเลส คือ เป็นมารดาบ้าง เป็นบิดาบ้าง เป็นพี่ชายน้องชายบ้าง เป็นพี่สาวน้องสาวบ้าง เป็นบุตรบ้าง เป็นธิดาบ้าง เป็นมิตรบ้าง เป็น อมาตย์บ้าง เป็นญาติบ้าง เป็นสาโลหิตบ้าง แห่งบุคคลนั้น สัตว์เหล่า นี้ชื่อว่าเป็นที่รัก.
สังขารทั้งหลายเป็นที่รักเป็นไฉน? รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เป็นที่ชอบใจ สังขารเหล่านี้ชื่อว่าเป็นที่รัก.
คำว่า เป็นที่ชัง ได้แก่ สิ่งเป็นที่ชัง ๒ อย่างคือ สัตว์ ๑ สังขาร ๑.
สัตว์ทั้งหลายเป็นที่ชังเป็นไฉน? สัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ เป็นผู้ใคร่ ความเสื่อม ใคร่สิ่งไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล ใคร่ความไม่ผาสุก ใคร่ ความไม่ปลอดโปร่งจากโยคกิเลส ใคร่เพื่อจะปลงจากชีวิตของบุคคลนั้น สัตว์เหล่านั้นชื่อว่าเป็นที่ชัง.
สังขารทั้งหลายเป็นที่ชังเป็นไฉน? รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ไม่เป็นที่ชอบใจ สังขารเหล่านี้ ชื่อว่าเป็นที่ชัง.
คำว่า ไม่ทำสัตตสังขารว่าเป็นที่รัก และไม่ทำสัตตสังขาร ว่าเป็นที่ชัง ความว่า มุนีไม่ทำสัตตสังขารว่าเป็นที่รัก ด้วยสามารถแห่ง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 627
ความกำหนัดว่า สัตว์นี้เป็นที่รักของเรา และสังขารเหล่านี้เป็นที่ชอบใจ ของเรา และไม่ทำสัตตสังขารว่าเป็นที่ชัง ด้วยสามารถแห่งความขัดเคืองว่า สัตว์นี้เป็นที่ชังของเรา และสังขารเหล่านี้ไม่เป็นที่ชอบใจของเรา คือไม่ให้ เกิด ไม่ให้เกิดพร้อม ไม่ให้บังเกิด ไม่ให้บังเกิดเฉพาะ. เพราะฉะนั้นจึง ชื่อว่า ไม่ทำสัตตสังขารว่าเป็นที่รัก และไม่ทำสัตตสังขารว่าเป็น ที่ชัง.
[๒๑๕] คำว่า ความคร่ำครวญและความหวงแหนมิได้ติด ในมุนีนั้น เหมือนน้ำไม่ติดในใบบัวฉะนั้น มีความว่า คำว่า ใน มุนีนั้น ได้แก่ในบุคคลผู้เป็นพระอรหันต์ขีณาสพ.
คำว่า ความคร่ำครวญ ได้แก่ ความเพ้อถึง ความคร่ำครวญ กิริยาที่เพ้อถึง กิริยาที่คร่ำครวญ ความเป็นผู้เพ้อถึง ความเป็นผู้คร่ำครวญ ความพูดเพ้อ ความบ่นเพ้อ ความพร่ำเพ้อ อาการพร่ำเพ้อ กิริยาที่พร่ำเพ้อ ความเป็นผู้พร่ำเพ้อของชนผู้ถูกความเสื่อมแห่งญาติกระทบเข้าบ้าง ถูกความ เสื่อมแห่งโภคสมบัติกระทบเข้าบ้าง ถูกความเสื่อมเพราะโรคกระทบเข้าบ้าง ถูกความเสื่อมแห่งศีลกระทบเข้าบ้าง ถูกความเสื่อมแห่งทิฏฐิกระทบเข้าบ้าง ที่ประจวบกับความเสื่อมอย่างใดอย่างหนึ่งบ้าง ถูกเหตุแห่งทุกข์อย่างใด อย่างหนึ่งกระทบเข้าบ้าง.
คำว่า ความหวงแหน ได้แก่ ความตระหนี่ ๕ ประการคือ ความ ตระหนี่ที่อยู่ ๑ ความตระหนี่สกุล ๑ ความตระหนี่ลาภ ๑ ความตระหนี่ วรรณ ๑ ความตระหนี่ธรรม ๑ ความตระหนี่ กิริยาที่ตระหนี่ ความ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 628
เป็นผู้ประพฤติตระหนี่ ความเป็นผู้ปรารถนาต่างๆ ความเหนียวแน่น ความเป็นผู้มีจิตหดหู่เจ็บร้อนในการให้ ความที่จิตอันใครๆ ไม่เชื่อถือได้ ในการไห้เห็นปานนี้ นี้เรียกว่าความตระหนี่ อีกอย่างหนึ่ง ความตระหนี่ ขันธ์ก็ดี ความตระหนี่ธาตุก็ดี ความตระหนี่อายตนะก็ดี เรียกว่า ความ ตระหนี่ ความมุ่งจะเอาก็เรียกว่าความตระหนี่ นี้เรียกว่าความตระหนี่.
คำว่า ไม่ติดเหมือนน้ำไม่ติดในใบบัวฉะนั้น ความว่า ใบปทุม เรียกว่า ใบบัว น้ำเรียกว่า วารี ความคร่ำครวญและความตระหนี่ ย่อม ไม่ติด ไม่ติดพร้อม ไม่เข้าไปติด คือ ย่อมเป็นของไม่ติด ไม่ติดพร้อม ไม่ เข้าไปติด ในมุนีนั้น คือในบุคคลผู้เป็นพระอรหันต์ขีณาสพ เหมือนน้ำ ย่อมไม่ติด ไม่ติดพร้อม ไม่เข้าไปติด คือเป็นของไม่ติด ไม่ติดพร้อม ไม่เข้าไปติดในใบปทุมฉะนั้น และบุคคลนั้นย่อมไม่ติด ไม่ติดพร้อม ไม่เข้าไปติด คือเป็นผู้ไม่ติด ไม่ติดพร้อม ไม่เข้าไปติด เป็นผู้ ออกไป สละเสียแล้ว พ้นขาดแล้ว ไม่เกี่ยวข้องแล้ว ด้วยกิเลสเหล่านั้น เป็นผู้มีจิตกระทำให้ปราศจากแดนกิเลสอยู่ เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า ความ คร่ำครวญและความหวงแหนย่อมไม่ติดในมุนีนั้น เหมือนน้ำย่อม ไม่ติดในใบบัวฉะนั้น เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า :-
มุนีไม่อาศัยแล้วในสิ่งทั้งปวง ไม่ทำสัตตสังขารว่า เป็นที่รัก และไม่ทำสัตตสังขารว่าเป็นที่ซึ่ง ความคร่ำครวญ และความหวงแหนมิได้ติดในมุนีนั้น เหมือนน้ำไม่ติดใน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 629
[๒๑๖] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า :-
หยาดน้ำย่อมไม่ติดในใบบัว วารีย่อมไม่ติดในดอก บัว ฉันใด มุนีย่อมไม่เข้าไปติดในรูปที่เห็น เสียงที่ได้ยิน และอารมณ์ที่รู้ฉันนั้น.
[๒๑๗] คำว่า หยาดน้ำย่อมไม่ติดในใบบัว มีความว่า หยดน้ำ เรียกว่า หยาดน้ำ ใบปทุม เรียกว่าใบบัว หยาดน้ำย่อมไม่ติด ไม่ติด พร้อม ไม่เข้าไปติด คือ เป็นของไม่ติด ไม่ติดพร้อม ไม่เข้าไปติดใน ใบบัว ฉันใด เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า หยาดน้ำย่อมไม่ติดในใบบัว.
[๒๑๘] คำว่า วารีย่อมไม่ติดในดอกบัว ฉันใด มีความว่า ดอกปทุม เรียกว่า ดอกบัว น้ำเรียกว่า วารี วารีย่อมไม่ติด ไม่ติด พร้อม ไม่เข้าไปติด คือ เป็นของไม่ติด ไม่ติดพร้อม ไม่เข้าไปติดใน ดอกบัว ฉันใด เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า วารีย่อมไม่ติดในดอกบัว ฉันใด.
[๒๑๙] คำว่า มุนีย่อมไม่เข้าไปติดในรูปที่เห็นเสียงที่ได้ยิน และอารมณ์ทราบ ฉันนั้น มีความว่า คำว่า ฉันนั้น เป็นอุปไมย เครื่องยังอุปมาให้ถึงพร้อมเฉพาะ. คำว่า มุนี มีความว่า ญาณ เรียกว่า โมนะ ได้แก่ ปัญญา ความรู้ทั่ว ฯลฯ ก้าวล่วงธรรมเป็นเครื่องข้องและ ตัณหาเพียงดังข่าย ดำรงอยู่และเป็นผู้อันเทวดาและมนุษย์บูชาแล้ว บุคคล นั้นชื่อว่า มุนี.
คำว่า ติด ได้แก่ ความติด ๒ อย่าง คือความติดด้วยตัณหา ๑ ความ ติดด้วยทิฏฐิ ๑ ฯลฯ นี้ชื่อว่าด้วยตัณหา ฯลฯ นี้ชื่อว่าความติดด้วย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 630
ทิฏฐิ มุนีละความติดด้วยตัณหา สละคืนความติดด้วยทิฏฐิเสียแล้ว ย่อม ไม่ติด ไม่ติดพร้อม ไม่เข้าไปติด คือเป็นผู้ไม่ติด ไม่ติดพร้อม ไม่เข้าไปติด เป็นผู้ออกไป สละเสียแล้ว พ้นขาดแล้ว ไม่เกี่ยวข้องแล้ว ในรูปที่เห็น เสียงที่ได้ยิน อารมณ์ที่รัก อารมณ์ที่รู้แจ้ง เป็นผู้มีจิตกระทำให้ปราศจาก แดนกิเลสอยู่ เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า มุนีย่อมไม่เข้าไปติดในรูปที่เห็น เสียงที่ได้ยิน และอารมณ์ที่รู้ ฉันนั้น. เพราะเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า :-
หยาดน้ำย่อมไม่ติดในใบบัว วารีย่อมไม่ติดในดอก บัว ฉันใด มุนีย่อมไม่เข้าไปติดในรูปที่เห็น เสียงที่ได้ยิน และอารมณ์ที่รู้ฉันนั้น.
[๒๒๐] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า :-
พระอรหันต์ผู้มีปัญญาเป็นเครื่องกำจัดย่อมไม่สำคัญ ในรูปที่เห็นเสียงที่ได้ยิน และอารมณ์ที่ทราบ พระอรหันต์ นั้นย่อมไม่ปรารถนาความหมดจดด้วยมรรคอื่น ย่อมไม่ กำหนัดย่อมไม่คลายกำหนัดเลย.
[๒๒๑] คำว่า พระอรหันต์ผู้มีปัญญาเป็นเครื่องกำจัด ย่อม ไม่สำคัญในรูปที่เห็น เสียงที่ได้ยินและอารมณ์ที่ทราบ มีความว่า คำว่า โธนะ ความว่า ปัญญา เรียกว่า โธนา ได้แก่ ความ รู้ความรู้ทั่ว ฯลฯ ความไม่หลง ความเลือกเฟ้นธรรม ความเห็นชอบ เพราะเหตุไรปัญญาจึง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 631
เรียกว่าโธนา? เพราะปัญญานั้นเป็นเครื่องกำจัด ล้าง ชำระ ซักฟอก ซึ่งกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ราคะ โทสะ โมหะ ความโกรธ ความผูกโกรธ ความลบหลู่ ความตีเสมอ ความริษยา ความตระหนี่ ความลวง ความโอ้อวด ความกระด้าง ความแข็งดี ความถือตัว ความ ดูหมิ่น ความเมา ความประมาท กิเลสทั้งปวง ทุจริตทั้งปวง ความ กระวนกระวายทั้งปวง ความเร่าร้อนทั้งปวง ความเดือดร้อนทั้งปวง อกุสลาภิสังขารทั้งปวง เพราะเหตุนั้น ปัญญาจึงชื่อว่า โธนา.
อีกอย่างหนึ่ง สัมมาทิฏฐิเป็นเครื่องกำจัด ล้าง ชำระ ซักฟอกซึ่งมิจฉาทิฏฐิ.
สัมมาสังกัปปะเป็นเครื่องกำจัด ล้าง ชำระ ชักฟอกซึ่งมิจฉาสังกัปปะ.
สัมมาวาจาเป็นเครื่องกำจัด ล้าง ชำระ ซักฟอกซึ่งมิจฉาวาจา.
สัมมากัมมันตะเป็นเครื่องกำจัด ล้าง ชำระ ซักฟอกซึ่งมิจฉากัมมันตะ.
สัมมาอาชีวะเป็นเครื่องกำจัด ล้าง ชำระ ซักฟอกซึ่งมิจฉาอาชีวะ.
สัมมาวายามะเป็นเครื่องกำจัด ล้าง ชำระ ชักฟอกซึ่งมิจฉาวายามะ.
สัมมาสติเป็นเครื่องกำจัด ล้าง ชำระ ซักฟอกซึ่งมิจฉาสติ.
สัมมาสมาธิเป็นเครื่องกำจัด ล้าง ชำระ ซักฟอกซึ่งมิจฉาสมาธิ.
สัมมาญาณเป็นเครื่องกำจัด ล้าง ชำระ ซักฟอกซึ่งมิจฉาญาณ.
สัมมาวิมุตติเป็นเครื่องกำจัด ล้าง ชำระ ซักฟอกซึ่งมิจฉาวิมุตติ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 632
อีกอย่างหนึ่ง อริยมรรคมีองค์ ๘ เป็นเครื่องกำจัด ล้าง ชำระ ซักฟอกซึ่งกิเลสทั้งปวง ทุจริตทั้งปวง ความกระวนกระวายทั้งปวง ความเร่าร้อนทั้งปวง ความเดือดร้อนทั้งปวง อกุสลาภิสังขารทั้งปวง.
พระอรหันต์เข้าถึง เข้าถึงพร้อม เข้าไป เข้าไปพร้อม เข้าชิด เข้าชิดพร้อมแล้ว ด้วยธรรมทั้งหลายอันเป็นเครื่องกำจัดเหล่านี้ เพราะ เหตุนั้น พระอรหันต์จึงชื่อว่ามีปัญญาเป็นเครื่องกำจัด พระอรหันต์นั้น เป็นผู้กำจัดราคะ บาป กิเลส ความเร่าร้อนเสียแล้ว เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า ผู้มีปัญญาเป็นเครื่องกำจัด.
คำว่า พระอรหันต์ผู้มีปัญญาเป็นเครื่องกำจัด ย่อมไม่สำคัญ ในรูปที่เห็น เสียงที่ได้ยิน และอารมณ์ที่ทราบ ความว่า พระ อรหันต์ผู้มีปัญญาเป็นเครื่องกำจัด ย่อมไม่สำคัญซึ่งรูปที่เห็น ย่อมไม่สำคัญ ในรูปที่เห็น ย่อมไม่สำคัญในรูปที่เห็น ย่อมไม่สำคัญว่า รูปเราเห็นแล้ว, ย่อมไม่สำคัญ ซึ่งเสียงที่ได้ยิน ย่อมไม่สำคัญในเสียงที่ได้ยิน ย่อมไม่สำคัญ แต่เสียงที่ได้ยิน ย่อมไม่สำคัญว่าเสียงที่เราได้ยินแล้ว, ย่อมไม่สำคัญ ซึ่ง อารมณ์ที่ทราบ ย่อมไม่สำคัญในอารมณ์ที่ทราบ ย่อมไม่สำคัญแต่อารมณ์ ที่ทราบ ย่อมไม่สำคัญว่า อารมณ์เราทราบแล้ว. ย่อมไม่สำคัญซึ่งอารมณ์ ที่รู้แจ้ง ย่อมไม่สำคัญในอารมณ์ที่รู้แจ้ง ย่อมไม่สำคัญแต่อารมณ์ที่รู้แจ้ง ย่อมไม่สำคัญว่า อารมณ์เรารู้แจ้งแล้ว. สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสไว้ว่า :-
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนได้สำคัญว่า เรามีอยู่ ว่าเราย่อมไม่มี ว่าเราจักมีว่าเราจักไม่มี ว่าเราจักเป็นสัตว์
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 633
มีรูปว่าเราจักเป็นสัตว์ไม่มีรูป ว่าเราจักเป็นสัตว์มีสัญญา ว่าเราจักเป็นสัตว์ไม่มีสัญญา ว่าเราจักเป็นสัตว์มีสัญญา มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ และปุถุชนได้สำคัญว่าเป็นดังโรค เป็นดังหัวฝี เป็นดังลูกศร เป็นอุบาทว์ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนิว่า เราจัก เป็นผู้มีจิตไม่สำคัญอยู่ เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แล. เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า พระอรหันต์ผู้มีปัญญาเป็นเครื่องกำจัด ย่อมไม่สำคัญในรูปที่เห็น เสียงที่ได้ยินและอารมณ์ที่ทราบ.
[๒๒๒] คำว่า พระอรหันต์ย่อมไม่ปรารถนาความหมดจด ด้วยมรรคอื่น ความว่า พระอรหันต์ผู้มีปัญญาเป็นเครื่องกำจัด ย่อมไม่ ปรารถนา ไม่ยินดี ไม่ประสงค์ ไม่รัก ไม่ชอบใจ ซึ่งความหมดจด ความหมดจดวิเศษ ความหมดจดรอบ ความพ้น ความพ้นวิเศษ ความ พ้นรอบด้วยมรรคอื่น คือด้วยมรรคอันไม่หมดจด ด้วยปฏิปทาผิด ด้วย ทางอันไม่นำออกจากทุกข์ เว้นจากสติปัฏฐาน สัมมัปปธาน อิทธิบาท อินทรีย์ พละ โพชฌงค์ อริยมรรคมีองค์ ๘ เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า พระ อรหันต์ย่อมไม่ปรารถนาความหมดจดด้วยมรรคอื่น.
[๒๒๓] คำว่า พระอรหันต์ย่อมไม่กำหนัด ย่อมไม่คลาย กำหนัดเลย ความว่า พาลปุถุชนทั้งปวงย่อมกำหนัด พระอริยบุคคลผู้ เสขะ ๗ จำพวก ตลอดถึงกัลยาปุถุชน ย่อมคลายกำหนัด ส่วนพระอรหันต์ ย่อมกำหนัดหามิได้ ย่อมคลายกำหนัดก็หามิได้ เพราะพระอรหันต์นั้น คลายกำหนัดแล้ว เพราะเป็นผู้ปราศจากราคะ โดยราคะสิ้นไปแล้วเพราะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 634
เป็นผู้ปราศจากโทสะ โดยโทสะสิ้นไปแล้ว เพราะเป็นผู้ปราศจากโมหะ โดยโมหะสิ้นไปแล้ว พระอรหันต์นั้นอยู่จบแล้ว มีจรณะอันประพฤติแล้ว ฯลฯ ภพใหม่มิได้มีแก่พระอรหันต์นั้น เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า พระอรหันต์ นั้น ย่อมไม่กำหนัด ย่อมไม่คลายกำหนัดเลย. เพราะเหตุนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า :-
พระอรหันต์ผู้มีปัญญาเป็นเครื่องกำจัด ย่อมไม่ สำคัญในรูปที่เห็น เสียงที่ได้ยิน และอารมณ์ที่ทราบ พระอรหันต์นั้นย่อมไม่ปรารถนาความหมดจดด้วยมรรคอื่น ย่อมไม่กำหนัด ย่อมไม่คลายกำหนัดเลย ดังนี้.
จบ ชราสุตตนิทเทสที่ ๖
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 635
อรรถกถาชราสุตตนิทเทส
ในชราสูตรที่ ๖ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า อปฺปํ วต ชีวิตํ อทํ ความว่า ชีวิตของมนุษย์ทั้งหลาย นี้หนอน้อย คือ นิดหน่อย.
บทว่า ิติปริตฺตตาย สรสปริตฺตตาย มีนัยดังกล่าวแล้วแม้ใน คุหัฏฐกสูตร.
บทว่า โอรํ วสฺสสตาปิ มิยฺยติ ความว่า ย่อมตายภายในร้อยปี ในกาลเป็นกลละเป็นต้นก็มี.
บทว่า อติจฺจ ความว่าเกินร้อยปี.
บทว่า ชรสาปิ มิยฺยติ ความว่า ย่อมตายแม้เพราะชราความ ต่อแต่นี้พึงถือเอาโดยนัยที่กล่าวแล้วในอรรถกถาคุหัฏฐกสูตรนั่นแล.
บทว่า อปฺปํ ได้แก่ น้อย.
บทว่า คมนี โย สมฺปราโย ความว่า พึงไปปรโลก. ชื่อว่า กลละ ในบทว่า กลลกาเลปิ ในขณะปฏิสนธิเป็นกลละที่ใสแจ๋ว ประมาณเท่าหยาดน้ำมัน ซึ่งติดอยู่ที่ปลายเส้นด้ายทำด้วยขนสัตว์ ๓ เส้น ที่ท่านหมายกล่าวไว้ว่า :-
หยาดน้ำมันงา ใสแจ๋ว ไม่ขุ่นมัวฉันใด รูปที่มี ส่วนเปรียบด้วย วรรณะ ก็ฉันนั่น เรียกว่า กลละ แม้ ในกาลเป็นกลละนั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 636
บทว่า จวติ ความว่า เคลื่อนจากชีวิต.
บทว่า มรติ ความว่า ถึงความพรากจากชีวิต.
บทว่า อนฺตรธายติ ความว่า ถึงการเห็นไม่ได้.
บทว่า วิปฺปลุชฺชติ ความว่า ขาด อาจารย์บางพวกอธิบายอย่าง นี้ว่าเคลื่อนในกำเนิดอัณฑชะ ตายในกำเนิดชลาพุชะ หายในกำเนิด สังเสทชะสลายไปในกำเนิดโอปปาติกะ.
บทว่า อมฺพุทกาเลปิ ความว่า ชื่อว่า อัมพุทะ ย่อมมีสีเหมือน น้ำล้างเนื้อ เมื่อเป็นกลละได้ ๗ วัน ชื่อว่า กลละ ย่อมหายไป สม
จริงดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า :-
เป็นอัมพุทะได้ ๗ วัน สุกงอม พ้นสภาพ เปลี่ยน ภาวะที่เป็นอัมพุทะนั้น เกิดเป็นสภาพชื่อว่า เปสิ แม้ใน กาลเป็นเปสินั้น.
บทว่า เปสิกาเลปิ ความว่า เมื่อเป็นอัมพุทะแม้นั้นได้ ๗ วัน ย่อมเกิดเป็นสภาพชื่อว่าเปสิเช่นกับดีบุกที่ละลายคว้าง เปสินั้น พึงแสดง ด้วยพริกและน้ำอ้อย ก็พวกเด็กชาวบ้านเก็บพริกที่สุกดี ห่อที่ชายผ้า คั้น เอายอดรสใส่กระเบื้องวางตากแดด ยอดรสนั้นจะแห้งเข้าๆ พ้นจากส่วน ทั้งปวง เปสิย่อมมีลักษณะอย่างนั้น ชื่อว่า อัมพุทะย่อมหายไป สม จริงดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า :-
เป็นกลละได้ ๗ วัน สุกงอม พ้นสภาพ เปลี่ยน ภาวะที่เป็นกลละนั้นเกิดเป็นสภาพชื่อว่าอัมพุทะ แม้ใน กาลเป็นอัมพุทะนั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 637
บทว่า ฆนกาเลปิ ความว่า เมื่อเป็นเปสิแม้นั้นได้ ๗ วันย่อม บังเกิดก้อนเนื้อชื่อว่าฆนะมีสัณฐานเหมือนฟองไข่ไก่ ชื่อว่า เปสิย่อม หายไป สมจริงดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า :-
เป็นเปสิได้ ๗ วัน สุกงอม พ้นสภาพ เปลี่ยน ภาวะที่เป็นเปสินั้นสภาพชื่อว่า ฆนะ ฟองไข่ของแม่ไก่ เป็นวงราบโดยรอบฉันใดสัณฐานของฆนะบังเกิดเพราะ กรรมเป็นปัจจัย ก็ฉันนั้น แม่ในกาลเป็นฆนะนั้น.
บทว่า ปญฺจสาขกาเลปิ ความว่า ในสัปดาห์ที่ ๕ เกิดต่อม ๕ ต่อม เป็นมือ ๒ เท้า ๒ ศีรษะ ๑ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายตรัสไว้ว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ต่อม ๕ ต่อมย่อมตั้งขึ้นแต่กรรมในสัปดาห์ที่ ๕ ดังนี้ แม้ในกาลเป็นสาขานั้น ต่อแต่นั้น พระสารีบุตรเถระย่อเทศนา ข้ามสัปดาห์ที่ ๖ ที่ ๗ เป็นต้นไปเสีย ในกาลที่เปลี่ยนไป ๔๒ สัปดาห์ เป็นกาลเกิดขึ้นแห่งผมขนและเล็บเป็นต้นและสายรก ที่ตั้งขึ้นแต่นาภีของ ทารกนั้นย่อมเนื่องเป็นอันเดียวกันกับด้วยพื้นอุทรของมารดา สายรกนั้น เป็นรูคล้ายก้านบัว รสอาหารแล่นไปทามสายรกนั้น ยังรูปซึ่งมีอาหารเป็น สมุฏฐานให้ตั้งขึ้น ทารกนั้นยังอัตภาพให้เป็นไปตลอด ๑๐ เดือนด้วย อาการอย่างนี้พระเถระกล่าวว่า สูติฆเร มิได้กล่าวเรื่องทั้งปวงนั้นที่ท่าน หมายกล่าวว่าผมขน และแม้เล็บ.
ก็มารดาของนระนั้น บริโภคอาหารใด ทั้งข้าวน้ำ และโภชนะนระที่อยู่ในครรภ์มารดาย่อมยังอัตภาพให้เป็น ไปในที่นั้น ด้วยอาหารนั้น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 638
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สูติฆเร ความว่าในเรือนตลอด คือ ในเรือนเป็นที่คลอด ปาฐะว่า สูติกาฆเร ก็มี ตัดบทเป็น สูติกาย.
บทว่า อฑฺฒมาสิโกปิ ความว่า ชื่อว่า อัทฒมาสกะ เพราะ อรรถว่ามีชีวิตอยู่กึ่งเดือนตั้งแต่วันคลอด แม้ในบทว่ามีชีวิตอยู่ ๒ เดือน เป็นต้นก็นัยนี้แหละ. ชื่อว่า สังวัจฉริกะ เพราะอรรถว่า มีชีวิตอยู่ ๑ ปี ตั้งแต่วันเกิด แม้ในบทว่ามีชีวิตอยู่ ๒ ปี เป็นต้น เบื้องบนก็ นัยนี้แหละ.
บทว่า ยทาชิณฺโณ โหติ ความว่าในกาลใด มนุษย์เป็นผู้คร่ำ คร่าเพราะชรา เป็นผู้เหี่ยวแห้ง.
บทว่า วุฑฺโฒ ความว่า เจริญวัย.
บทว่า มหลฺลโก ความว่า เป็นผู้ใหญ่โดยกำเนิด.
บทว่า อทฺธคโต ความว่าล่วงกาลทั้ง ๓.
บทว่า วโยอนุปฺปตฺโต ความว่า ถึงวัยที่ ๓ ตามลำดับ
บทว่า ขณฺฑทนฺโต ความว่า ชื่อว่ามีฟันหัก เพราะอรรถว่า มีฟันร่วงและห่างในระหว่างๆ และฟันหัก ด้วยอานุภาพของชรา.
บทว่า ปลิตเกโส ความว่า มีผมขาว บทว่า วิลูนํ ความว่า ล้านดุจเส้นผมถูกจับถอน.
บทว่า ปลิตสิโร ความว่า มีศีรษะล้านมาก.
บทว่า วลินํ ความว่ารอยย่นที่เกิดเอง.
บทว่า ติลกาหตคตฺโต ความว่า มีสรีระเกลื่อนไปด้วยกระขาว และกระดำ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 639
บทว่า โภคฺโค ความว่า หักแล้วพระเถระแสดงความคดของสรีระ นั้น แม้ด้วยบทนี้.
บทว่า ทณฺฑปรายโน ความว่า มีไม้เท้าเป็นที่พึ่งอาศัย คือมี ไม้เท้าเป็นเพื่อน.
บทว่า โส ชรายปิ ความว่าบุคคลนั้นแม้ถูกชราครอบงำแล้วย่อม ตาย.
บทว่า นตฺถิ มรณมฺหา โมกฺโข ความว่า อุบายเป็นเครื่อง พ้นจากความตาย ไม่มี คือไม่เข้าไปได้.
บทว่า ผลานมิว ปกฺกานํ ปาโต ปตนโต ภยํ ความว่า เหมือนพวกเจ้าของผลไม้กลัวผลไม้สุกมีผลขนุนเป็นต้น ที่สุกงอมมีขั้วหย่อน หล่นแน่ในเวลาเช้าตรู่ บทว่า เอวํ ชาตานมจฺจานํ มิจฺจํ มรณโต ภยํ ความว่า เหล่าสัตว์ที่เกิดขึ้นแล้วมีภัยแต่ความตายกล่าวคือมัจจุ ตลอด กาลที่เป็นไปติดต่อ ฉันนั้นเหมือนกัน.
บทว่า ยถาปิ กุมฺภการสฺส ความว่า ผู้กระทำภาชนะดิน ชื่อ ฉันใด.
บทว่า กตํ มตฺติกภาชนํ ความว่า ภาชนะที่นายช่างนั้นให้ สำเร็จ บทว่า สพฺพํ เภทปริยนฺตํ ความว่า ภาชนะดินที่เผาสุกและ ไม่สุกทั้งหมด ชื่อว่ามีความแตกเป็นที่สุด เพราะอรรถว่ามีความแตก คือ ทำลาย เป็นที่สุด คือจบลง.
บทว่า เอวํมจฺจานชีวิตํ ความว่า อายุสังขารของสัตว์ทั้งหลาย ก็ฉันนั้นเหมือนกัน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 640
บทว่า ทหรา จ มหนฺตา จ ความว่า ทั้งหนุ่ม ทั้งแก่.
บทว่า เย พาลา เย จ ปณฺฑิตา ความว่าทั้งคนโง่ที่มีชีวิต เนื่องด้วยลมหายใจเข้าลมหายใจออกทั้งคนฉลาดที่ประกอบด้วยความเป็น บัณฑิตมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น.
บทว่า สพฺเพ มจฺจุวสํ ยนฺติ ความว่า คนหนุ่มเป็นต้นทั้งหมด ซึ่งมีประการดังกล่าวแล้วเหล่านั้น ย่อมเข้าถึงซึ่งอำนาจของมัจจุ.
บทว่า เตสํ มจฺจุปเรตานํ ความว่า คนเหล่านั้นอันมัจจุแวด ล้อมแล้ว.
บทว่า คจฺฉตํ ปรโลกโต ความว่า ไปจากมนุษยโลกนี้สู่ปรโลก.
บทว่า นปิตา ตายเต ปุตฺตํ ความว่า บิดาย่อมรักษาบุตรไว้ ไม่ได้.
บทว่า าตี วา ปน าตเก ความว่า หรือพวกญาติฝ่าย มารดาบิดา ก็ไม่อาจรักษาญาติเหล่านั้นไว้ได้เลย.
บทว่า เปกฺขตญฺเว าตีนํ ความว่า เมื่อพวกญาติอย่างที่ กล่าวแล้วนั่นแล กำลังเพ่งดู คือแลดูกันอยู่นั่นแหละ.
บทว่า ปสฺส ลาลปฺปตํ ปุถุ ความว่า คำว่า ปสฺส เป็น อาลปนะ. เมื่อพวกญาติกำลังรำพันกันอยู่คือบ่นเพ้อกันอยู่เป็นอันมาก คือ มีประการต่างๆ.
บทว่า เอกมโกว มจฺจานํ โควชฺโฌ วิย นิยฺยติ ความว่า เหล่าสัตว์แต่ละคนอันมรณะนำไป คือให้ถึงความตาย เหมือนโคถูกนำ ไปฆ่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 641
บทว่า เอวํ อพฺภาหโต โลโก ความว่า สัตว์โลกถูกนำมา เป็นเครื่องประดับอย่างนี้เท่านั้น.
บทว่า มจฺจุนา จ ชราย จ ความว่า ความตายและความแก่ ครอบงำไว้.
บทว่า มมายิเต ความว่า เพราะเหตุแห่งวัตถุที่ถือว่าของเรา.
บทว่า วนาภาวสนฺตมวทํ ความว่า การยึดถือนี้มีความพลัดพราก คือความพลัดพรากมีอยู่ทีเดียว ท่านอธิบายว่า ไม่อาจที่จะไม่พลัดพราก. บทว่า โสจนฺติ ความว่า กระทำความเศร้าโศกด้วยจิตคืออาการ เศร้าใจ.
บทว่า กิลมนฺติ ความว่า ถึงความลำบากด้วยกาย.
บทว่า ปรทวนฺติ ความว่า ถึงความบ่นเพ้อด้วยวาจามีอย่างต่างๆ.
บทว่า อุรตฺตาฬึ กนฺทนฺติ ความว่า ทุบอกชกตัวคร่ำครวญอยู่
บทว่า สมฺโมหํ อาปชฺชนฺติ ความว่า ถึงความหลงใหล.
บทว่า อนิจฺโจ ความว่า ด้วยอรรถว่ามีแล้วไม่มี.
บทว่า สงฺขโต ความว่า อันปัจจัยทั้งหลายประชุมกันกระทำ.
บทว่า ปฏิจฺจสมุปฺปนฺโน ความว่า อาศัยคือไม่บอกคือสามัคคีที่ เป็นปัจจัย เกิดขึ้นร่วมกันและโดยชอบ.
บทว่า ขยธมฺโม ความว่า มีการถึงความสิ้นไปเป็นสภาพ.
บทว่า วยธมฺโม ความว่า มีการถึงความเสื่อมไปเป็นสภาพ อธิบาย ว่ามีการถึงความทำลายเป็นสภาพ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 642
บทว่า วิราคธมฺโม ความว่า มีความคลายกำหนัดเป็นสภาพ.
บทว่า นิโรธธมฺโน ความว่า มีความดับเป็นสภาพ.
บทว่า ยฺวายํ ปริคฺคโห ความว่า ความยึดถือนี้ใด ปาฐะว่า ยายํ ปริคฺคโห ก็มี ตัดบทก็อย่างนี้แหละ.
บทว่า นิจฺโจ ความว่า เป็นไปตลอดกาลติดต่อ.
บทว่า ธุโว ความว่า มั่น.
บทว่า สสฺสโต ความว่า ไม่เคลื่อน.
บทว่า อวิปริณามธมฺโม ความว่า มีการไม่ละปกติเป็นสภาพ. บทว่า สสฺสติสมํ ตเถว สฺสติ ความว่า พึงตั้งอยู่ เหมือน ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ เขาสิเนรุ มหาสมุทร แผ่นดิน และภูเขาเป็นต้น.
บทว่า นานาภาโว ความว่า สภาพต่างๆ โดยกำเนิด.
บทว่า วินาภาโว ความว่า ความพลัดพรากเพราะความตาย.
บทว่า อญฺถาภาโว ความว่า ความเป็นอย่างอื่นโดยภพ.
บทว่า ปุริมานํ ปุริมานํ ขนฺธานํ ความว่า ขันธ์ที่เกิดขึ้นใน ก่อนติดๆ กัน.
บทว่า วิปริณามญฺถาภาวา เชื่อมความว่า ขันธ์เป็นต้นหลังๆ ละภาวะปกติแล้วเป็นไป คือเกิดขึ้นโดยภาวะอย่างอื่น. บทว่า สพฺพํ ฆราวาสปลิโพธํ ความว่า รกชัฏในความเป็นคฤหัสถ์ ทั้งสิ้น.
บทว่า าติมิตฺตามจฺจปลิโพธํ ความว่า ญาติฝ่ายมารดาบิดา มิตร สหาย อำมาตย์ พวกหมู่.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 643
บทว่า สนฺนิธิปลิโพธํ ความว่า ทิ้งรกชัฏในสมบัติที่เก็บฝังไว้.
บทว่า เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา ความว่า ปลงผมและหนวด.
บทว่า กาสายานิ วตฺถานิ ความว่า ผ้าที่ย้อมด้วยน้ำฝาด.
บทว่า มามโก ความว่า ถึงการนับว่าอุบาสกหรือภิกษุของเรา หรือ นับถือวัตถุมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ว่าของเรา.
บทว่า เตสํ เตสํ สตฺตานํ เป็นบทแสดงทั่วไปถึงเหล่าสัตว์มิใช่ น้อย ก็เมื่อกล่าวอยู่แม้ตลอดวันอย่างนี้ว่า ยัญทัตตาย โสมทัตตาย สัตว์ ทั้งหลายย่อมไม่ถือเอาเลย การแสดงอรรถอื่นทั้งปวงย่อมไม่สำเร็จ แต่คน บางคนจะไม่ถือเอาด้วยบททั้งสองนี้ก็หามิได้ การแสดงอรรถอื่นบางอย่าง จึงไม่สำเร็จ.
บทว่า ตมฺหา ตมฺหา นี้เป็นบทแสดงทั่วไปถึงหมู่สัตว์มิใช่น้อย ด้วยสามารถแห่งคติ.
บทว่า สตฺตนิกายา ความว่า จากหมู่แห่งสัตว์ทั้งหลาย อธิบาย ว่า จากกลุ่มสัตว์ จากประชุมแห่งสัตว์.
บทว่า จุติ ท่านกล่าวด้วยสามารถแห่งความเคลื่อน บทนี้เป็นคำ สามัญของจุติที่มีขันธ์ ๑ ขันธ์ ๔ และขันธ์ ๕.
บทว่า จวนตา แสดงถึงลักษณะด้วยคำแสดงภาวะ. บทว่า เภโท แสดงถึงความเกิดขึ้นแห่งการแตกสลายของขันธ์.
บทว่า อนฺตรธานํ แสดงถึงความไม่มีที่สุดโดยปริยายอย่างใดอย่าง หนึ่งของขันธ์ที่แตกแล้ว ดุจหม้อแตก.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 644
บทว่า มจฺจุมรณํ ความว่า ความตายกล่าวคือมัจจุ มิใช่ตายชั่วขณะ ผู้กระทำที่สุดชื่อว่ากาละ ชื่อว่า กาลกิริยา เพราะอรรถว่า กระทำกาละ นั้น ความตายโดยสมมติ ท่านแสดงแล้วด้วยคำมีประมาณเท่านี้.
บัดนี้ เพื่อจะแสดงโดยปรมัตถ์ พระสารีบุตรเถระจึงกล่าวคำว่า ขนฺธานํ เภโท เป็นต้น.
ก็โดยปรมัตถ์ ขันธ์เท่านั้นแตก ชื่อว่า สัตว์ไม่มีใครตาย แต่เมื่อ ขันธ์แตก สัตว์ย่อมตาย จึงมีโวหารว่า เมื่อขันธ์ทั้งหลายแตกแล้ว สัตว์ ตายแล้ว และในที่นี้ ความแตกแห่งขันธ์ทั้งหลาย ย่อมมีด้วยสามารถแห่ง จตุโวการะ และปัญจโวการะ การทอดทิ้งร่างกาย ย่อมมีด้วยสามารถแห่ง เอกโวการะ อีกอย่างหนึ่ง ความแตกแห่งขันธ์ทั้งหลาย ย่อมมีด้วยสามารถ แห่งจตุโวการะเท่านั้น พึงทราบความทอดทิ้งร่างกาย ด้วยสามารถแห่ง โวการะทั้งสองที่เหลือ. เพราะเหตุไร? เพราะเกิดร่างกายกล่าวคือรูปกาย ในกรรมภพทั้งสอง.
อีกอย่างหนึ่ง เพราะขันธ์ทั้งหลายในจาตุมหาราชิกาเป็นต้น ย่อม แตกไปเลย ไม่ทอดทิ้งอะไรๆ ไว้ ฉะนั้น ความแตกแห่งขันธ์ทั้งหลายจึง มีด้วยสามารถแห่งขันธ์เหล่านั้น มนุษย์เป็นต้นมีการทอดทิ้งร่างกาย ก็ใน ที่นี้ท่านกล่าวมรณะว่า การทอดทิ้งร่างกาย เพราะเหตุแห่งการทอดทิ้ง ร่างกาย ชื่อว่ามรณะย่อมมีแก่ร่างกายที่เนื่องด้วยอินทรีย์เท่านั้น ด้วยบทว่า ชีวิตินฺทริยสฺส อุปจฺเฉโท นี้ ร่างกายที่ไม่เนื่องด้วยอินทรีย์ ย่อมไม่มี มรณะ พระสารีบุตรเถระแสดงดังนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 645
ส่วนคำว่า นายบุษตาย นายดิษตาย เป็นเพียงโวหารเท่านั้น แต่ โดยเนื้อความคำทั้งหลายเห็นปานนี้ ย่อมแสดงถึงความสิ้นไปและความเสื่อม ไปของข้าวกล้าเป็นต้นนั่นเอง.
บทว่า รูปคตํ ความว่า รูปคตะ คือรูปนั้นแหละ แม้ในบทว่า เวทนาคตํ เป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปุพฺเพว มจฺจํ ความว่า โภคสมบัติ ทั้งหลายย่อมละทิ้งสัตว์ไปก่อนกว่านั่นเทียวบ้าง สัตว์ย่อมละโภคสมบัติทั้ง หลายไปก่อนกว่าบ้าง พระเถระเรียกขุนโจรว่า ผู้ใคร่กาม ความว่า แน่ะ ผู้ใคร่กามผู้เจริญ พวกชนผู้มีกามโภคะทั้งหลายมิได้เที่ยวในโลก เมื่อโภคะ ทั้งหลายฉิบหายไป เป็นอยู่ไม่มีโภคะบ้าง ละโภคะทั้งหลาบฉิบหายเองบ้าง เพราะฉะนั้น แม้ในเวลาที่มหาชนเศร้าโศก เราจึงไม่เศร้าโศก พระเถระ เรียกขุนโจรด้วยคำว่า ดูก่อนศัตรู โลกธรรมทั้งหลายเรารู้แล้ว ความว่า แน่ะศัตรูผู้เจริญ โลกธรรม เป็นต้นว่า ลาภ เสื่อมลาภ ยศ เสื่อมยศ เรารู้แล้ว เหมือนอย่างว่า ดวงจันทร์ย่อมขึ้น ย่อมเต็มดวง และย่อมลับไป และดวงอาทิตย์ส่องแสงไปยังประเทศทั่วโลกใหญ่กำจัดความยึด เวลาเย็น ก็หนีลับไป คืออัสดงคต ไม่ปรากฏอีกฉันใด โภคสมมติทั้งหลายย่อมเกิด ขึ้นด้วย ย่อมฉิบหายไปด้วย ฉันนั้นเหมือนกัน เศร้าโศกในเพราะ โภคสมบัตินั้นจะได้ประโยชน์อะไร เพราะฉะนั้นเราจึงไม่เศร้าโศก.
บทว่า ตณุหามญฺนาย มญฺติ ความว่า ย่อมสำคัญ คือการทำ ความนับถือ ด้วยความสำคัญ ด้วยมานะที่ให้เกิดด้วยตัณหา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 646
บทว่า ทิฏิมญฺนาย ความว่า ด้วยความสำคัญที่เกิดขึ้น กระทำ ทิฏฐิให้เป็นอุปนิสัย.
บทว่า มานมญฺนาย ความว่า ด้วยความสำคัญด้วยมานะที่เกิด ร่วมกัน.
บทว่า กิเลสมญฺนาย ความว่า ย่อมสำคัญด้วยความสำคัญ ด้วย กิเลส ด้วยอรรถว่าเข้าไปทรมานตัวเอง ซึ่งมีประการดังกล่าวแล้ว.
บทว่า กุหา ความว่า ทำให้ประหลาด.
บทว่า ถทฺธา ความว่า กระด้างเหมือนตอไม้.
บทว่า ลปา ความว่า พูดพล่อยด้วยปัจจัยนิมิต.
บทว่า สงฺคตํ ความว่า สิ่งที่มาประจวบ คือสิ่งที่เห็นแล้ว หรือ แม้ถูกต้องแล้ว.
บทว่า ปิยายิตํ ความว่า การทำให้เป็นที่รัก.
บทว่า สงฺคตํ ความว่า อยู่พร้อมหน้า.
บทว่า สมาคตํ ความว่า มาใกล้.
บทว่า สมาหิตํ ความว่า เป็นอันเดียวกัน.
บทว่า สนฺนิปติตํ ความว่า ประมวลไว้.
บทว่า สุปินคโต ความว่า เข้าไปแล้วสู่ความฝัน.
บทว่า เสนาวิยูหํ ปสฺสติ ความว่า เห็นการตั้งค่ายของเสนา.
บทว่า อารามรามเณยฺยกํ ความว่า ความน่ารื่นรมณ์แห่งสวน ดอกไม้เป็นต้น.
แม้ในบท วนรามเณยฺยกํ เป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 647
บทว่า เปตํ ความว่า จากโลกนี้ไปสู่ปรโลก.
บทว่า กาลกตํ ความว่า ตายแล้ว.
บทว่า นามเมวาวสิสฺสติ อกฺเขยฺยํ ความว่า ธรรมชาติมีรูป เป็นต้นทั้งหมดอันบุคคลละไป เหลือแต่เพียงชื่อเท่านั้น เพื่อนับคือเรียก อย่างนี้ว่า พุทธรักขิต ธรรมรักขิต.
บทว่า เย จกฺขุวิญฺาณาภิสมฺภูตา ความว่า รูปที่ทราบกันได้ ด้วยจักขุวิญญาณ มีสุมุฏฐาน ๔ ที่ทำให้เป็นกองเห็นแล้ว.
บทว่า โสตวิญฺาณาภิสมฺภูตา ความว่า เสียงที่มีสมุฏฐาน ๒ ที่ทำให้เป็นกองไว้ได้ฟังแล้วด้วยโสตวิญญาณซึ่งกองแต่อื่น.
บทว่า มุนโย ได้แก่มุนีผู้เป็นขีณาสพ.
บทว่า เขมทสฺสิโน ความว่า เห็นพระนิพพาน. ในโสกนิทเทส
บทว่า โสโก มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :- ชื่อว่า พยสนะ เพราะอรรถว่า เสื่อม อธิบายว่า ซัดไป คือกำจัดประโยชน์เกื้อกูลและความสุข ความ เสื่อมแห่งญาติ ชื่อญาติพยสนะ อธิบายว่า เพราะโจรโรคภัยเป็นต้น จึง สิ้นญาติเสื่อมญาติ เพราะความเสื่อมแห่งญาตินั้น.
บทว่า ผุฏสฺส ความว่า ท่วมทับ คือ ครอบงำ ประจวบ แม้ ในบทที่เหลือทั้งหลายก็นัยนี้เหมือนกัน. แต่ความแปลกกันดังนี้ ความเสื่อม แห่งโภคะทั้งหลาย ชื่อโภคพยสนะ อธิบายว่า เพราะราชภัยและโจรภัยเป็น ต้น โภคะจึงสิ้นไปพินาศไป, ความเสื่อมคือโรค ชื่อโรคพยสนะ ด้วยว่า โรคทำความไม่มีโรคให้ฉิบหายไปพินาศไป ฉะนั้นจึงชื่อว่าพยสนะ. ความ เสื่อมแห่งศีล ชื่อสีลพยสนะ บทนี้เป็นชื่อของความทุศีล. ความเสื่อมคือ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 648
ทิฏฐิที่เกิดขึ้นทำสัมมาทิฏฐิให้พินาศไป ชื่อทิฏฐิพยสนะ. ก็ในที่นี้ ความ เสื่อม ๒ อย่างแรกสำเร็จ ๓ อย่างหลังไม่สำเร็จ ถูกกำจัดด้วยไตรลักษณ์ และความเสื่อม ๓ อย่างแรก เป็นกุศลก็ไม่ใช่ เป็นอกุศลก็ไม่ใช่ ความ เสื่อมแห่งศีลและทิฏฐิทั้งสองเป็นอกุศล.
บทว่า อญฺตรญฺตเรน ความว่า อันความเสื่อมแห่งมิตรและ อำมาตย์เป็นต้น ที่ยึดถือก็ตามไม่ยึดถือก็ตาม อย่างใดอย่างหนึ่ง.
บทว่า สมนฺนาคตสฺส ความว่า ตามผูกพัน คือไม่พ้นไป.
บทว่า อญฺตรญฺตเรน ทุกฺขธมฺเมน ความว่า อันอุบัติเหตุ แห่งทุกข์คือความโศกอย่างใดอย่างหนึ่ง.
บทว่า โสโก ความว่า ชื่อว่าความโศก ด้วยสามารถแห่งความ เศร้าโศก บทนี้เป็นสภาวะเฉพาะตนแห่งความโศกที่เกิดขึ้นด้วยเหตุเหล่านี้.
บทว่า โสจนา ได้แก่ อาการที่เศร้าโศก.
บทว่า โสจิตตฺตํ ได้แก่ ความเป็นผู้เศร้าโศก.
บทว่า อนฺโตโสโก ได้แก่ ความเศร้าโศกในภายใน ท่านขยาย บทที่ ๒ ด้วยอุปสรรค ด้วยว่าความเศร้าโศกนั้นเกิดขึ้นทำภายในให้แห้ง ให้แห้งรอบ ฉะนั้นท่านจึงเรียกว่า ความเศร้าโศกในภายใน ความเศร้า โศกรอบในภายใน.
บทว่า อนฺโตฑาโห ได้แก่ ความเร่าร้อนในภายใน ท่านขยาย บทที่ ๒ ด้วยอุปสรรค.
บทว่า เจตโส ปริชฺฌายนา ได้แก่ อาการคือความตรอมตรม แห่งจิต ด้วยว่าความเศร้าโศกเมื่อเกิดขึ้น ย่อมยังจิตให้ไหม้ คือเผาจิต
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 649
เหมือนไปทำให้พูดว่า จิตของเราถูกเผาอยู่ อะไรๆ ไม่แจ่มแจ้งแก่เรา ใจ ถึงทุกข์ ชื่อว่าทุกข์ใจ ภาวะแห่งทุกข์ใจ ชื่อว่าโทมนัส ลูกศรคือความ เศร้าโศก ด้วยอรรถว่าเข้าไปโดยลำดับ ฉะนั้นจึงชื่อว่า ลูกศรคือความ เศร้าโศก.
ในปริเทวนิทเทสมิวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :- ชื่อว่า อาเทวะ เพราะ อรรถว่า เป็นเหตุเพ้อคือร้องให้ถึงอย่างนี้ว่า ธิดาของฉัน บุตรของฉัน. ชื่อว่า ปริเทวะ เพราะอรรถว่า เป็นเหตุที่เพ้อสรรเสริญคุณนั้นๆ. บท ๒ คู่นอกจากนั้น ท่านกล่าวด้วยสามารถแสดงไขภาวะแห่งอาการของ ๒ บท แรกนั่นเอง.
บทว่า วาจา ได้แก่ คำพูด.
บทว่า ปลาโป ได้แก่ คำพูดที่เปล่าคือไร้ประโยชน์. ชื่อว่า วิปปลาปะ เพราะอรรถว่า ความบ่นเพ้อแปลกๆ ด้วยสามารถกล่าวนอก เรื่องและกล่าวเรื่องอื่นๆ.
บทว่า ลาลปฺโป ได้แก่ เพ้อบ่อยๆ. อาการพร่ำเพ้อชื่อ ลาลัปปนา. ความเป็นแห่งผู้พร่ำเพ้อ ชื่อว่าความเป็นผู้พร่ำเพ้อ. ความตระหนี่เป็นต้น มีเนื้อความได้กล่าวไว้ทั้งนั้น.
คาถาที่ ๗ ท่านกล่าวเพื่อแสดงข้อปฏิบัติอันสมควรในโลกที่ถูกมรณะ กำจัดอย่างนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปฏิลีนจรสฺส ความว่าผู้ประพฤติทำ จิตหลีกเร้นจากอารมณ์นั้นๆ.
บทว่า ภิกฺขุโน ได้แก่ กัลยาณปุถุชนบ้าง เสขบุคคลบ้าง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 650
บทว่า สามคฺคิยมาหุ ตสฺส ตํ โย อตฺตานํ ภวเน น ทสฺสเย ความว่า ภิกษุใดปฏิบัติอย่างนี้ ไม่พึงแสดงตนในภพต่างโดยนรกเป็นต้น บัณฑิตทั้งหลายกล่าวการไม่แสดงตนนั้นของภิกษุนั้นว่าสมควร. อธิบายว่า ด้วยว่าภิกษุนั้นพึงพ้นจากมรณะนี้ ด้วยอาการอย่างนี้.
บทว่า ปฏิลีนจรา วุจฺจนฺติ ความว่า เรียกว่า ผู้ประพฤติโดย เอื้อเฟื้อซึ่งจิตละอายแต่อารมณ์นั้นๆ.
บทว่า สตฺต เสกฺขา ความว่า ชื่อว่า เสขบุคคล ๗ จำพวก ตั้งต้นแต่ผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติมรรค จนถึงผู้ตั้งอยู่ในอรหัตตมรรค เพราะ อรรถว่า ศึกษาในสิกขา ๓ มีอธิศีลสิกขาเป็นต้น.
บทว่า อรหา ได้แก่ ผู้ตั้งอยู่ในอรหัตตผลนั้น. ผู้ตั้งอยู่ในอรหัตตผลนั้น ชื่อว่า หลีกเร้นเพราะเสร็จกิจแล้ว.
พระสารีบุตรเถระเมื่อจะแสดงเหตุในความประพฤติหลีกเร้นของพระ เสขะทั้งหลาย จึงกล่าวว่า กึการณา เป็นต้น.
บทว่า เต ตโต ตโต ความว่า พระเสขะ ๗ จำพวกเหล่านั้น ยังจิตให้หลีกเร้น จากอารมณ์นั้นๆ.
บทว่า จิตตํ ปฏิลีเนนฺตา ความว่า ยังจิตของตนให้หลีกเร้น.
บทว่า ปฏิกุฏฺเฏนฺตา ความว่า ให้หด.
บทว่า ปฏิวฏฺเฏฺนฺตา ความว่า ม้วนเหมือนเสื่อรำแพน.
บทว่า สนฺนิรุทฺธนฺตา ความว่า กีดขวาง
บทว่า สนฺนิคฺคณฺหนฺตา ความว่า ทำซึ่งการข่ม.
บทว่า สนฺนิวาเรนฺตา ความว่า ห้าม.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 651
บทว่า รกฺขนฺตา ความว่า ทำการรักษา.
บทว่า โคเปนฺตา ความว่า คุ้มครองไว้ในหีบคือจิต.
บัดนี้ เมื่อจะแสดงด้วยสามารถแห่งทวาร พระสารีบุตรเถระจึงกล่าว ว่า จกฺขุทฺวาเร เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า จกฺขุทฺวาเร ได้แก่ ทวารคือจักขุ- วิญญาณ. แม้ในโสตทวารเป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน.
บทว่า ภิกฺขุโน ได้แก่ ภิกษุผู้เป็นกัลยาณปุถุชนบ้าง ภิกษุผู้เป็น เสขบุคคลบ้าง ฉะนั้นพระเถระจึงไม่กล่าวเนื้อความแห่งคำของศัพท์ว่าภิกษุ แสดงภิกษุที่ประสงค์เอาในที่นี้เท่านั้น.
บรรดาภิกษุเหล่านั้น ภิกษุนั้นชื่อว่าปุถุชน เพราะยังถอนกิเลส ทั้งหลายไม่ได้และชื่อว่ากัลยาณะ เพราะประกอบด้วยข้อปฏิบัติมีศีลเป็นต้น ฉะนั้นจึงชื่อว่า กัลยาณปุถุชน กัลยาณปุถุชนนั่นแหละ ชื่อว่าผู้เป็น กัลยาณปุถุชน แห่งภิกษุผู้เป็นกัลยาณปุถุชนนั้น.
ชื่อว่า เสขะ เพราะอรรถว่า ศึกษาอธิศีลเป็นต้น แห่งภิกษุนั้น ผู้เป็นเสขะบ้าง คือผู้เป็นพระโสดาบันบ้าง พระสกทาคามีบ้าง พระอนาคา มีบ้าง.
ชื่อว่า อาสนะ เพราะอรรถว่า เป็นที่นั่ง คือจมลง.
บทว่า ยตฺถ ได้แก่ ในอาสนะเหล่าใดมีเตียงและตั่งเป็นต้น.
บทว่า มญฺโจ เป็นต้น เป็นคำแสดงประเภทของอาสนะ แม้เตียง ท่านก็กล่าวไว้ในอาสนะทั้งหลายในที่นี้ เพราะเป็นโอกาสแม้สำหรับนั่ง ก็เตียงนั้น เป็นเตียงมีแม่แคร่สอดเข้าในขา เตียงมีแม่แคร่เนื่องเป็นอันเดียว
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 652
กันกับขาเตียงมีขาเหมือนปู. และเตียงมีขาจดแม่แคร่ อย่างใดอย่างหนึ่ง แม้ตั่งก็เป็นตั่งแบบนั้น อย่างใดอย่างหนึ่งนั่นเอง.
บทว่า ภิสิ ได้แก่ เบาะขนสัตว์ เบาะผ้า เบาะเปลือกไม้ เบาะ หญ้า และเบาะใบไม้ อย่างใดอย่างหนึ่ง.
บทว่า ตฏฏิกา ได้แก่ เสื่อที่ทอด้วยใบตาลเป็นต้น.
บทว่า จมฺมกฺขณฺโฑ ได้แก่ ท่อนหนังอย่างใดอย่างหนึ่งที่ควร แก่การนั่ง เครื่องลาดทำด้วยหญ้าเป็นต้น ได้แก่เครื่องลาดที่ถักด้วยหญ้า เป็นต้น.
บทว่า อสปฺปายรูปทสฺสเนน ความว่าจากการแลดูรูปที่ปรารถนา อันไม่เป็นที่สบาย.
บทว่า วิตฺตํ ความว่า ว่างจากภายใน.
บทว่า วิวิตฺตํ ความว่า เปล่าจากการเข้าไปแต่ภายนอก. บทว่า ปวิวิตฺตํ ความว่า เปล่าเป็นอดิเรกว่า ไม่มีคฤหัสถ์ไรๆ ในที่นั้น แม้ในการได้ยินเสียงไม่เป็นที่สบาย ก็นัยนี้เหมือนกัน.
บทว่า ปญฺจหิ กามคุเณหิ ความว่า จากส่วนแห่งกาม ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะของหญิง สมจริงดังที่ท่านกล่าว ไว้ว่า :-
กามคุณ ๕ ในโลก คือ รูป เสียง กลิ่น รส และ โผฏฐัพพะที่น่ารื่นรมย์ เห็นได้ในร่างของหญิง.
บทว่า ภชโต ความว่า ทำการเสพด้วยจิต.
บทว่า สมฺภชโต ความว่า เสพโดยชอบ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 653
บทว่า เสวโต ความว่า เข้าไปหา.
บทว่า นิเสวโต ความว่า เสพเป็นที่อาศัย.
บทว่า สํเสวโต ความว่า เสพด้วยดี.
บทว่า ปฏิเสวโต ความว่าเข้าไปหาบ่อยๆ.
บทว่า คณสามคฺคี ได้แก่ความที่สมณะทั้งหลายเป็นอันหนึ่งอันเดียว กัน คือพร้อมเพรียงกัน.
บทว่า ธมฺมสามคฺคี ได้แก่ความประชุมแห่งโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ.
บทว่า อนภินิพฺพตฺติสามคฺคี ได้แก่ ประชุมแห่งพระอรหันต์ ทั้งหลายผู้ไม่บังเกิด คือไม่เกิดขึ้น ผู้ปรินิพพาน ด้วยอนุปาทิเสสนิพพาน ธาตุ.
บทว่า สมคฺคา ความว่า ไม่แยกกันทางกาย.
บทว่า สมฺโนทมานา ความว่า มีจิตบันเทิง คือยินดีด้วยดี.
บทว่า อวิวทมานา ความว่า ไม่กระทำการวิวาทกันด้วยวาจา.
บทว่า ขีโรทกีภูตา ความว่า เป็นเช่นกับน้ำผสมด้วยน้ำนม.
บทว่า เต เอกโต ปกฺขนฺทนฺติ ความว่า ธรรมเหล่านั้น คือ โพธิปักขิยธรรม ย่อมเข้าไปสู่อารมณ์เดียวกัน.
บทว่า ปสีทนฺติ ความว่า ย่อมถึงความผ่องใสในอารมณ์นั้นนั่นแล.
บทว่า อนุปาทิเสสาย ความว่า เว้นจากอุปาทาน.
บทว่า นิพฺพานธาตุยา ความว่า ด้วยอมตมหานิพพานธาตุ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 654
ในบทว่า โอนตฺตํ วา นี้ ความพร่อง ชื่อว่าโอนัตตะ อธิบายว่า ความไม่สมบูรณ์.
บทว่า ปุณฺณตฺตํ วา ความว่า ความบริบูรณ์ ชื่อว่าปุณณัตตะ อธิบายว่า หรือความเต็มย่อมไม่ปรากฏ คือไม่มี.
บทว่า เนรยิกานํ ความว่า ชื่อว่าเนรยิกา สัตว์นรก เพราะอรรถ ว่า ควรกะนรก เพราะความที่มีกรรมให้บังเกิดในนรกของสัตว์นรกเหล่า นั้น.
บทว่า นิรโย ภวนํ ความว่า นรกนั่นแลเป็นที่อยู่ คือเป็นเรือน ของสัตว์นรกเหล่านั้น.
แม้ในบทว่า ติรจฺฉานโยนิกานํ เป็นต้นก็นัยนี้เหมือนกัน.
บทว่า ตสฺเสสา สามคฺคี ความว่า การไม่แสดงตนนั้นของภิกษุ นั้น คือของพระขีณาสพ เป็นนิพพานสามัคคี.
บทว่า เอตํ ฉนฺนํ ความว่า ข้อนั้นเป็นการสมควร.
บทว่า ปฏิรูปํ ความว่า เช่นกัน มีส่วนเปรียบเทียบ คือมิใช่ไม่ เช่นกัน ไม่มีส่วนเปรียบเทียบ.
บทว่า อนุจฺฉวิกํ ความว่า ข้อนั้นสมควรแก่ธรรมที่ทำให้เป็น สมณะบ้าง แก่ธรรมที่เป็นคำสอนเกี่ยวด้วยมรรคผลนิพพานบ้าง (ย่อม คล้อยตาม ไปตามความดีงาม) เพราะความสมควรแก่ธรรมเหล่านั้นด้วย ธรรมเหล่านั้นแต่ที่ใกล้นั่นเองโดยแท้แล ข้อนั้นเป็นอนุโลมและย่อมอนุโลม แก่ธรรมเหล่านั้น เพราะสมควรนั่นเอง มิได้ตั้งอยู่ในความเป็นข้าศึกที่ขัด แย้งเลย.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 655
บัดนี้ พระสารีบุตรเถระกล่าวคาถา ๓ คาถา ต่อจากนี้ เพื่อจะกล่าว สรรเสริญพระขีณาสพที่ท่านสรรเสริญไว้อย่างนี้ว่า โย อตฺตานํ ภวเน น ทสฺสเย ดังนี้.
บรรดาคาถา ๓ คาถาเหล่านั้น คาถาแรกมีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า สพฺพตฺถ ความว่า ในอายตนะ ๑๒. ในนิทเทสว่า น ปิยํ กุพฺพติ โนปิ อปฺปิยํ มีความว่า :-
บทว่า ปิยา ความว่า กระทำปีติในใจ.
พระสารีบุตรเถระเมื่อจะแสดงสัตว์และสังขารเหล่านั้นเป็นส่วนๆ จึง กล่าวว่า กตเม สตฺตา ปิยา อิธ ยสฺส เต โหนฺติ ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยสฺส เต ตัดบทเป็น เย อสฺส เต ความว่า สัตว์เหล่านั้น.
บทว่า โหนฺติ ความว่า เป็น.
บทว่า อตฺถกามา ความว่า ผู้ใคร่ความเจริญ.
บทว่า หิตถามา ความว่า ผู้ใคร่ความสุข.
บทว่า ผาสุกามา ความว่า ผู้ใคร่อยู่เป็นสุข.
บทว่า โยคกฺเขมกามา ความว่า ผู้ใคร่ความเกษม คือปลอดภัย จากโยคะ ๔.
ชื่อว่า มารดา เพราะอรรถว่า ถนอมรัก.
ชื่อว่า บิดา เพราะอรรถว่า ประพฤติน่ารัก.
ชื่อว่า พี่น้องชาย เพราะอรรถว่า คบกัน.
แม้ในบทว่า ภคินี นี้ก็นัยนี้เหมือนกัน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 656
ชื่อว่า บุตร เพราะอรรถว่า ทำสกุลให้บริสุทธิ์ คือรักษาวงศ์สกุล.
ชื่อว่า ธิดา เพราะอรรถว่า ดำรงวงศ์สกุลไว้. มิตร ได้แก่สหาย. อามาตย์ ได้แก่คนเลี้ยงดู. ญาติ ได้แก่ญาติฝ่ายบิดา. สาโลหิต ได้แก่ญาติฝ่ายมารดา.
บทว่า อิเม สตฺตา ปิยา ความว่า สัตว์เหล่านั้นยังปีติให้เกิด สัตว์ เป็นที่ชัง พึงทราบโดยปริยายตรงกัน ข้ามกับที่กล่าวแล้ว.
ก็ในบทว่า ยทิทํ ทิฏฺสุตํ มุเตสุ วา นี้ พึงทราบการเชื่อมความ อย่างนี้ว่า มุนีย่อมไม่เข้าไปติดในรูปที่เห็น เสียงที่ได้ยิน หรือธรรมารมณ์ ที่ทราบ ฉันนั้น.
บทว่า อุทกเถโว ได้แก่ หยดแห่งน้ำ ปาฐะว่า อุทกตฺเถวโก ดังนี้ก็มี.
บทว่า ปทุมปตฺเต ได้แก่ บนใบบัว.
แม้ในบทว่า โธโน น หิ เตน มญฺติ ยทิทํ ทิฏฺสุตํ มุเตสุ วา นี้ก็พึงทราบการเชื่อมความอย่างนี้เหมือนกันว่า พระอรหันต์ผู้มีปัญญา เป็นเครื่องกำจัดย่อมไม่สำคัญด้วยวัตถุที่เห็นหรือที่ได้ยินนั้น หรือย่อมไม่ สำคัญในธรรมารมณ์ทั้งหลายที่ทราบ.
บทว่า น หิ โส รชฺชติ โน วิรชฺชติ ความว่า ย่อมไม่กำหนัด นัก เหมือนพาลปุถุชน ย่อมไม่คลายกำหนัด เหมือนกัลยาณปุถุชน และเสขบุคคล แต่ย่อมถึงการนับว่า เป็นผู้คลายกำหนัดแล้ว เพราะมีราคะ สิ้นแล้ว บทที่เหลือปรากฏแล้วทั้งนั้นแล.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 657
บทว่า ตาย ปญฺาย กายทุจฺจริตํ ความว่า พระโยคีกำหนด สิ่งที่ควรกำหนด ด้วยปัญญาอันเป็นสัมมาทิฏฐินั้น หรือด้วยปัญญาอันเป็น ส่วนเบื้องต้นนั่นเอง กำจัดกายทุจริต ๓ อย่างด้วยสามารถแห่งการตัดขาด. ก็บุคคลนี้เมื่อกำจัดวิปันนธรรมในเทศนาธรรมทั้งหลาย เป็นบุคคลผู้มีความ พร้อมเพรียงด้วยธุตธรรม จึงชื่อว่าย่อมกำจัด ก็ผู้ใช้ปัญญาเป็นเครื่องกำจัด ธรรมเหล่านั้น เริ่มที่จะกำจัดในขณะที่เป็นปัจจุบันของตน ท่านเรียกว่า ผู้กำจัด เหมือนคนที่เริ่มบริโภค เขาเรียกว่า ผู้บริโภค อนึ่ง พึงทราบ ลักษณะโดยศัพท์ศาสตร์ในที่นี้.
บทว่า ธุตํ เป็นกัตตุสาธนะ กำจัดด้วยโสดาปัตติมรรค. ล้างด้วย สกทาคามิมรรค. ชำระด้วยอนาคามิมรรค. ซักฟอกด้วยอรหัตตมรรค.
บทว่า โธโน ทิฏฺํ น มญฺติ ความว่า พระอรหันต์ย่อม ไม่สำคัญรูปายตนะที่เห็นด้วยมังสจักษุก็ตาม ด้วยความสำคัญ ๓ อย่าง อย่างไร? พระอรหันต์ไม่เห็นรูปายตนะด้วยสุภสัญญาและสุขสัญญา. ย่อม ไม่ยังฉันทราคะให้เกิดในรูปายตนะนั้น. ไม่ยินดี ไม่เพลิดเพลินรูปายตนะ นั้น. พระอรหันต์ย่อมไม่สำคัญรูปที่เห็นด้วยความสำคัญด้วยตัณหา อย่างนี้.
ก็หรือว่าพระอรหันต์ไม่หวังความเพลิดเพลินในรูปายตนะนี้ว่า รูป ของเราในอนาคตกาลพึงเป็นดังนี้ หรือเมื่อหวังรูปสมมติ ไม่ให้ทาน ไม่ สมาทานศีล ไม่กระทำอุโบสถกรรม พระอรหันต์ย่อมไม่สำคัญรูปที่เห็น ด้วยความสำคัญด้วยตัณหา อย่างนี้ก็มี ก็พระอรหันต์มิได้อาศัยสมาบัติและ วิบัติแห่งรูป ทั้งของตนและคนอื่นยังมานะให้เกิดว่า เราประเสริฐกว่าผู้นี้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 658
บ้าง เราเสมอผู้นี้บ้าง เราเลวกว่าผู้นี้บ้าง. พระอรหันต์ย่อมไม่สำคัญรูปที่ เห็น ด้วยความสำคัญด้วยมานะอย่างนี้. ก็พระอรหันต์ย่อมไม่สำคัญ รูปายตนะว่าเที่ยง ยั่งยืน แน่นอน ไม่สำคัญคนว่ามีด้วยตน ไม่สำคัญสิ่งไม่ เป็นมงคลว่าเป็นมงคล. พระอรหันต์ย่อมไม่สำคัญรูปที่เห็น ด้วยความ สำคัญด้วยทิฏฐิ อย่างนี้.
บทว่า ทิฏฺสฺมึ น มญฺติ ความว่า เมื่อไม่สำคัญตนในรูป โดยนัยแห่งการพิจารณาเห็น ชื่อว่าย่อมไม่สำคัญในรูปที่เห็น พระอรหันต์ เมื่อไม่สำคัญว่ากิเลสมีราคะเป็นต้นในรูป เหมือนน้ำนมในถัน ชื่อว่าย่อม ไม่สำคัญในรูปที่เห็น.
ก็ความสำคัญด้วยตัณหาและมานะ พึงทราบว่า ไม่มีแก่พระอรหันต์ นั้นผู้ไม่ยังสิเนหาและมานะให้เกิดขึ้นในวัตถุที่คนไม่สำคัญ ด้วยความสำคัญ ด้วยทิฏฐินั้นแหละ พระอรหันต์ย่อมไม่สำคัญ ในรูปที่เห็นอย่างนี้.
ก็บทว่า ทิฏฺโต ในบททั้งหลายว่า ทิฏฺโต น มญฺติ นี้เป็น ปัญจมีวิภัตติ. เพราะฉะนั้นพระอรหันต์เมื่อไม่สำคัญอุบัติหรือความเข้าถึงแต่ รูปที่เห็นมีประเภทตามที่กล่าวแล้ว ของตนก็ตามของผู้อื่นก็ตามพร้อมทั้ง อุปกรณ์ หรือว่าตนเป็นอื่นจากรูปที่เห็น พึงทราบว่า ไม่สำคัญแต่รูปที่ เห็น พระอรหันต์นั้นไม่มีความสำคัญด้วยทิฏฐินี้ แม้ความสำคัญด้วยตัณหา และมานะพึงทราบว่า ไม่มีแก่พระอรหันต์นั้นผู้ไม่ยังสิเนหาและมานะให้ เกิดขึ้นในวัตถุที่ตนไม่สำคัญด้วยความสำคัญด้วยทิฏฐินั้นแหละ.
ก็ในบทว่า ทิฏฺิ เมติ น มญฺติ นี้ ความว่า พระอรหันต์
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 659
ไม่ยึดถือเป็นของเรา ด้วยสามารถแห่งตัณหาว่า นั่นของเรา ย่อมไม่สำคัญ รูปที่เห็นด้วยความสำคัญด้วยตัณหา.
บทว่า สุตํ ความว่า ได้ยินดีด้วยมังสโสตก็ตาม ได้ยินด้วยทิพโสต ก็ตาม บทนี้เป็นชื่อแห่งสัททายตนะ.
บทว่า มุตํ ความว่า เข้าไปจดอารมณ์ที่ทราบและนับแล้วถือเอา ท่านอธิบายไว้ว่า อารมณ์แห่งอินทรีย์ทั้งหลายอย่างใดอย่างหนึ่ง เกิดขึ้น ด้วยสังกิเลส บทนี้เป็นชื่อแห่งคันธายตนะ รสายตนะและโผฏฐัพพายตนะ.
บทว่า วิญฺาตํ ความว่า รู้แจ้งด้วยใจ บทนี้เป็นชื่อแห่งอายตนะ ๗ ที่เหลือ แม้ธรรมารมณ์ในที่นี้ ก็ย่อมได้อารมณ์ที่เนื่องด้วยสักกายทิฏฐิ นั่นแล ส่วนความพิสดารในข้อนี้ พึงทราบตามนี้ที่กล่าวแล้วในทิฏฐวาระ.
ในบัดนี้ พระสารีบุตรเถระเมื่อจะแสดงด้วยสามารถแห่งสูตรที่พระ ผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ จึงกล่าวคำว่า อสฺมีติ ภิกฺขเว เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อสฺมิ ความว่า มีอยู่ บทนี้เป็นชื่อ ของความเที่ยง.
บทว่า มญฺิตเมตํ ความว่า ข้อนั้นเป็นเครื่องกำหนดด้วยทิฏฐิ.
บทว่า มม อหมสฺมิ ความว่า เรามีอยู่ คือเป็นอยู่แก่เรา.
บทว่า อญฺตฺร สติปฏฺาเนหิ ความว่า เว้นสติปัฏฐาน ๔.
บทว่า สพฺเพ พาลปุถุชฺชนา รชฺชนฺติ ความว่า ชนต่างๆ ผู้เป็นอันธพาลทั้งสิ้นย่อมติด.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 660
บทว่า สตฺต เสกฺขา วิรชฺชนฺติ ความว่า อริยชน ๗ จำพวก มีพระโสดาบันเป็นต้น ย่อมถึงความคลายกำหนัด.
บทว่า อรหา เนว รชฺชติ โน วิรชฺชติ ความว่า ด้วยว่า พระอรหันต์ย่อมไม่ทำทั้งสองอย่าง เพราะกิเลสทั้งหลายดับสนิทแล้ว.
บททั้ง ๓ ว่า ขยา ราคสฺส เป็นต้น คือพระนิพพานนั่นแล.
สัทธัมมปัชโชติกา อรรถกถา มหานิทเทส
อรรถกถา ชราสุตตนิทเทส
จบ สูตรที่ ๖