[เล่มที่ 50] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 286
เถรคาถา เอกนิบาต
วรรคที่ ๖
๖. กุฏีวิหารีเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระกุฏีวิหารีเถระ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 50]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 286
๖. กุฏีวิหารีเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระกุฏีวิหารีเถระ
[๑๙๓] ได้ยินว่า พระกุฏิวิหารีเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
ใครนั่งอยู่ในกุฎี ภิกษุผู้ปราศจากราคะ มีจิตตั้งมั่นอยู่ในกุฎี ขอท่านจงรู้อย่างนี้เถิดอาวุโส กุฎีที่ท่านทำไว้แล้ว ไม่ไร้ประโยชน์เลย.
อรรถกถากุฎีวิหารีเถรคาถา
คาถาของท่านพระกุฏิวิหารีเถระ เริ่มต้นว่า โก กุฏีกายํ. เรื่อง ราวของท่านเป็นอย่างไร?
ได้ยินว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ เสด็จไปทางอากาศ ท่านถือหม้อน้ำเย็นไปด้วยคิดว่า เราจักถวายน้ำเป็นทาน แล้วเกิดปีติโสมนัส แหงนหน้าขึ้น โยนหม้อน้ำขึ้นไป (บนอากาศ) พระศาสดาทรงทราบอัธยาศัยของท่าน แล้วประทับยืนอยู่ในอากาศรับหม้อน้ำ เพื่อเจริญศรัทธาปสาทะ. ด้วยการรับน้ำนั้น ท่านเสวยปีติโสมนัสมิใช่น้อย. ข้อความที่ เหลือ คล้ายกับที่กล่าวไว้ในเรื่องของพระอัญชนวนียเถระ ทั้งนั้น. ส่วนข้อที่แปลกกันมีดังนี้
ได้ยินว่า ท่านบวชโดยนัยดังกล่าวแล้ว กระทำบุรพกิจเสร็จแล้ว ขวนขวายวิปัสสนา ในเวลาเย็นเดินทางไปใกล้ที่นา เมื่อฝนลงเม็ด เห็นกุฎีอันเกิดด้วยบุญ ของคนเฝ้านา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 287
จึงนั่งบนอาสนะที่ลาดด้วยหญ้า. พอท่านนั่งลง ก็ได้ฤดูเป็นที่สบาย ขวนขวายวิปัสสนา บรรลุพระอรหัตแล้ว. สมดังคำที่ ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า
เราได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระฉวีวรรณดังทอง ผู้รุ่งเรืองดังกองไฟ เหมือนพระอาทิตย์ เป็นที่รับรองเครื่องบูชา เสด็จไปในอากาศ จึงเอามือทั้งสองกอบน้ำแล้วโยนขึ้นไปในอากาศ พระพุทธเจ้าผู้มหาวีระ มีพระกรุณาในเรา ทรงรับไว้ พระศาสดาทรงพระนามว่า ปทุมุตตระ ประทับยืนอยู่ในอากาศ ทรงทราบความดำริของเรา จึงได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า ด้วยการถวายน้ำนี้และด้วยเกิดปีติ เขาจะไม่ถึงทุคติเลย ตลอดแสนกัป. ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมประชาเชษฐบุรุษของโลก ผู้นราสภ ด้วยกรรมนั้น ข้าพระองค์ ละความชนะและความแพ้แล้ว บรรลุฐานะอันไม่หวั่น ไหว ในกัปที่ ๖,๕๐๐ แต่ภัทรกัปนี้ ได้เป็นพระเจ้า จักรพรรดิ ๓ พระองค์ มีพระนามว่า สหัสสราช เป็นจอมคน ปกครองแผ่นดิน มีสมุทรสาครเป็นที่สุด. กิเลสทั้งหลายเราเผาแล้ว ฯลฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า เรากระทำสำเร็จแล้ว ดังนี้.
ก็เมื่อพระเถระบรรลุพระอรหัตแล้ว นั่งอยู่ในกระท่อมนั้น คนเฝ้านากลับมา ถามว่า ใครอยู่ในกระท่อม. พระเถระได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวคำมี อาทิว่า ภิกษุอยู่ในกระท่อม. คำของคนเฝ้านา และของพระเถระนี้นั้น ท่านรวบรวมไว้เป็นหมวดเดียวกันแล้ว ยกขึ้นสู่สังคีติ โดยรูปอย่างนั้น ว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 288
ใครนั่งอยู่ในกระท่อม ภิกษุผู้ปราศจากราคะ มี จิตตั้งมั่นอยู่ในกระท่อม ขอท่านจงรู้อย่างนี้เถิดอาวุโส กระท่อมที่ท่านทำไว้แล้ว ไม่ไร้ประโยชน์เลย ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โก กุฏิกายํ เป็นคำถามของคนเฝ้านาว่า ใครนั่งอยู่ในกุฏินี้. บทว่า ภิกฺขุ กุฏิกายํ เป็นคำให้คำตอบของพระเถระ แก่คนเฝ้านา. ลำดับนั้น พระเถระ ยังคนเฝ้านาให้อนุโมทนา การใช้สอยกระท่อม โดยความที่ตนเป็นพระทักขิไณยบุคคลผู้เลิศ เพื่อจะทำบุญนั้นให้ดำรงมั่นคง โอฬาร จึงกล่าวคำมีอาทิว่า วีตราโค. คาถานั้น มีใจความดังนี้ ภิกษุผู้ทำ ลายกิเลสได้แล้วรูปหนึ่ง นั่งอยู่แล้วในกระท่อมของท่าน เพราะเหตุนั่นแหละ ภิกษุนั้น จึงชื่อว่า ผู้ปราศจากราคะแล้ว เพราะมีราคะอันถอนขึ้นแล้ว โดยประการทั้งปวง ด้วยมรรคอันเลิศ ชื่อว่าผู้มีจิตตั้งมั่นแล้ว เพราะเป็นผู้มีจิตตั้งมั่นแล้วด้วยดี โดยกระทำพระนิพพานให้เป็นอารมณ์ ด้วยสมาธิอันยอดเยี่ยม ดูก่อนคนเฝ้านา ผู้มีอายุ เรากล่าวความนี้อย่างไร ท่านจงรู้ คือ จงเชื่ออย่างนั้น ท่านจงพ้น (ทุกข์).
กระท่อมอันท่านทำแล้ว ไม่ไร้ประโยชน์เลย คือกระท่อมที่ท่านสร้างไว้ ไม่เป็นโมฆะ ไม่เป็นหมัน มีแต่ผล มีแต่กำไร เพราะพระอรหันตขีณาสพ ได้ใช้สอย. ถ้าท่านจะอนุโมทนา ข้อนั้นจักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล และเพื่อความสุขแก่ท่านตลอดกาลนาน.
คนเฝ้านา ฟังดังนั้นแล้ว คิดว่า เป็นลาภของเราแล้วหนอ เพราะ ในกุฎีของเรา มีพระผู้เป็นเจ้าเช่นนี้เข้าไปนั่ง แล้วมีจิตเลื่อมใส ได้ยืนอนุโมทนาแล้ว. ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสดับถ้อยคำสนทนาของพระเถระและคนเฝ้านาเหล่านั้นนี้ ด้วยทิพโสตธาตุ และทรงทราบการอนุโมทนาของคนเฝ้านา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 289
เมื่อจะทรงยังสมบัติอันคนเฝ้านา จะพึงได้เสวยให้แจ้งชัด จึงได้ตรัสกะคน เฝ้านาด้วยคาถาเหล่านี้ว่า
ด้วยผลแห่งการที่ภิกษุ ผู้มีจิตสงบแล้ว ไม่มีอาสวะ อยู่ในกระท่อมของท่านนั้น ท่านจักได้เป็นจอมเทพ ท่านจะได้เป็นจอมเทวัญ เสวยราชสมบัติในหมู่เทพ ๓๖ ครั้ง จักได้เป็นจอมจักรพรรดิ ในแว่นแคว้น ๓๔ ครั้ง จักได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ผู้ปราศจากราคะ นามว่า รัตนกุฏี ดังนี้.
จำเดิมแต่นั้นมา พระเถระ ก็ได้เกิดสมัญญานามว่า กุฏิวิหารีเถระ ทีเดียว เพราะเป็นนามพิเศษที่ท่านได้ในกระท่อม. ก็คาถานี้แหละ ได้เป็น คาถาพยากรณ์พระอรหัตตผลของพระเถระ ฉะนี้แล.
จบอรรถกถากุฏิวิหารีเถรคาถา