ทุกท่านจะต้องจากโลกนี้ไป เป็นสิ่งที่ไม่น่าจะลืมเลย ช้าหรือเร็ว เรื่องของกุศลกรรมเป็นเรื่องที่ควรจะได้กระทำมากๆ บ่อยๆ เนืองๆ แล้วก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้จริงๆ ว่า เมื่อถึงเวลาใกล้จะจุติที่จะจากโลกนี้ กุศลจิตหรืออกุศลจิตจะเกิด เพราะเหตุว่าสภาพธรรมทั้งหลายย่อมเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย
ถ้าครุกรรมไม่มี พหุลกรรมไม่มี กรรมต่อไปที่จะให้ผลทำให้ปฏิสนธิ คือ อาสันนกรรม ข้อความในมโนรถปุรณีอรรถกถาอุปมาว่า
เหมือนกับโคที่อยู่ในคอก โคที่อยู่ใกล้ประตู ถึงแม้ว่าจะเป็นโคที่ไม่มีกำลัง หรือว่าเป็นโคชรา แต่ว่าเมื่ออยู่ใกล้ประตูก็ย่อมออกไปก่อนโคอื่นๆ ซึ่งมีกำลัง หรือที่อยู่ในคอกนั้นทั้งหมด
เพราะฉะนั้นถ้าครุกรรมไม่มี พหุลกรรมไม่มี กรรมที่ทำใกล้จะจุติย่อมเป็นอาสันนกรรม ทำให้ปฏิสนธิเกิดขึ้นในภูมิต่อไป
ข้อความในมโนรถปุรณีอรรถกถา ได้กล่าวถึงเรื่องคนรักษาประตูชาวทมิฬคนหนึ่ง ชื่อ มธุอังคณะ เขาออกไปตกปลาแต่เช้าตรู่ แล้วฆ่าปลา แล้วแบ่งออกเป็น ๓ ส่วน แลกเอาข้าวสารด้วยปลาส่วนหนึ่ง เอานมส้มด้วยปลาส่วนหนึ่ง และปรุงปลาส่วนหนึ่ง โดยทำนองนี้ เขาทำปาณาติบาตเป็นเวลา ๕๐ ปี จนถึงในขณะที่แก่ลง ไม่สามารถที่จะลุกขึ้นได้
ขณะนั้นพระจุฬบิณฑปาติกติสสะเถระผู้อยู่ในคีรีวิหารคิดว่า สัตว์นี้เมื่อเราเห็นอยู่ จงอย่าพินาศ ท่านได้ไปยืนอยู่ที่ประตูเรือนของคนรักษาประตูนั้น ซึ่งภรรยาของคนรักษาประตูนั้นก็ได้บอกสามีว่า “นาย พระเถระมาแล้ว” คนรักษาประตูนั้นก็กล่าวว่า “เราไม่เคยไปสู่สำนักของพระเถระเป็นเวลา ๕๐ ปี เพราะคุณอะไรของเราพระเถระจักมา ท่านทั้งหลายจงกล่าวกับพระเถระนั้นเถิดว่า นิมนต์ไปเถิด” ดังนี้
ขอเชิญรับฟัง
อาสัณณกรรม กรรมที่ทำใกล้จะจุติ