[เล่มที่ 57] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 251
๖. วลาหกกัสสชาดก
ว่าด้วยความสวัสดี
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 57]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 251
๖. วลาหกกัสสชาดก
ว่าด้วยความสวัสดี
[๒๔๑] นรชนเหล่าใดไม่ทำตามโอวาทอันพระพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว นรชนเหล่านั้นจักต้องถึงความพินาศ เหมือนพ่อค้าทั้งหลายถูกนางผีเสื้อหลอกลวงให้อยู่ในอำนาจ ฉะนั้น.
[๒๔๒] นรชนเหล่าใด ทำตามโอวาทอันพระพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว นรชนเหล่านั้นจักถึงฝั่งสวัสดี ดุจพ่อค้าทั้งหลายทำตามถ้อยคำอันม้าวลาหกกล่าวแล้ว ฉะนั้น.
จบ วลาหกัสสชาดกที่ ๖
อรรถกถาวลาหกัสสชาดกที่ ๖
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภภิกษุผู้กระสันรูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า เย น กาหนฺติ โอวาทํ ดังนี้.
ความย่อมีอยู่ว่า ภิกษุนั้นเมื่อพระศาสดาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุเธอกระสันจริงหรือ กราบทูลว่า จริงพระเจ้าข้า ตรัสถามว่า เพราะเหตุไร กราบทูลว่า เพราะเห็นมาตุคามแต่งตัว
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 252
งดงามคนหนึ่ง จึงกระสันด้วยอำนาจกิเลส. ลำดับนั้นพระศาสดาตรัสกะภิกษุนั้นว่า ดูก่อนภิกษุ ธรรมดาหญิงเหล่านี้ เล้าโลมชายด้วย รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และด้วยมารยาหญิงกระทำให้อยู่ในอำนาจของตน เขาเรียกว่านางยักษิณี เพราะเล้าโลมชายด้วยกรีดกราย ครั้นรู้ว่าชายนั้นตกอยู่ในอำนาจแล้ว ก็จะให้ถึงความพินาศแห่งศีล และความพินาศแห่งขนบประเพณีจริงอยู่ แม้แต่ก่อนพวกนางยักษิณีเข้าไปหาพวกผู้ชายหมู่หนึ่ง ด้วยมารยาหญิง แล้วเล้าโลมพวกพ่อค้าทำให้อยู่ในอำนาจของตน ครั้นเห็นชายอื่นอีก ก็ฆ่าพวกพ่อค้าเหล่านั้นทั้งหมดให้ถึงแก่ความตาย เคี้ยวกินหมุบๆ ทั้งมีเลือดไหลออกจากด้านคางทั้งสองข้าง แล้วทรงนำเรื่องอดีตมาตรัสเล่า.
ในอดีตกาล ที่เกาะตามพปัณณิ มีเมืองยักษ์ชื่อ สิริสวัตถุ. พวกนางยักษิณีอาศัยอยู่ในเมืองนั้น. ในเวลาที่พวกพ่อค้าเรืออับปาง นางยักษิณีเหล่านั้น ก็พากันประดับตกแต่งร่างกาย ให้ถือของเคี้ยวของบริโภค มีหมู่ทาสีแวดล้อม อุ้มทารกเข้าไปหาพวกพ่อค้า เพื่อให้คนเหล่านั้นทราบว่า พวกเราก็มาที่อยู่ของมนุษย์ จึงแสดงกิจเป็นต้นว่า พวกมนุษย์ ฝูงโค สุนัข กำลังทำกสิกรรม โครักขกรรม เป็นต้นในที่นั้นๆ แล้วเข้าไปหาพวกพ่อค้ากล่าวว่า เชิญดื่มข้าวยาคูนี้ เชิญบริโภคอาหารนี้ เชิญเคี้ยวของเคี้ยวนี้. พวกพ่อค้าที่ไหวพริบ บริโภคอาหารที่นางยักษิณีเหล่านั้นให้แล้วๆ. ครั้นถึงเวลาที่พวกเขาเคี้ยว
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 253
บริโภคดื่มเสร็จแล้วพักผ่อน ยักษิณีจึงถามว่า พวกท่านอยู่ที่ไหน มาจากไหน จะไปไหน มาทำอะไรที่นี่ เมื่อพวกพ่อค้าตอบว่า พวกเราเรืออับปาง จึงพากันมาที่นี่ นางยักษิณีกล่าวว่า ดีละพ่อคุณ แม้สามีของพวกเราก็ขึ้นเรือไป ล่วงไปสามเดือนแล้ว ชะรอยเขาจักตายกันหมด แม้พวกท่านก็เป็นพ่อค้าเหมือนกัน พวกเราจะเป็นหญิงรับใช้พวกท่าน แล้วเล้าโลมพวกพ่อค้าเหล่านั้นด้วยมารยาหัวเราะและจริตของสตรี พาไปเมืองยักษ์ หากมีพวกมนุษย์ที่ถูกจับไปไว้ก่อน ก็จองจำมนุษย์เหล่านั้นด้วยโซ่กายสิทธิ์ขังไว้ในห้องคุมขัง กระทำมนุษย์ที่จับได้ภายหลังให้เป็นสามีของตน แต่เมื่อไม่ได้มนุษย์เรืออับปางในที่พักของตน ก็เที่ยววนเวียนอยู่ฝั่งสมุทร คือเกาะไม้ขานางฝั่งโน้น เกาะไม้กากะทิงฝั่งนี้. นี่เป็นธรรมดาของพวกยักษิณี.
อยู่มาวันหนึ่ง พ่อค้าเรืออับปาง ๕๐๐ พากันขึ้นไปใกล้เมืองของยักษิณี. ยักษิณีเหล่านั้นจึงไปหาพวกพ่อค้าเล้าโลม แล้วนำมาเมืองยักษ์ ล่ามพวกมนุษย์ที่จับไว้ครั้งแรกด้วยโซ่กายสิทธิ์ขังไว้ในที่คุมขัง หัวหน้านางยักษิณีก็ให้หัวหน้าพ่อค้าเป็นสามี ยักษิณีที่เหลือก็ให้พ่อค้านอกนั้นเป็นสามี เป็นอัน ยักษิณี ๕๐๐ ได้ทำให้พ่อค้า ๕๐๐ เป็นสามีของตนด้วยประการ ฉะนี้.
ต่อมานางยักษิณีหัวหน้านั้น ครั้นเวลากลางคืน เมื่อพ่อค้าหลับ จึงลุกขึ้นไปฆ่ามนุษย์ทั้งหลายในเรือนคุมขัง กินเนื้อ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 254
เสร็จแล้วก็กลับมา. แม้ยักษิณีที่เหลือก็ทำอย่างนั้นเหมือนกัน. ในเวลาที่หัวหน้ายักษิณีกินเนื้อมนุษย์แล้วกลับมาร่างกายมักเย็น. หัวหน้าพ่อค้าคอยสังเกตอยู่ ครั้นรู้ว่ามันเป็นยักษิณี จึงรำพึงต่อไปว่า หญิง ๕๐๐ เหล่านี้ น่าจะเป็นยักษิณี พวกเราควรจะหนีไปเสีย รุ่งเช้าเดินไปเพื่อล้างหน้า จึงบอกแก่พวกพ่อค้าว่า หญิงเหล่านี้เป็นยักษิณี มิใช่หญิงมนุษย์ ในเวลาที่พวกอื่นเรืออับปางมา พวกมันจะให้คนเหล่านั้นเป็นสามีมันแล้วก็กินพวกเราเสีย. มาเถิดพวกเราพากันหนีไปเถิด. ในพวกพ่อค้าเหล่านั้น พ่อค้าสองร้อยห้าสิบคนกล่าวว่า เราไม่อาจละทิ้งหญิงเหล่านี้ไปได้ดอก พวกท่านไปกันเถิด พวกเราจักไม่หนีไปละ. หัวหน้าพ่อค้าก็พาพวกพ่อค้าสองร้อยห้าสิบคน ซึ่งเชื่อฟังคำของตนกลัวยักษิณีเหล่านั้นหนีไป. ก็ในเวลานั้นพระโพธิสัตว์บังเกิดในกำเนิดม้าวลาหก. ม้านั้นมีสีขาวปลอด มีศีรษะเหมือนกา ผมเป็นปอย มีฤทธิ์เหาะเหินได้. ม้าวลาหกนั้นเหาะมาจากเขาหิมพานต์ไปยังเกาะตามพปัณณิ บริโภคข้าวสาลีที่เกิดเองในเปือกตม ใกล้สระตามพปัณณินั้น แล้วกลับไป. อนึ่ง เมื่อเหาะไปนั้นก็พูดเป็นภาษามนุษย์ ซึ่งได้อบรมมาด้วยความกรุณาสามครั้งว่า มีผู้ประสงค์จะไปชนบทไหม มีผู้ประสงค์จะไปชนบทไหม มีผู้ประสงค์จะไปชนบทไหม. พวกพ่อค้าเหล่านั้นได้ยินคำของม้านั้น จึงพากันเข้าไปหาประคองอัญชลี กล่าวว่า พวกข้าพเจ้าจักไปชนบท. ม้าบอกว่า ถ้าเช่นนั้น จงขึ้นหลังเราเถิด. ครั้นแล้ว
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 255
พ่อค้าบางพวกก็ขึ้นหลัง. บางพวกก็จับหาง. บางพวกยืนประคองอัญชลี. พระโพธิสัตว์จึงพาพวกพ่อค้าทั้งหมด แม้ที่สุดพวกที่ยืนประคองอัญชลีไปสู่ชนบท ด้วยอานุภาพของตน ให้ทุกคนอยู่ในที่ของตนๆ แล้วก็ไปที่อยู่ของตน. นางยักษิณีเหล่านั้น ในเวลาที่พวกอื่นมาถึง ก็ฆ่ามนุษย์สองร้อยห้าสิบคนที่ทิ้งไว้ในที่นั้นกินเสีย.
พระศาสดา ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาแล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกพ่อค้าที่ตกอยู่ในอำนาจของยักษิณีได้สิ้นชีวิตลง พวกที่เชื่อคำของพญาม้าวลาหก ก็กลับไปอยู่ในที่ของตนๆ ฉันใด. ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ซึ่งไม่ทำตามโอวาทของพระพุทธเจ้าทั้งหลายก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมถึงความทุกข์ใหญ่ในอบายสี่ เป็นต้นว่า เครื่องจองจำห้าประการ และเครื่องกรรมกรณ์ ส่วนผู้ที่เชื่อฟังโอวาทย่อมบรรลุฐานะเหล่านี้ คือ กุลสมบัติ ๓ สวรรค์ชั้นกามาพจร ๖ พรหมโลก ๒๐ แล้วทำให้แจ้งอมตมหานฤพาน เสวยสุขเป็นอันมาก ครั้นพระองค์ตรัสรู้อภิสัมโพธิญาณแล้ว จึงตรัสคาถาเหล่านี้ว่า :-
นรชนเหล่าใดไม่ทำตามโอวาทที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ นรชนเหล่านั้นจักต้องถึงความพินาศ เหมือนพ่อค้าทั้งหลายถูกนางผีเสื้อหลอกลวงให้อยู่ในอำนาจฉะนั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 256
นรชนเหล่าใด ทำตามโอวาทอันพระพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว นรชนเหล่านั้นจักถึงฝั่งสวัสดี ดุจพ่อค้าทั้งหลาย ทำตามถ้อยคำที่ม้าวลาหกกล่าวแล้ว ฉะนั้น.
ในบทเหล่านั้น บทว่า เย น กาหนฺติ คือ ชนเหล่าใด ไม่เชื่อคำสอน. บทว่า พฺยสนํ เต คมิสฺสนฺติ ได้แก่ ชนเหล่านั้น จักถึงมหาพินาศ. บทว่า รกฺขสีหิว วาณิชา ได้แก่ เหมือนพ่อค้าที่ถูกนางยักษิณีเล้าโลมฉะนั้น. บทว่า โสตฺถิปารํ คมิสฺสนฺติ ได้แก่ จักถึงพระนิพพานโดยไม่มีอันตราย. บทว่า วลาเหเนว วาณิชา ได้แก่ เหมือนพ่อค้าที่ม้าวลาหกกล่าวว่า จงมาเถิด ก็เชื่อฟังม้านั้น.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงถือเอายอดแห่งพระธรรมเทศนา ด้วยอมตมหานฤพานว่า ชนทั้งหลายผู้เชื่อฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมถึงนิพพานอันเป็นฝั่งแห่งสงสารเหมือนพ่อค้าเหล่านั้น ไปถึงฝั่งแห่งมหาสมุทรแล้วก็ได้ไปในที่ของตนๆ.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศสัจธรรม ทรงประชุมชาดก. เมื่อจบสัจธรรม ภิกษุผู้กระสันตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล. ภิกษุอื่นหลายรูปได้บรรลุโสดาปัตติผล สกิทาคามิผล อนาคามิผลและอรหัตตผล. พ่อค้าสองร้อยห้าสิบ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 257
คนที่เชื่อฟังคำของม้าวลาหกในครั้งนั้นได้เป็นพุทธบริษัทในครั้งนี้. ส่วนพญาม้าวลาหก คือเราตถาคตนี้แล.
จบ อรรถกถาวลาหกัสสชาดกที่ ๖